ชื่นมื่นรับปี 2020 กันเลยทีเดียว สำหรับงานวิวาห์แสนโรแมนติก ที่เพิ่งจัดไปเมื่อปลายปี 2019 ของ “หนุ่มกล้า-ภาคย์ธนา ปรีดาวิภาต” นักธุรกิจหนุ่มด้านอสังหาริมทรัพย์ ผู้ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กับ “หญิงไหม-ม.ร.ว. จันทรนิภา ยุคล” ธิดาใน พล.ต.ม.จ. จุลเจิม ยุคล กับ หม่อมอัญชลี ยุคล ณ อยุธยา หลังปลูกต้นรักกันมานานกว่า 5 ปี บ่มเพาะความใกล้ชิดจากเพื่อนสนิทสู่คู่ชีวิตที่เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี
บอกได้เลยว่า แม้ภายนอกทั้งคู่จะดูเหมือนคู่รักวัยรุ่นหวานแหวว ที่หวานเวอร์จนใครเห็นต้องอิจฉา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นคู่ที่คบกันแบบแมนมากๆ ตามที่ฝ่ายหญิงออกตัวว่า “เราเป็นคู่ที่ชิลมาก ไม่จำเป็นต้องเซอร์ไพรส์กันทุกเทศกาล ไม่ต้องโทร.รายงานตัวหลังอาหาร ขอแค่ไว้ใจและเชื่อใจกันก็พอ”
อัปเดตชีวิตคู่รักข้าวใหม่ปลามัน
“หลังจบปริญญาตรี คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไหมก็ยังช่วยพี่หญิงแม้น (ม.ร.ว. แม้นนฤมาส ยุคล สวัสดิ์-ชูโต) ขายของออนไลน์ ซึ่งทำมาตั้งแต่สมัยเรียน แต่พอตอนหลังต่างมีภารกิจ ไม่มีเวลาเลยหยุดไป จนล่าสุด ไหมมาทำสตูดิโอถ่ายรูปชื่อ ภวังค์สตูดิโอ ตรงพระราม 9 เพื่อให้เช่าสำหรับถ่ายเอ็มวี ละคร โฆษณา หรือภาพนิ่ง” ฝ่ายหญิงเล่าถึงงานใหม่ที่ทำอย่างออกรสก่อนเสริมว่า
“เหตุผลที่มาเริ่มทำสตูดิโอ เพราะกล้าอยู่ในธุรกิจอสังหาฯ เวลาวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ เขาจะชอบขับรถไปดูโครงการอสังหาฯ ใหม่ๆ มองหาว่ามีที่ดินแปลงไหนน่าสนใจสามารถนำมาพัฒนาได้ จนมาเจอที่ดินผืนนี้ตรงพระราม 9 ซึ่งไม่ไกลจากบ้านไหมมาก และยังเป็นโลเกชั่นที่เราแวะมาทานอาหารแถวนี้บ่อยๆ เลยคิดว่าน่าจะซื้อเก็บไว้ เพราะในอนาคตราคาน่าจะขึ้นอีก
ตอนแรกมีไอเดียว่าจะรีโนเวทบ้านบนที่ดินผืนนี้แล้วขายต่อ แต่ด้วยความที่ทำเลโอเค เลยเสียดาย เพราะถ้าเราพัฒนาแล้วขายต่อก็ไม่ได้กำไรส่วนต่างเยอะ สู้ทำเป็นสตูดิโอแล้วเก็บที่ดินไว้ดีกว่า เลยกลายเป็นที่มาของภวังค์ สตูดิโอ”
หลังจากเปิดสตูดิโอได้ไม่นาน ก็มีลูกค้ามาใช้บริการไม่ขาดสาย “ช่วงแรกๆ ก็ยังต้องปรับหลายอย่าง ลองผิดลองถูกไป แต่ที่เซอร์ไพรส์คือ ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่มาถ่ายโฆษณามากกว่าภาพนิ่ง”
