จากมาตรการล็อกดาวน์ประเทศของรัฐบาล เพราะการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้หลายคนต้องอยู่ที่บ้านเพื่อหยุดการแพร่กระจายของเชื้อโรค ดังนั้น ช่วงนี้หลายคนจึงต้องงดกิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน ไม่ต่างจากเซเลบสายบุญหลายคนที่ก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปแสวงบุญยังสถานที่ต่างๆ พอมาเจอสถานการณ์ช่วงนี้จำเป็นต้องหยุดอยู่บ้าน ห่างวัดวาอารามไปพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ศีลธรรมหรือความตั้งใจจริงในการปฏิบัติธรรมจะลดลงแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม เซเลบสายบุญ ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีเวลาได้ปฏิบัติธรรมมากขึ้นกว่าเดิม แถมยังได้นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาใช้ในการดำเนินชีวิตช่วงที่สถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ด้วย
เพราะเคยเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ครองผ้าเหลืองศึกษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจังถึง 1 พรรษา แม้จะสึกออกมาแล้วก็ตาม แต่ “หมู-พัฒพงษ์ ธนวิสุทธิ์” ก็ยังเคร่งครัดในการนำหลักพระธรรมคำสอนมาจรรโลงจิตใจจนถึงทุกวันนี้ และยิ่งในช่วงนี้ที่ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน ยิ่งทำให้เขามีเวลาได้ฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมากขึ้น ผ่านช่องทางไลฟ์สดทาง FB หรือไม่ก็ศึกษาผ่านช่องทางยูทูบ สามารถนำหลักคำสอนของพระศาสดามาเป็นหลักยึดในการดำรงชีวิต และพร้อมที่จะถ่ายทอดหลักคำสอนในการรู้เท่าทันจิตใจ ให้ทุกคนได้ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ในสภาวะที่หลายคนต่างตกอยู่ในภวังค์ของความวิตกกังวลอยู่ในขณะนี้ได้อย่างน่าสนใจ
หมูบอกว่า “เมื่อก่อนเวลาที่เราออกไปทำงานนอกบ้าน พี่แทบจะไม่มีเวลาได้นั่งวิปัสสนากรรมฐาน จะมีเวลาทำได้เพียงวันละ 1 ครั้งก่อนนอน เพียง 1 ชั่วโมง แต่พอมีมาตรการให้ทุกคนหยุดทำงานอยู่ที่บ้าน ทุกวันนี้จึงทำให้พี่มีเวลาได้ทำวิปัสสนากรรมฐานวันละ 3 รอบ คือ หลังกินข้าวเช้า 1 ชั่วโมง หลังกินข้าวเที่ยง 1 ชั่วโมง และก่อนเข้านอนช่วง 2 ทุ่มอีกรอบหนึ่ง โดยการทำวิปัสสนากรรมฐานนี้ บางครั้งเราก็จะเจริญสติด้วยตัวเอง และก็จะเปิด FB ไลฟ์สดที่มีอาจารย์ที่นับถือสอน หรือไม่ก็จะศึกษาพระธรรมคำสอนของพระอาจารย์รูปต่างๆ ผ่านทางยูทูบ ซึ่งพี่เชื่อว่าถ้าจิตใจของเราฝักใฝ่ในทางธรรมแล้ว เราสามารถฝึกการเจริญสติที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าวัดเสมอไป”
ด้วยความที่เป็นผู้เท่าทันจิตใจของตัวเอง ผ่านการเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ สายบุญตัวพ่ออย่างหมู จึงได้แนะนำวิธีการดูแลจิตใจของตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านกับความวิตกกังวลต่อไวรัสร้ายชนิดนี้ ที่ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพเท่านั้น หากยังทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ไปด้วยว่า
