ใครว่าเด็กรุ่นใหม่สนใจแต่เรื่องของตัวเอง เพราะในขณะที่พวกเขามีมุมมองต่อโลกที่แตกต่างจากคนยุคก่อนอย่างลิบลับ แต่สิ่งที่น่าชื่นชมของเด็กยุคนี้คือ พวกเขาเชื่อมั่นในพลังเล็กๆ ของตัวเองว่า สามารถช่วยให้โลกใบนี้สวยงามได้ เช่นเดียวกับ “เทสส์-ณัฐณิชา กิติยากร ณ อยุธยา” ราชนิกูลสาวรุ่นใหม่ไฟแรง ในวัยเพียง 18 ปี เธอไม่เพียงใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ด้วยการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ไปสอนหนังสือเด็กๆ ในต่างจังหวัด แต่ยังใช้แพสชั่นด้านศิลปะที่มี ริเริ่มโปรเจกต์การกุศลเพื่อหาเงินช่วยเหลือโรงพยาบาลในต่างจังหวัด รวมทั้งในภาวะวิกฤตโควิด-19 เช่นนี้ เธอยังมีแผนจะทำโปรเจกต์การกุศลตามกำลังที่มีเพื่อหาเงินมาช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนด้วย
“เพราะโควิด-19 เลยทำให้โรงเรียนเลื่อนปิดเทอมไป แต่โชคดีที่เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้าย ตอนนี้เลยอยู่ระหว่างเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเทสส์วางแผนว่าจะไปเรียนต่อด้านศิลปะและดีไซน์ที่ Rhode Island School of Design (RISD) สหรัฐอเมริกา เพราะชอบวาดรูป ชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนให้เรียนศิลปะมาตลอด สมัยเด็กจำได้ว่า แม้แต่สมุดโน้ตของคุณพ่อ ก็ยังมีผลงานของเทสส์ฝากไว้” เทสส์เล่าไปขำไป
สำหรับเด็กสาวสายติสต์ ความสุขของการที่ได้อยู่ในโลกของศิลปะ คือความเป็นอิสระ ไร้กรอบ ไม่มีคำว่าถูกหรือผิดเป็นตัวตัดสิน เพราะความสวยงามวัดจากรสนิยมและมุมมองของแต่ละคน แต่นอกจากศิลปะแล้ว เทสส์ยังเป็นเด็กกิจกรรมชอบเล่นกีฬาทั้งเทนนิส บาสเกตบอล เธอมีความฝันในวัยเด็กตามประสาเด็กเรียนดีว่า อยากสวมเสื้อกาวน์เป็นคุณหมอเหมือนคุณพ่อ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ความฝันก็เริ่มเลือนหายไปตามกาลเวลา
“จริงๆ ก็ค้นหาตัวเองมาเรื่อยๆ จนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เริ่มค้นพบว่า หมออาจไม่ใช่เส้นทางที่ใช่ เลยเบนเข็มมาลองทำหลายๆ อย่าง เพื่อตามหาสิ่งที่ชอบและใช่ ตามหาว่าอะไรคือาชีพที่อยากทำในอนาคต จนมาเจอว่าเรามีแพสชั่นด้านศิลปะ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่กว้างมาก ไม่ได้จำกัดแค่ว่าต้องเป็นศิลปินวาดรูปเท่านั้น แต่ศิลปะยังรวมไปถึงงานปั้น งานเพนต์ งานวิชวล (visual) และการแสดง ซึ่งหลังจากได้ลองทำ ก็ชอบทุกอย่างนะคะ แต่ชอบที่สุดคือ งานวิชวลและงานดีไซน์ที่เน้นทั้งความสวยงามและฟังก์ชั่นไว้ด้วยกัน ซึ่งเทสส์โชคดีที่ครอบครัวสนับสนุนตลอด ไม่ว่าเราชอบหรืออยากทำอะไร เลยคิดว่าจะศึกษาต่อด้านนี้”
ถามว่า ที่ผ่านมาเทสส์มองว่าอะไรคือซิกเนเจอร์ในผลงานของเทสส์ เธอตอบได้อย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยว่า ผลงานของเธอจะมีกลิ่นอายผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกกับตะวันออก ที่มีกลิ่นอายความเป็นไทย อาจเพราะเธอเองเติบโตที่อังกฤษตั้งแต่เด็กจน 6 ขวบ ถึงกลับมาเรียนต่อที่โรงเรียนนานาชาติที่เมืองไทย จึงซึมซับวัฒนธรรมของทั้งสองซีกโลกไว้อย่างกลมกล่อม
อย่างไรก็ตาม นอกจากจะใช้ชีวิตไฮสกูลด้วยการตามหาสิ่งที่ใช่ อีกหนึ่งความมุ่งมั่นที่เทสส์ลงมือทำโดยไม่ต้องรอให้โอกาสมาถึง คือการทำงานเพื่อสังคม โดยเริ่มจากการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ไปสอนหนังสือที่ โรงเรียนนาน้อย จ.น่าน