ปล่อยให้ภรรยาอัปเดตสเตตัสไปแล้ว ก็ถึงคิวของกล้าดาวรุ่งดวงใหม่ในวงการอสังหาฯ บ้าง หลังจากเปิดตัวโครงการแรกของบริษัท คือ “อาชิ” ประชาอุทิศ 54 ย่านสุขสวัสดิ์ เป็นทาวน์เฮาส์ 2 ชั้นครึ่ง ส่วนโครงการล่าสุดคือ ซิเซน พัฒนาการ 32 เป็นทาวน์โฮม สูง 3 ชั้นครึ่ง และทาวน์โฮม 4 ชั้นครึ่ง
“ผมจบปริญญาตรีคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ตอนปี 3 ปี 4 ไปฝึกงานก็รู้ตัวแล้วว่าสถาปนิกไม่ใช่อาชีพที่ผมอิน พอจบมาได้ทำงานจึงเบนเข็มมาเรียนภาคค่ำจนจบปริญญาโท สาขาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ระหว่างเรียนผมทำงานที่บริษัทของครอบครัว ซึ่งอยู่ในธุรกิจอสังหาฯ มีตึกออฟฟิศที่บริหารอยู่คือ เล่าเป้งง้วน ตรงวิภาวดี และพัฒนาอสังหาฯ ในนามบริษัทธนาพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นเจ้าของโครงการ Sym Condo กับ Jade Townhome
แต่ถึงจะบริษัทของครอบครัว ผมก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้ในสายงานต่างๆ ตั้งแต่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บัญชี ไปจนถึงจัดซื้อ ทำมา 5 ปี นั่งมา 6-7 ตำแหน่ง ก่อนจะได้มาแตกไลน์ธุรกิจทำโปรเจกต์ใหญ่ที่บอกคือ โครงการอาชิ และซิเซน” ผู้บริหารหนุ่มเล่าถึงเส้นทางชีวิตก่อนเสริมว่า
“ผมเป็นคนแรกที่พาพี่ๆ มาดูที่ดินตรงพัฒนาการ เพราะมองว่าย่านนี้ในอนาคตต้องมาแรง เพราะอยู่ถัดจากเอกมัย พระโขนงมาไม่มาก ตอนแรกมาดูที่ดินในซอยนี้มี 3-4 แปลง สุดท้ายเลือกแปลงที่มีพื้นที่ประมาณ 8 ไร่ ตอนนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดขายประมาณเดือน มิ.ย.ปีหน้า”
เปิดเส้นทางความรักจากเพื่อนสนิทสู่คู่ชีวิต
มาถึงโมเมนต์แสนหวาน ที่ทั้งคู่เล่าไปอมยิ้มไปถึงจุดเริ่มต้นเรื่องราวความรัก ซึ่งฝ่ายหญิงนิยามว่าเริ่มแบบ “งงๆ” แต่ลงเอยด้วยความสุข
“ไหมเจอกับกล้าในงานวันเกิดของเพื่อนที่เรียนที่จิตรลดา ซึ่งบังเอิญว่าเขาเป็นเพื่อนกับเพื่อนของกล้าที่เรียนด้วยกันที่เตรียมอุดมฯ แถมเพื่อนทั้งคู่เกิดเดือนเดียวกัน เลยจัดงานวันเกิดด้วยกัน แล้วชวนเพื่อนมาปาร์ตี้ และตอนที่ไหมไปถึงงานเพื่อนของไหมกำลังจะกลับ ตอนแรกไหมก็ลังเลจะเอาไงดีเพราะเจ้าภาพกลับแล้ว แต่ไหนๆ มาแล้วก็อยู่ต่อ ปรากฏว่าด้วยบุคลิกไหมเป็นแนวไม่ค่อยเข้าสังคม เพื่อนกล้าเห็นก็กลัวว่าไหมจะเหงา ไม่สนุก เลยส่งกล้ามาชวนคุย เป็นหน่วยเอ็นเตอร์เทนฯ เราเลยได้รู้จักกัน”