“เราควรรู้เท่าทันข่าว เพราะสื่อมีหน้าที่นำเสนอข่าวซึ่งในแต่ละวันอาจมีความน่ากลัวของโรคแฝงอยู่ เช่น มียอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกเท่านี้ เสียชีวิตเท่านี้ ขณะเดียวกัน เราในฐานะผู้เสพข่าวก็ต้องเสพอย่างมีสติ ไม่ควรมากเกินไปจนทำให้เกิดความกลัว ตื่นตระหนก ในแต่ละวันเราควรดูข่าวเพียง 10 นาที เพื่อให้รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น และเราควรมีวิธีในการเตรียมรับมือเพื่อไม่ให้โรคนี้มันแพร่กระจาย ไม่ควรนั่งหน้าจอแล้วดูข่าวทั้งวันจนกลายเป็นความเครียดสะสม และเมื่ออยู่บ้านการใช้เวลากับคนในครอบครัวสำคัญที่สุด สำหรับพี่ การได้หยุดอยู่บ้านมันทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว โดยเฉพาะกับลูกๆ มากขึ้น เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนเราออกไปทำงานกลับมาลูกก็เข้านอนกันหมดแล้ว แทบไม่มีเวลาเจอหน้ากันเลย แต่ตอนนี้เรามีเวลาอยู่กับลูกๆ มากขึ้น ได้ทานข้าวด้วยกัน พูดคุยกันมากขึ้น ทำให้ครอบครัวเรามีความเข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งพี่ถือว่ามันคือโอกาสมากกว่าวิกฤตในชีวิต”
นอกจากนี้ หมูยังแนะเคล็ดลับการนำหลักธรรมมาเป็นแนวทางในการจัดการกับจิตใจในภาวะอันแสนหนักอึ้งช่วงนี้ว่า จิตใจของมนุษย์ก็เปรียบเสมือนลิงที่มีความลิงโลดกระโดดโลดเต้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ต้องใช้การเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน กำหนดลมหายใจเข้าออก เพื่อคอยดึงจิตใจของเราไม่ให้ซุกซนเหมือนลิง
“ทุกวันนี้เราเติมความซุกซนให้กับจิตใจเราอย่างไม่รู้ตัว ด้วยการอยากไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ แต่ออกไปไหนไม่ได้ จิตใจเราก็เกิดภาวะทุกข์ ดังนั้น การนั่งสมาธิจะช่วยดึงจิตใจอันซุกซนกลับมายังลมหายใจเข้าออกได้ แรกๆ สำหรับคนฝึกใหม่ๆ อาจจะยังทำไม่สำเร็จ เพราะขณะที่เรากำลังนั่งสมาธิอยู่ จิตของเราก็ประหวั่นนึกถึงแต่กิเลสความอยากที่เราเติมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเรานั่งสมาธิจนชินแล้ว เมื่อเราเกิดความซุกซนทางจิตใจเมื่อไหร่ เราก็จะดึงสติกลับมาที่ลมหายใจเข้าออก นั่งสมาธิแบบนี้ไปสัก 1 อาทิตย์ วันละ 1 ชั่วโมง พี่เชื่อเหลือเกินว่าเราจะมีสติรู้เท่าทันจิตใจตัวเอง และผ่านช่วงเวลาอันแสนเครียดแบบนี้ไปได้ด้วยดี” หมูแนะนำด้วยน้ำเสียงสดใส
หากพูดถึงเซเลบสายบุญตัวจริงเสียงจริง คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ทิปปี้-สุพรทิพย์ ช่วงรังษี” ที่ทุกวันนี้ไฮโซสาวใหญ่ได้ใช้ธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ขนาดที่ว่าก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปแสวงบุญไกลถึงธิเบต ได้เข้านมัสการองค์ทะไลลามะ แถมยังเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปราโมทย์ เจ้าอาวาสวัดสวนสันติธรรม ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี แต่พอเกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ในช่วงนี้ไม่สามารถเดินทางไปทำบุญปฏิบัติธรรมได้ที่วัดเหมือนแต่ก่อน เพราะต้องหยุดอยู่ที่บ้านเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรค แต่อุปสรรคเหล่านี้ไม่ได้สร้างปัญหาให้กับเธอ ในการปฏิบัติธรรมเลยแม้แต่น้อย แถมเจ้าตัวยังบอกด้วยน้ำเสียงสดใสว่า ช่วงนี้เป็นเวลาที่เธอได้มีเวลาปฏิบัติธรรมมากที่สุดเลยก็ว่าได้
