พูดถึง BMW คนส่วนใหญ่จะนึกถึงรถยนต์ ที่มีรูปทรงสวยงามและเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะและเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะนอกจากรถยนต์แล้ว BMW ยังมีรถมอเตอร์ไซค์ด้วย จริง ๆ แล้ว BMW ผลิตรถมอเตอร์ไซค์มาก่อนรถยนต์เสียอีก ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีความสวยงาม คลาสสิก สมรรถนะสูง และไฮเทคโนโลยี เป็นที่ยอมรับของผู้คนทั่วโลกเช่นเดียวกัน
ย้อนกลับไปในปี 1916 ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 BMW สร้างชื่อในฐานะผู้ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบิน เครื่องยนต์รุ่นแรกที่ออกจากไลน์ผลิตมีชื่อว่า BMW IIIa เป็นเครื่องยนต์ 6 สูบ คาบูเรเตอร์คู่ ที่สามารถปรับอัตราส่วนผสมน้ำมัน-อากาศได้ตามความสูง กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ซึ่งสมัยนั้นถือว่าไฮเทคโนโลยีสุด ๆ และด้วยเครื่องยนต์ดังกล่าว ส่งผลให้เครื่องบินในยุคนั้น สร้างสถิติโลกได้ ด้วยเพดานบินสูงสุดถึง 32,000 ฟุต (ประมาณ 10,000 เมตร) แต่หลังจากทำลายสถิติโลกได้ไม่นาน สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้สิ้นสุด สนธิสัญญาแวร์ซายล์ก็ถูกตราขึ้น ฝ่ายชนะสงครามฯ ได้สั่งห้ามเยอรมนี ไม่ให้พัฒนาและผลิตเครื่องบินรบอีกต่อไป
ในทุกวิกฤติย่อมมีทางออกเสมอ แม้จะผลิตเครื่องบินรบไม่ได้ แต่เครื่องจักรยังอยู่ ทางออกจึงไปลงที่เครื่องยนต์เรือ เครื่องยนต์รถแทรกเตอร์ และเบรกรถราง ซึ่งทำรายได้ได้มากพอที่จะให้ BMW ดำรงอยู่ได้
เปิดตำนานเครื่องยนต์ “บ็อกเซอร์”
ช่วงเวลานี้เองที่ มาร์ติน ชโตลเล่อะ (Martin Stolle) ผู้จัดการโรงงานของ BMW ได้เสนอไอเดียว่า มอเตอร์ไซค์นี่แหละที่จะทำให้บริษัทรอด เขาจึงเริ่มพัฒนาและทดสอบรถมอเตอร์ไซค์ที่สร้างเองมาเรื่อย ๆ จนกระทั่ง มักซ์ ฟริซ (Max Friz) หัวหน้าทีมวิศวกรของ BMW เข้ามาพัฒนาต่อ จนได้เป็นเพชรน้ำเอก ที่กลายเป็นสัญลักษณ์มอเตอร์ไซค์ของ BMW ในเวลาต่อมา นั่นคือเครื่องยนต์ 2 สูบนอนยัน “บ็อกเซอร์” (Boxer) รหัส M2B15
M2B15 คือสิ่งพิสูจน์ว่าบริษัทเดินมาถูกทาง จากยอดขายมอเตอร์ไซค์หลาย ๆ แบรนด์ที่เลือกใช้เครื่องยนต์ของ BMW เพราะเชื่อมั่นในสมรรถนะและประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้บริหารของ BMW ในยุคนั้น ตัดสินใจทิ้งธุรกิจเบรกรถราง และหันมาโฟกัสที่การผลิตมอเตอร์ไซค์เพียงอย่างเดียว
ความสำเร็จนี้ ยังทำให้ ฟริซ ที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมั่นใจกับการพัฒนาเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์นัก หันมาทุ่มเทให้กับการพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ดีกว่าเดิม นั่นคือเครื่องยนต์รหัส M2B33 และยังได้ออกแบบและพัฒนาเฟรมเหล็ก ที่มีลักษณะคล้ายกับมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบัน เพื่อรองรับเครื่องยนต์ใหม่นี้อีกด้วย
