xs
xsm
sm
md
lg

ฮีโร่ฟ้าทะลายโจร มหาคุณ เทพสุทิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 นอกจากหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์จะกลายเป็น Must have Item แล้ว สมุนไพรที่คนไทยคุ้นหูเป็นอย่างดีอย่าง “ฟ้าทะลายโจร” ก็กลายเป็นอีกหนึ่งไอเท็มหายากที่ขายดีจนแทบขาดตลาด เพราะด้วยสรรพคุณที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคได้

งานนี้ มหาคุณ เทพสุทิน ผู้คลุกคลีในวงการสมุนไพรไทยมานานร่วม 20 ปี และเป็นผู้ก่อตั้ง “ตำรับไทย สมุนไพรไทย” ร้านจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับสมุนไพรไทย จึงใช้โอกาสนี้จัดแคมเปญ “ปกป้องคนไทยด้วยสมุนไพรไทย” แจกฟ้าทะลายโจร 34,000 กระปุก กระปุกละ 10 แคปซูล กระจายผ่าน 115 สาขาในทุกภูมิภาค เมื่อช่วงต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเจ้าตัวออกตัวว่ายังเป็นช่วงที่ฟ้าทะลายโจรยังมีอยู่เยอะในตลาด แต่ช่วงนี้สินค้ามีน้อยลง แต่เขาก็ตั้งใจว่าถ้ามีสินค้าเข้ามาจะวางขายในราคาปกติ

“ปกติฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรไทยที่บ้านเรามีเยอะมาก แต่ช่วงก่อนหน้านี้ลูกค้ามีความต้องการมากขึ้น มาซื้อที 20-30 กระปุก บางท่านสั่งซื้อทีละ 100 กระปุก ตอนนั้นผมเริ่มตั้งคำถามว่า แล้วคนที่เข้าไม่ถึงสมุนไพรตัวนี้หรือซื้อไม่ทันจะทำอย่างไร เลยปรึกษากับซัปพลายเออร์ และคิดแคมเปญขึ้นมา เพราะอยากใช้สมุนไพรปกป้องคนไทย นำฟ้าทะลายโจร ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านมาแจกจ่าย โดยไม่จำกัดว่าต้องเป็นลูกค้าของทางร้าน คนละ 10 แคปซูล ซึ่งเป็นปริมาณที่ปลอดภัย โอกาสที่กินแล้วจะเกิดผลข้างเคียงมีน้อยมาก”



เหตุผลที่เขาอยากตอบแทนสังคม เพราะเติบโตมากับธุรกิจนี้ “ตอนที่คิดจะทำเราประชุมกับทีมเลยว่า จะมีวิธีการแจกอย่างไร เพราะเราไม่อยากให้สุดท้ายความหวังดีของเรากลายเป็นสร้างปัญหาให้สังคม เราเลยมีเจลล้างมือไว้ที่จุดแจก มีการเว้นระยะห่าง และที่สำคัญมีแพทย์แผนไทยประจำอยู่ด้วย เพื่อให้คำแนะนำในการใช้สมุนไพรไทย อย่าง ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่กระทรวงสาธารณสุขประกาศว่ามีฤทธิ์ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย แต่ไม่ว่าจะยาหรือสมุนไพรมีทั้งคุณและโทษ ถ้ากินไม่ถูกหลักก็เป็นอันตรายได้

“นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมร้านเราต้องมีแพทย์แผนไทยคอยให้คำแนะนำ เพราะไม่มีสมุนไพรตัวไหนดีหรือเสีย 100% ในดีมีเสีย ในเสียมีดี ข้อดีของยาสมุนไพรคือ ค่อยๆ ออกฤทธิ์ ไม่เหมือนกับยาแผนปัจจุบันที่ออกฤทธิ์ค่อนข้างเร็ว”

กว่าจะเป็นตำรับไทย ศูนย์รวมสมุนไพรไทย

ตลอด 19 ปีที่อยู่คู่คนไทย เขายังมีแผนจะขยายให้ครบ 300 สาขาภายใน 3 ปี

“ธุรกิจนี้ผมสร้างมาเพื่อรองรับลูกค้าคนไทย ฉะนั้น แผนที่จะขยายไปต่างประเทศยังอีกไกลมาก เหตุผลหลักคือเราไม่เชี่ยวชาญตลาดต่างประเทศ ดังนั้นจึงเลือกพัฒนาธุรกิจให้เข้าถึงคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ดีกว่า” มหาคุณบอกด้วยแววตามุ่งมั่น ก่อนจะย้อนวันวานไปถึงจุดเริ่มต้นของตำรับไทย ธุรกิจที่ปลุกปั้นตั้งแต่สมัยวัยรุ่น