เล่ามาถึงตรงนี้ ฟังดูอาจเหมือนพล็อตซีรีส์เกาหลี ที่เป็นจุดเริ่มต้นของพระ-นาง แต่เรื่องราวของทั้งคู่กลับห่างไกลจากคำว่าโรแมนติกลิบลับ
“ตอนนั้นเพื่อนเขาไม่ได้ส่งกล้ามาเพราะว่าอยากจะจับคู่เรานะคะ” หญิงไหมออกตัว ขณะที่ หนุ่มกล้าก็เป็นกำลังเสริมว่า “ที่เพื่อนๆ ส่งผมมาเพราะเขาเห็นว่าผมเป็นพวกเอ็นเตอร์เทนฯ เก่ง เฮฮา ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไร สมัยเรียนนั้นเป็นพวกชอบทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ อยู่แล้ว”
แม้จะประสานเสียงว่าไม่คิดอะไร แต่จุดเริ่มต้นของการสานต่อความสัมพันธ์จากคนรู้จักสู่เพื่อนก็เริ่มขึ้น เมื่อกล้าตัดสินใจแอดเฟซบุ๊กของไหม
“ไหมก็ถามนะว่าแอดมาได้อย่างไร เขาก็บอกว่าแอดจาก Mutual friends ที่มี แถมแอดมาไม่พอ ยังชวนคุยด้วย ซึ่งไหมก็คุยนะ แต่คุยกันแบบเพื่อนจริงๆ เพราะเราคุยกันถูกคอ ชอบดูหนัง ฟังเพลงเหมือนกัน เกือบปีที่คุยกัน เขาไม่เคยมีทีท่าว่าจะจีบนะ เบอร์โทร.ก็ไม่มี คุยกันทางแชท ไหมเองก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะช่วงมหาลัยก็เพื่อนเยอะ ส่วนใหญ่มีแต่เพื่อนผู้ชายอยู่แล้ว เราไม่เคยนัดเจอกัน บางทีมีคุยบ้างหายบ้าง จนตอนที่กล้าจะรับปริญญา ด้วยความที่เพื่อนไหมเรียนคณะเดียวกับกล้า ไหมจะไปงานรับปริญญาเพื่อนอยู่แล้ว นึกถึงเขาพอดี เลยทักไปแสดงความยินดี และกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ได้กลับมาคุยกันอีกครั้ง”
การกลับมาคุยกันอีกครั้งนี้เอง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการอัปเลเวลจากเพื่อนสู่คนพิเศษ”
ก้าวข้าม Friend Zone
“หลังจากนั้น เราคุยกับเยอะขึ้น ไหมว่าคงเพราะเป็นช่วงที่เราทั้งคู่เรียนจบ เขาเองจากที่หว่านไปทั่ว กำลังแตกเนื้อหนุ่ม เขาคุยหลายคน เริ่มโฟกัสกับชีวิตมากขึ้น” ไหมพูดเหมือนนั่งอยู่ในใจฝ่ายตรงข้าม เพราะกล้าได้แต่ฟังไปยิ้มไป ราวกับถูกจี้ใจดำ
“ไหมเข้าใจนะ เพราะช่วงมหาลัยเหมือนเป็นช่วงค้นหาตัวเอง จริงๆ ก็ดีใจนะ ที่เหมือนเราสองคนได้ใช้ชีวิตเต็มที่ไปแล้วช่วงมหาลัย แล้วมาเจอกันในช่วงที่ถูกเวลา คือช่วงมหาลัยเป็นช่วงที่อยากทำอะไร คุยกับใคร พอเรียนจบเหมือนมาถึงจุดอิ่มตัว จุดที่พอแล้ว เหนื่อยแล้ว หันมาโฟกัสที่งาน ครอบครัว มีเป้าหมายชัดเจน”