R32 จุดเริ่มต้นของ BMW Motorrad
BMW R32 คือมอเตอร์ไซค์รุ่นแรก ที่ใช้เครื่องยนต์รหัส M2B33 และมีสัญลักษณ์วงกลมสีฟ้า-ขาวติดที่ถังน้ำมัน เปิดตัวภายใต้แบรนด์ “BMW Motorrad” ที่แปลว่า “มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู” เป็นไฮไลท์ที่สร้างความฮือฮาอย่างมากในงาน ปารีส มอเตอร์โชว์ ปี 1923
ในช่วงทศวรรษที่ 1920 มอเตอร์ไซค์คือพาหนะสามัญประจำบ้านของชาวเยอรมัน ด้วยราคาที่ไม่แพง ซ่อมง่าย และไปได้ทุกที่ BMW Motorrad จับจุดตรงนี้ได้ และรับรู้ว่าไม่มีใครต้องการรถที่ขี่ไปซ่อมไป ดังนั้น BMW R32 จึงถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดหลักสองอย่างคือ 1.ซ่อมง่าย 2.เครื่องยนต์ที่เที่ยงตรงไว้ใจได้
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ M2B33 ถูกจับมาวางขวางบนเฟรม เสื้อสูบยื่นออกจากตัวรถทั้งซ้ายและขวา รับลมโดยตรง แก้ปัญหาความร้อนได้ชะงัด ส่งกำลังผ่านเกียร์ 3 สปีด เปลี่ยนเกียร์ด้วยคันโยกมือทางด้านขวาของถังน้ำมัน ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยเพลาที่มีความทนทานและแทบไม่ต้องการการดูแล แทนการใช้โซ่หรือสายพาน นี่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ในยุคนั้น และแม้ BMW R32 จะมีราคาสูงเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น แต่ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ตัวจริงก็ยอมแลก เพื่อให้ได้มาซึ่งยานพาหนะที่ไว้ใจได้
BMW R37 มอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุดในโลก
BMW R32 เข้าสู่สายพานการผลิตเต็มรูปแบบในช่วงปลายปี 1923 และถูกผลิตไปกว่า 3,000 คันจนถึงปี 1926 หนึ่งปีต่อมา BMW Motorrad เปิดตัว BMW R37 ในงานมอเตอร์โชว์ที่กรุงเบอร์ลิน ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม สะกดสายตาแฟน ๆ เหมือนเดิม โดยในส่วนของเครื่องยนต์ ได้วิศวกรหนุ่มนาม รูดอล์ฟ ชไลเคอร์ (Rudolf Schleicher) เข้ามาช่วยเสริมทัพ พัฒนาเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ให้ดีและแรงขึ้นด้วยเทคโนโลยีโอเวอร์เฮดแคมชาฟต์
นอกจากจะเป็นผู้พัฒนาเครื่องยนต์แล้ว อีกด้านหนึ่ง ชไลเคอร์ยังเป็นนักแข่งด้วย และได้สร้างประวัติศาสตร์เอาไว้ ด้วยการพามอเตอร์ไซค์ BMW R37 สภาพเดิม ๆ ที่ไม่ได้แต่งอะไรเพิ่ม ไปคว้าชัยเหนือคู่แข่งรายอื่น ๆ ในรายการแข่งขันสุดทรหดนาน 6 วันติดต่อกันของอังกฤษเมื่อปี 1926 ซึ่งเป็นการคว้าเหรียญทองในการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับนานาชาติครั้งแรกของ BMW Motorrad!
BMW Motorrad ประสบความสำเร็จในสนามแข่งอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงทศวรรษที่ 1930 หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์นั้น คือการที่ แอร์นสต์ ยาค็อบ เฮ็นเน่อะ (Ernst Jakob Henne) ถูกจารึกชื่อไว้ว่าเป็นผู้ขี่มอเตอร์ไซค์ที่เร็วที่สุดในโลก กับ BMW WR750 ที่ใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 750 ซีซี พ่วงซูเปอร์ชาร์จ วิ่งทะลุสถิติโลกมอเตอร์ไซค์ ด้วยความเร็ว 214.4 กม./ชม. เมื่อวันที่ 19 กันยายน 1929
BMW R5 ตำนานที่ยังมีลมหายใจ
นอกจากเรื่องสมรรถนะและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์แล้ว สิ่งที่ทำให้ BMW Motorrad ครองใจแฟน ๆ ได้อีกอย่างคือการดีไซน์ ถ้าพูดถึงมอเตอร์ไซค์สายวินเทจที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ย่อมหนีไม่พ้น BMW R5 ที่ทั่วโลกต่างยกให้เป็น “มอเตอร์ไซค์ที่สวยที่สุดในโลก”
BMW R5 เป็นตัวอย่างความ “เป๊ะ” ของยนตรกรรมสัญชาติเยอรมัน สะท้อนนิยามของสิ่งที่ BMW ยึดมั่นมาโดยตลอดคือ “ความงดงามราวงานศิลปะ ผนวกขุมพลังอันหนักแน่นดุดัน” เปิดตัวครั้งแรกในปี 1936 ใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ขนาด 500 ซีซี รูปร่างหน้าตาแบบคลาสสิก แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยี ระบบกันสะเทือนหลังแบบสปริงใต้อาน ส่วนด้านหน้าใช้ช็อคอัพคู่ปรับความหนืดได้แบบเดียวกับที่ใช้ในยุคปัจจุบัน และที่ล้ำกว่าคู่แข่งคือ การเปลี่ยนเกียร์ด้วยกระเดื่องเท้าซ้าย (แต่ยังคงคันเปลี่ยนเกียร์ด้วยมือที่ด้านขวาของเครื่องยนต์เอาไว้) เหมือนมอเตอร์ไซค์ในปัจจุบัน ทั้งที่เวลาผ่านมาแล้วกว่า 80 ปี!
นี่คือรถมอเตอร์ไซค์ที่ได้รับการออกแบบใหม่หมดเพื่อให้ผู้คนพูดถึง ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบที่ล้ำยุค ทั้งรูปทรงอันงดงาม เส้นสายที่อ่อนช้อยคลาสสิก และเครื่องยนต์ที่แรงดุดัน เรียกความเร็วได้ตามสั่ง ควบถ้วนด้วยคุณสมบัติของมอเตอร์ไซค์ระดับพรีเมียม เครื่องยนต์ที่ทำงานเที่ยงตรง บำรุงรักษาง่าย ทนทาน และไว้ใจได้
ยกระดับความแรงในร่างคลาสสิก
วันนี้ BMW Motorrad มีผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ต โรดสเตอร์ ครุยเซอร์ หรือทัวริ่ง และสำหรับผู้ที่หลงใหลความคลาสสิกเหนือกาลเวลาของมอเตอร์ไซค์ BMW แล้ว ครุยเซอร์สไตล์เฮอริเทจ (Heritage) คือคำตอบ
มอเตอร์ไซค์เก่าที่มีเส้นสายโค้งมน แบบเห็นปุ๊บแล้วรู้สึกวินเทจปั๊บ กลายเป็นที่ต้องการของคนรัก BMW เพื่อนำกลับมาฟื้นคืนชีพให้โลดแล่นบนท้องถนนได้อีกครั้ง ขณะที่ BMW Motorrad ก็หันมาพัฒนามอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ ที่เน้นเอาใจคอคลาสสิกมากขึ้น ด้วยเส้นสายที่เป็นเอกลักษณ์ เครื่องยนต์แบบบ็อกเซอร์ขับเคลื่อนด้วยเพลาที่มีใช้มาตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบัน เสริมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ BMW R18 มอเตอร์ไซค์รุ่นล่าสุดที่รูปทรงสะท้อนภาพ R5 ออกมาอย่างชัดเจน ใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์รุ่นใหม่ ขนาด 1,800 ซีซี ซึ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
มอเตอร์ไซค์ BMW ทุกแบบไม่เคยล้าสมัย และยังคงเป็นที่ต้องการของทุกคนที่เห็นคุณค่า เพราะ BMW Motorrad ไม่ได้เป็นแค่มอเตอร์ไซค์ แต่คือเกียรติประวัติแห่ง BMW ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นสุนทรียภาพแห่งความเร็วและสมรรถนะ