“ผมชอบค้าขายมาตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนเวลามีอะไรฮิตๆ ก็จะหาไปขายเพื่อนๆ ค่อยๆ เก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆ พออายุ 17 ก็คิดว่าอยากหารายได้ด้วยตัวเอง เลยไปสมัครงานพาร์ตไทม์ แต่โชคไม่เข้าข้าง ไม่มีใครรับเพราะเห็นว่าลุคผมดูไม่น่าจะทำอะไรเป็น สุดท้ายมาได้งานเป็นพนักงานขายที่ร้านสมุนไพร ผมตั้งใจทำงานเต็มที่เพราะอยากทำให้คุ้มค่าจ้างที่ได้ ผมใส่ใจงานที่ทำ ศึกษาข้อมูลสินค้า ทำให้ช่วง 1 ปีที่ทำงานที่นี่ยอดขายของร้านดีมาก นอกจากผมจะเก็บออม ยังสั่งสมประสบการณ์จนมากพอ แล้วตัดสินใจนำเงินเก็บที่มีประมาณ 7-8 หมื่นบาทไปติดต่อขอเช่าพื้นที่ที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เพื่อเปิดร้านขายสมุนไพร ปรากฏว่าใช้เวลาอยู่ 6 เดือนกว่าจะขายโปรเจกต์ที่เริ่มต้นจากกระดาษแผ่นเดียว ไปขอเช่าพื้นที่ จนค่อยๆ พัฒนาเป็นคอนเซ็ปต์ร้าน มีภาพ Perspective ไปขายจนผ่าน ได้พื้นที่คีออสก์สาขาแรกมา ปรากฏว่าฟีดแบ็กดี สามารถขยายเป็น 2 สาขาได้ภายใน 1 ปี”

ช่วงที่มุ่งมั่นสร้างธุรกิจเล็กๆ นั้น เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เขากำลังจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย แรกเริ่มเขาเลือกเรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่เคราะห์ร้ายตกเป็นเหยื่อแก๊งปล้นโทรศัพท์ ถูกตีหัวต้องเย็บ 30 เข็มไม่พอ ช่วงที่ป่วยยังต้องดรอปเรียนทำให้ตามเพื่อนไม่ทัน สุดท้ายจึงตัดสินใจพักมาทำธุรกิจ ก่อนจะเบนเข็มมาเรียนต่อด้านธุรกิจระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยแทน

“พอมาเรียนด้านธุรกิจ ผมว่าช่วยเสริมธุรกิจที่ทำอยู่มาก เหมือนเรียนทฤษฎีมาแล้วมีหน้าร้านเป็นห้องทดลองจริง แต่พอทั้งเรียนและบริหารธุรกิจก็หนักเอาเรื่อง ชีวิตผมในรั้วมหาวิทยาลัยแทนที่จะมีแต่เรียน เพราะเรียนเสร็จก็ต้องไปสาขา ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้มีบริษัท ตั้งแต่ทำออเดอร์ เทรนพนักงาน ทำบัญชี ดูแลรายรับรายจ่ายอยู่ที่หน้าร้านหมด”

ฟังดูเหมือนเส้นทางการสร้างธุรกิจจะราบเรียบ แต่ในความเป็นจริงแค่เปิดร้านวันแรกก็มีเหตุให้ฟาดเคราะห์ใหญ่

“วันแรกที่เปิดร้าน ไม่รู้เราไปทำระบบไฟผิดตรงไหน เสียบปลั๊กปุ๊บ ไฟดับทั้งร้านไม่พอ ลูกค้ารายแรกๆ ที่มาอุดหนุนยังทำเอาผมแทบหมดกำลังใจ เพราะทำทีเป็นเข้ามาสั่งออเดอร์ล็อตใหญ่ แต่พอจะจ่ายเงิน กลับบอกว่าต้องไปกดเงิน ปรากฏไม่ได้ไปเฉยๆ เอาโทรศัพท์มือถือผมไปด้วย (หัวเราะ) ตอนนั้นผมก็อาศัยลูกสู้ครับ ทำมาเรื่อยๆ ทั้งเรียนทั้งบริหารร้าน จนพอขึ้นปี 4 สามารถขยายเป็น 7 สาขา ทุกอย่างก็เริ่มเป็นระบบมากขึ้น”


ชีวิตที่มาไกลเกินฝัน

ถามว่า การเติบโตของธุรกิจเป็นไปตามเส้นทางที่วางไว้หรือไม่ มหาคุณตอบชัดเลยว่า “เกินฝันไปมาก จากวันที่เริ่มธุรกิจ ผมคิดแค่ว่าอยากหาเลี้ยงตัวเอง จะได้ไม่ต้องรบกวนพ่อแม่ แต่พอทำไป ปรากฏว่าธุรกิจไปได้ดีกว่าที่คิด อีกเรื่องที่ผมให้ความสำคัญคือ การบริการ ด้วยสินค้าที่เป็นสมุนไพร ลูกค้าของเราจะเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ ฉะนั้น การให้บริการด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน พูดจาดีไม่พอ สีหน้า น้ำเสียงต้องจริงใจ ที่สำคัญ ผมมีนโยบายเลยคือ ห้ามทะเลาะกับลูกค้า ไม่ว่าเคสไหนให้ยอมลูกค้าก่อน”