ภารกิจนี้เทสส์บอกเลยว่าไม่ได้ทำกันเล่นๆ เพราะตัวเธอเองทำต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว แถมในการเดินทางไปแต่ละครั้ง เธอและเพื่อนๆ จะใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณ 2 สัปดาห์ โดยจะพักค้างแรมที่หมู่บ้านใกล้ๆ โรงเรียน
“ก่อนเดินทางเราต้องนัดประชุมกันล่วงหน้าเลยว่า จะสอนอะไรบ้าง เพื่อให้เด็กเข้าใจ เป้าหมายของเราคือ อยากเอาความรู้ที่เรามีไปแบ่งปัน อย่าง เทสส์เองปีแรกที่ไปก็ไปสอนน้องๆ ที่อยู่ ป.1-ป.2 พอปีต่อมาก็ยังได้ไปสอนน้องๆ กลุ่มเดิมที่เลื่อนชั้นขึ้นมา ได้เห็นพัฒนาการของพวกเขาก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้”
จากกิจกรรมนอกเวลาเรียนที่ทำเพื่อสังคมร่วมกับเพื่อนๆ จุดประกายให้เธอคิดที่จะทำโปรเจกต์การกุศลของตัวเอง โดยนำความชอบในศิลปะมาเป็นตัวขับเคลื่อน
“โปรเจกต์นี้เทสส์เพิ่งเริ่มทำมายังไม่ถึงปี จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีชื่อเรียกโปรเจกต์อย่างเป็นทางการเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่วางแผนไว้ว่า ปีนี้จะทำให้จริงจังขึ้น มีหน้าเพจหรือสร้างบัญชีในอินสตาแกรมอย่างเป็นทางการ สำหรับโปรเจกต์นี้ เทสส์ตั้งต้นจากการดีไซน์ลวดลายก่อน โดยเลือกเป็นดอกไม้ที่ดูสวยงามและน่าดึงดูด จากนั้นค่อยคิดต่อว่า จะนำลวดลายนี้ไปใช้ที่ไหน ลองอยู่หลายอย่างเลยค่ะ ทั้งกระติกน้ำ แก้ว จาน ชาม สุดท้ายมาลงตัวที่แก้วและจาน ซึ่งเทสส์ออกแบบเองและดีลกับซัพพลายเออร์เพื่อผลิตสินค้าล็อตแรกมาขายทางออนไลน์ โดยใช้อินสตาแกรมของเทสส์และคุณแม่ (ชาลินี กิติยากร ณ อยุธยา) เป็นช่องทางหลัก ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ได้เลยเป็นคนที่รู้จักกัน มีบ้างที่ไปออกร้าน อย่างที่ วิลล่า มาร์เก็ต ตรง โครงการเวลา หลังสวน คุณแม่ก็ไปช่วยขายก็ขายได้นะคะ เพราะเราไม่ได้ผลิตเยอะ เงินที่ได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายก็เอาไปผลิตเป็นถุงผ้าเพื่อมอบให้กับโรงพยาบาลนาน้อย และโรงพยาบาลระนอง ซึ่งเทสส์มองว่าถุงผ้าเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลต้องการ และยังช่วยลดขยะพลาสติกไปในตัวด้วย”
มาถึงโปรเจกต์ล่าสุดที่เทสส์กำลังผลิตอยู่ตอนนี้ เทสส์ยังใช้ผลงานออกแบบเดิมที่เป็นลายดอกไม้ มาผลิตเป็นจานและแก้วกาแฟ โดยครั้งนี้เพิ่มจานรองเข้าชุดมาด้วย ตั้งใจว่าจะนำเงินรายได้จากการจำหน่ายหลังหักค่าใช้จ่าย ไปช่วยเหลือสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ต้องรอดูว่าสินค้าจะผลิตได้ทันหรือไม่ และจะนำไปช่วยเหลือในรูปแบบไหนต่อไป
ถามว่า อะไรทำให้เด็กผู้หญิงอายุ 18 ปี ถึงคิดที่จะใช้พลังเล็กๆ ของตัวเอง ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง เพื่อช่วยเหลือสังคม เทสส์ตอบชัดว่า “เทสส์เติบโตมาในครอบครัวที่ปลูกฝังมาตลอดว่า ไม่ว่าทำอะไรต้องคืนกลับให้สังคมด้วย ความคิดนี้เลยเหมือนอยู่ภายใต้จิตใต้สำนึกตลอดเวลา ซึ่งเทสส์ว่าเด็กยุคใหม่หลายๆ คนก็คิดเช่นกัน อย่าง เกรต้า ธันเบิร์ก นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม เธอก็อายุแค่ 17 ปีเท่านั้น
ทุกวันนี้ ถึงจะทำงานเพื่อสังคมอยู่แล้ว แต่ก็ยังบอกตัวเองว่า อยากทำมากกว่านี้นะ แต่เด็กอย่างพวกเราติดปัญหาใหญ่คือ ข้อจำกัดเรื่องเงิน (หัวเราะ) และอีกความท้าทายสำคัญคือ ความเชื่อใจของผู้ใหญ่ บางครั้งเด็กอย่างพวกเราพูดอะไรไป ผู้ใหญ่อาจจะเห็นว่าไม่น่าเชื่อถือ ไม่ต้องฟังก็ได้ แต่หากผู้ใหญ่เปิดใจรับฟังเด็กบ้าง หรือสนใจสิ่งที่เด็กพูด ก็เป็นกำลังใจให้พวกเราเดินต่อไป” เทสส์ทิ้งท้ายอย่างชวนคิด