หลังจากตกลงปลงใจว่าจะจีบ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ “คู่เราคลิกกันเร็ว เพราะเราต่างเป็นตัวของตัวเองแต่แรก คบกันมา 5 ปีก็ยังคุยกันเหมือนเพื่อน จนแม้แต่โมเมนต์ที่ขอเป็นแฟนก็ไม่มี เราเป็นคู่ที่นิ่งมาก คบกันแบบไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน ไม่ได้สวีตมาก ไม่เคยตกลงว่าเราเป็นแฟนกัน จนเขาพาไปที่บ้านตอนวันลอยกระทง ก็เหมือนเป็นการประกาศกลายๆ ว่าเราเป็นแฟนกัน ทุกอย่างสมูทไปด้วยตัวมันเอง เหมือนเส้นตรง จนสุดท้ายเราก็แต่งงานกัน”
แม้จะเริ่มใช้ชีวิตคู่กันได้ไม่นาน แต่อย่างที่เกริ่นไว้ว่า ด้วยความสัมพันธ์ที่ถักทอจากการเป็นเพื่อนสนิท ทำให้ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องปรับตัวอะไรมาก
“เราไม่เคยเปลี่ยนอะไรกันเลย เขาเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไหมเองก็เหมือนกัน เราไม่เคยมีข้อตกลงหรือกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ เชื่อมั้ยว่า เราคบกัน 5 ปี ทะเลาะกันน้อยมาก นับครั้งได้ หรือแทบจะไม่ทะเลาะกันเลย ถ้าจะมีก็เป็นเรื่องไร้สาระมาก แต่ไม่เกินวันนึงก็หาย ไหมมองว่าในเรื่องความสัมพันธ์ไม่ได้หมายความว่าเราต้องกลืนเป็นคนเดียวกัน เราไม่จำเป็นต้องก้าวก่ายกัน เราเคารพสิทธิเสรีภาพของกันและกันมากๆ เหมือนเราเป็นคนสองคนที่มาอยู่ด้วยกันมากกว่า เราเลยอยู่ด้วยกันได้ดีมาก ตั้งแต่คบกัน ถ้าเขาจะออกไปเที่ยว ไหมไม่เคยโทร.ตามเลยแม้แต่ครั้งเดียว เราให้อิสระกันมากๆ และให้พื้นที่ส่วนตัวกันมาก สบายๆ ไม่ต้องฝืนอะไร ไม่ได้คาดหวังให้เขาเป็นแบบนี้ๆ เขาเองก็เช่นกัน เราเคารพและยอมรับซึ่งกันและกัน”
ฟังมาถึงตรงนี้ หนุ่มกล้าจึงเสริมว่า “อาจเพราะเขาเป็นแบบนี้มั้งครับ ทำให้ผมดีด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะเกรงใจเขานะ แต่มันถึงจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่าคนนี้คือคนที่เราโอเค คือผมค่อนข้างนิ่งมาก ตั้งแต่คุยกับเขา”
“จริงๆ ตอนที่เพื่อนไหมรู้ว่ากล้ามาจีบไหม ด้วยความเป็นเพื่อนที่ดี ทุกคนก็ไปสืบมาให้ แล้วลงความเห็นกันว่า “ไม่โอเค” (หัวเราะ) เจ้าชู้ เพื่อนๆ ก็ห่วง เพราะกล้าเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวของไหม แล้วก็แต่งงานเลย แต่ด้วยความที่ไหมเป็นคนไม่ตัดสินใคร ซึ่งอาจเป็นอีกจุดที่ทำให้เขาประทับใจ เราไม่ได้ฟังคนอื่นว่าเขาไม่โอเคแล้วไม่คบ แต่เราลองทำความรู้จักเขาด้วยตัวเอง ไม่ได้คาดหวังว่าเขาต้องเป็นอย่างไร อาศัยว่าอยู่ด้วยกันแบบสบายใจ”