ที่ผ่านมา จะเห็นว่าตำรับไทยไม่มีแฟรนไชส์ และมีสาขาอยู่ในห้างสรรพสินค้าทั้งหมด นั่นเป็นเพราะมหาคุณเล็งเห็นโอกาสในธุรกิจที่ไม่ค่อยมีคู่แข่งทางตรง แต่อาจมีคู่แข่งทางอ้อมเยอะ “ร้านสมุนไพรส่วนใหญ่ที่มีในห้างจะเป็นคีออสก์เล็กๆ ไม่มีเป็นชอปที่รวมสมุนไพรตั้งแต่หัวจดเท้า ใช้ภายนอกและภายใน ฉะนั้น ช่วงที่เปิดใหม่ๆ เราก็เหมือนแกะดำ เลยต้องสร้างความแตกต่างด้วยการยกระดับความเป็นโลคัลแบรนด์ ผ่านการตกแต่งหน้าร้านให้ดูสวยงาม ทำให้สินค้ามีมาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าว่าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรของร้านเราปลอดภัยจริง โดยเราจะคัดเฉพาะสินค้าที่มีใบอนุญาต ได้รับการรับรอง มีแหล่งผลิตที่แน่นอน วันเดือนปีที่ผลิต ล็อตการผลิตของสินค้าต้องชัดเจน”

19 ปีที่ผ่านมา มหาคุณยอมรับว่าเห็นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ ผู้ผลิตสมุนไพรรายใหญ่ๆ มีการส่งไม้ต่อจากรุ่นพ่อมาถึงรุ่นลูก แต่เขายังคงบริหารธุรกิจนี้อยู่ อาจเพราะเริ่มต้นธุรกิจเร็วกว่าคนอื่น

“นอกจากเจนฯ ของคนในวงการธุรกิจที่เปลี่ยนไป ผมว่าตลาดให้การยอมรับสมุนไพรมากขึ้น เพราะสมุนไพรเริ่มมีจุดขายที่คุณภาพสินค้า กระบวนการผลิต มีการพัฒนาฉลากโลโก้ให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ที่สำคัญ ผู้บริโภคเลือกด้วยมาตรฐานของสินค้า ไม่ได้เชื่อด้วยเขาบอกให้เชื่อว่าใช้ดี”


จากวันนั้นจนวันนี้ มหาคุณยอมรับว่าผ่านมาหลายวิกฤต แต่เขามีวิธีรับมือกับทุกปัญหาที่เข้ามาอย่างน่าสนใจ “การทำงานทุกอย่างย่อมต้องเจอปัญหา ผมพยายามทำตัวให้คุ้นชินกับปัญหา เพราะต้องเจอทุกวัน โดยพยายามโฟกัสที่วิธีการแก้ปัญหา ส่วนตัวผมมีไอดอลคือ คุณแม่ ท่านมีวิธีคิดค่อนข้างเฉียบ คำสอนที่ผมจำได้ขึ้นใจคือ เมื่อเจอปัญหาแล้วมีซ้ายหรือขวาให้เลือก คุณแม่จะสอนให้เลือกเลย แล้วรับข้อเสียของทางที่เลือกให้ได้ เพราะอย่างน้อยมันจะทำให้เราไปถึงจุดหมาย แต่ถ้าเรามัวแต่อยู่ตรงกลาง ไม่เลือกหรือตัดสินใจช้า อาจทำให้แก้ไขอะไรไม่ได้เลย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจหรือเปลี่ยนผ่านอะไรก็ตาม ผมจะค่อนข้างเร็วครับ”

ปิดท้ายด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้บริหารสายลุย “ผมทำงาน 7 วันก็จริง แต่ก็แบ่งเวลาสำหรับกิจกรรมที่ชอบเสมอ นั่นคือ การออกกำลังกาย ก่อนหน้านี้ผมเข้าฟิตเนสตอน 4 ทุ่มถึงเที่ยงคืน เพราะเป็นช่วงที่สาขาและบริษัทปิดแล้ว ผมสามารถไปเวตเทรนนิ่ง ยกลูกเหล็กหนักๆ หรือวิ่งบนลู่แบบหัวว่างๆ ไม่ต้องคิดเรื่องงาน เป็นช่วงที่มีความสุขมาก ได้ผ่อนคลาย เอนจอยกับการเสียเหงื่อ แล้วกลับบ้านนอน กิจวัตรของผมเป็นแบบนี้ทุกวัน ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์ที่ผมไม่ได้ไป เพราะว่าครูไม่อยู่ ซึ่งถ้าครูอยู่ผมก็ไป

สิ่งที่น่าดีใจคือ ทุกวันนี้คุณพ่อคุณแม่ผมก็ไปเข้าฟิตเนสด้วย แต่พวกท่านเลือกออกกำลังกายตอนเช้า เหตุผลที่คุณพ่อคุณแม่ซึ่งอยู่ในวัยเกษียณมีวินัยในการดูแลตัวเองเพราะเรามีกัน 3 คนพ่อแม่ลูก เรามีกฎในครอบครัวคือ จะไม่เป็นภาระกันและกัน เราเลยพยายามดูแลตัวเองให้แข็งแรง ภายนอกอาจจะดูเหมือนทำเพื่อตัวเอง แต่จริงๆ เราทำเพื่อกันและกันครับ” มหาคุณทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น