“เกือบหนึ่งเดือนเต็มที่ทำงานอยู่ที่บ้าน โดยไม่ออกไปไหนเลย นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต เพราะทำให้เรามีเวลาปฏิบัติธรรม เจริญสติ และสมาธิมากขึ้น อย่างอาทิตย์ก่อนจะใช้เวลา 3 วันเต็มในการปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เหมือนการเข้าวัดทุกประการ โดยเริ่มตั้งแต่เช้าตื่นมาก็นั่งสมาธิก่อนรับประทานอาหารเช้า จากนั้นก็ฟังธรรมเทศนาของพระอาจารย์รูปต่างๆ ผ่านช่องยูทูบ ฟังเสร็จก็จริญสมาธิต่อ พอตกบ่ายหลังจากรับประทานอาหารเที่ยงเสร็จ ก็จะอยู่ในช่วงที่เราต้องวิเคราะห์สภาพจิตใจการรู้เท่าทันตัวเอง จากนั้นก็ฟังธรรมอีกรอบ แต่รอบนี้จะต่างจากช่วงเช้า เพราะเราจะฟังในสิ่งที่เราสงสัย อาทิ เราสงสัยว่าขันธ์ 5 คืออะไร เราก็จะเลือกฟังจากยูทูบโดยพิมพ์ข้อความที่เราต้องการทราบลงไป หลังจากนั้นในยูทูบก็จะขึ้นให้เราเลือกว่า เราต้องการฟังสิ่งที่เราสงสัยจากพระรูปใด หรือฟังจากฆราวาสท่านใด ซึ่งถือเป็นการฟังธรรมอีกมิติหนึ่งในการปฏิบัติของเราเลยก็ว่าได้ เพราะบางเรื่องเกี่ยวกับหลักคำสอนฆราวาสอธิบายได้เข้าใจกว่าพระสงฆ์ก็มี หรือบางครั้งเราก็มีโอกาสได้ฟังพระนักเทศน์ที่เป็นพระรุ่นใหม่ที่มีความรู้เรื่องจิตวิทยา การตลาด มาเทศน์ให้ความรู้กับเรา ถือว่าเป็นการฟังธรรมอีกมิติหนึ่งที่เราเพิ่งเคยสัมผัส”
นอกจากมีเวลาว่างอย่างเต็มที่ในการฝึกปฏิบัติธรรมด้วยตัวเอง เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมของชีวิตแล้ว ไฮโซสาวใหญ่ใจบุญยังบอกอีกว่า ช่วงเวลานี้ก็เป็นอีกช่วงที่เธอได้มีโอกาสทำบุญและทำทานได้อย่างเต็มที่
“ช่วงนี้เป็นช่วงที่พี่มีเวลามากที่สุด จึงทำให้มีโอกาสได้ติดตามข่าวสารสถานการณ์บ้านเมืองผ่านทั้งหน้าจอทีวีและโทรศัพท์มือถือ และเมื่อเราเห็นที่ไหนเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ เราก็จะรีบช่วยเหลือทันที ทุกวันนี้พี่ผูกปิ่นโตกับร้านอาหารเพื่อน ให้นำอาหารและเครื่องดื่มอย่างชา กาแฟ ไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องดูแลรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อทุกวัน พร้อมทั้งบริจาคเงินซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ ไม่เว้นแม้แต่เจ้าหน้าที่ที่ดับไฟป่าทางภาคเหนือ เราก็ส่งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไปให้เจ้าหน้าที่ เพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่”
ขณะเดียวกัน ช่วงนี้หลายๆ คนอาจจะเกิดภาวะความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว ไฮโซสาวใหญ่ใจบุญได้แนะวิธีการตั้งรับและวิธีการดูแลจิตใจไม่ให้เกิดความฟุ้งซ่านว่า อยากให้ทุกคนคิดว่าในชีวิตคนเราเมื่อมีขึ้นแล้วก็ต้องมีลงเป็นธรรมดา สุดท้ายแล้วทุกคนต้องไม่ใช้ชีวิตบนความไม่ประมาท เพราะเราไม่สามารถรู้อนาคตได้เลยว่า จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเอง
“ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้เราจะไม่มีวันรู้เลยว่าเราต้องไม่ใช้ชีวิตอยู่บนความประมาท เพราะธุรกิจที่พี่ทำหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นขนส่งน้ำมัน หรือธุรกิจเก็งกำไรอีกหลายอย่างที่เราลงทุนไปก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ก็ไม่รู้ว่าจะฟื้นคืนมาเมื่อไหร่เช่นกัน แต่ขณะเดียวกัน เราก็ต้องคิดบวกว่าก่อนหน้านี้เราเคยได้มาเยอะแล้ว พอตอนนี้จะลงไปบ้างก็ต้องทำใจ และสักวันทุกอย่างก็จะผ่านไปได้ด้วยดี เมื่อก่อนเราไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พอเราหาเงินได้ก็ใช้ไปเกือบหมด พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้จึงสอนให้เรารู้ว่า เมื่อหาเงินได้ก็ต้องแบ่งเก็บมากกว่าครึ่งของการใช้สอย เพราะเมื่อเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เราก็จะได้มีเงินสำรองนำมาใช้ก่อน และอีกอย่างพี่อยากให้มองว่าช่วงนี้เป็นกำไรของชีวิตมากกว่าความหดหู่ท้อแท้ เพราะขณะที่เราได้หยุดอยู่บ้าน เราก็มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้จัดเก็บบ้านที่ทิ้งรกมานาน ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำมานาน แถมประหยัดค่าเดินทางได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันคือผลพลอยได้ เป็นกำไรชีวิตนั่นเอง”
ปิดท้ายที่อีกหนึ่งหนุ่มสายบุญ “จูเนียร์-มนาเทศ อันนวัฒน์” รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม ที่ก่อนหน้านี้ก็ได้ตระเวนเดินสายทั้งไปแสวงบุญปฏิบัติธรรมและฟังเทศน์ยังวัดต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นวัดอุทยาน หรือวัดบวรนิเวศฯ โดยเฉพาะวัดอุทยาน วัดที่เจ้าตัวมักจะไปปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิถือศีลเกือบทุกวันพระ แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 จึงทำให้ตอนนี้ไม่สามารถเดินทางไปปฏิบัติธรรม หรือทำบุญที่วัดได้ดังแต่ก่อน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงห่างจากการถือศีลปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน แถมช่วงเวลานี้ยังทำให้เขามีโอกาสได้ใกล้ชิดหลักพระธรรมคำสอนของพระศาสดามากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
“ตอนนี้ผมอาศัยการเปิดคลิปธรรมะฟังที่บ้านทุกเช้าเวลาตื่นนอน หลังจากนั่งสมาธิเสร็จ ผมก็จะเปิดคลิปเสียงธรรมะฟังตลอดเวลา เรียกว่าฟังธรรมะมากกว่าฟังเพลงก็ว่าได้ และก่อนนอนนอกจากจะฟังคำพระเทศนาสอนสั่งในการนำหลักธรรมมายึดเหนี่ยวในการดำรงชีวิตแล้ว ผมก็จะนั่งสมาธิอีกรอบ และสวดมนต์ก่อนนอนทุกครั้ง”
ผู้บริหารหนุ่มยังบอกอีกว่า อยากให้ทุกคนมองว่าสถานการณ์ร้ายนี้ เป็นโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต มากกว่าการมานั่งหดหู่ใจ สุดท้ายทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไป เพราะทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้แน่นอน
“ผมอยากให้มองว่าช่วงนี้เป็นเวลาที่ดีของชีวิต ที่เราทุกคนจะได้เรียนรู้หลักสัจธรรมของชีวิตที่ว่า ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะไม่มีใครเคยคาดคิดว่าไวรัสร้ายชนิดนี้จะเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั้งโลก เราได้มองเห็นถึงความไม่แน่นอนของชีวิต ดังนั้น เราต้องไม่ใช้ชีวิตอยู่บนความประมาทอีกต่อไป ขณะเดียวกัน การได้หยุดทำงานที่บ้านก็จะทำให้เรามีเวลาได้เจริญสติและสมาธิมากขึ้น มีเวลาในการชำระล้างจิตใจของเรา เมื่อไรก็ตามที่เกิดความรู้สึกหมกมุ่นหดหู่กับชีวิต ลองนั่งสมาธิ หรือเดินจงกรมให้จิตของเราเพ่งอยู่กับสิ่งนั้น ผมเชื่อว่าวิธีนี้ก็จะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการทำสมาธิไม่ให้วิตกกังวลต่อสิ่งรบเร้าภายนอกของชีวิต”