เซอร์ไพรส์ของสามีจอมวางแผน
แม้จะเป็นคู่ที่ชิลๆ มีความสุขกับสิ่งง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวหรือกินอาหารนอกบ้าน แค่อยู่บ้าน ดูหนัง ทำอาหาร ฟังเพลงที่ฝ่ายชายซึ่งบางครั้งมีอารมณ์ศิลปินหยิบกีตาร์มาเล่นก็เพลินแล้ว สำหรับเรื่องโรแมนติกหรือเซอร์ไพรส์ไม่ต้องพูดถึง เพราะทั้งคู่ออกตัวอยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นคู่รักที่มีพิธีรีตอง วันครบรอบ วันเกิดไม่ได้ต้องมีของขวัญพิเศษ เพราะถ้าอยากให้ก็ให้ ไม่จำเป็นต้องมีโอกาส นี่คือความในใจจากฝ่ายหญิง
แต่สำหรับฝ่ายชายแม้จะพยักหน้าเห็นด้วย แต่บทจะเซอร์ไพรส์ ก็เล่นใหญ่ไม่เบา
“เซอร์ไพรส์ล่าสุดคือ ในงานแต่งงาน เขาแต่งเพลงให้และร้องในวันแต่งงาน ก่อนหน้านี้ก็มีบ้าง อย่างตอนวันเกิดเมื่อ 3 ปีก่อน เขาบอกว่าติดงานจะมาเจอตอนเย็น ไหมก็โอเค ไปกินข้าวกลางวันกับครอบครัว ปรากฏว่าเขาร่วมมือกับพี่หญิงแม้นไปหาชุดมาสคอตยีราฟ มาเต้นอวยพรวันเกิด ไหมก็งงๆ พอเปิดหมวกออกเป็นกล้า (หัวเราะ)”
แต่เซอร์ไพรส์ไหนก็คงไม่เท่าตอนที่เซอร์ไพรส์ขอแต่งงาน เรื่องนี้ไหมหลีกทางให้สามีเป็นคนเล่า
“ผมวางแผนตั้งแต่ ส.ค.ปีที่แล้ว โดยให้เพื่อนไปหลอกวัดขนาดแหวน ไปหลอกถามว่าถ้าแต่งงานอยากแต่งแบบไหน แล้วก็ค่อยๆ วางแผน จนใกล้ๆ ม.ค.ก็ปรึกษากับพี่หญิงแม้น ว่าอยากขอแต่งงาน จะไปขอที่ต่างประเทศหรือต่างจังหวัดดี พี่หญิงแม้นเลยแนะนำว่า ไหนๆ ก็จะมีทริปครอบครัวจะไปทอสีเลคฮิล ช่วง ม.ค.อยู่แล้ว เพราะเป็นวันเกิดของท่านพ่อ น่าจะถือโอกาสที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าขอแต่งงาน เพราะไหมเป็นคนที่ติดครอบครัวมาก ผมก็เลยเลือกแบบนั้น ซึ่งคิดถูก เพราะกลายเป็นการขอแต่งงานที่อบอุ่นมาก มีครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชาย (ม.ร.ว. รังษิพันธ์ ยุคล) ทั้งพี่หญิงแอร์ (ม.ร.ว. จันทรลัดดา ยุคล) ทุกคนมีส่วนช่วยกันทำเซอร์ไพรส์นี้”
“วันนั้นไหมไม่รู้เรื่องเลย ไม่ได้แต่งหน้า ชุดก็โทรม แต่พี่หญิงแม้นน่ารักมาก เตรียมชุดมาให้เปลี่ยน เลยได้ถ่ายรูปสวยๆ” ไหมถือโอกาสเสริม ก่อนที่กล้าจะเฉลยต่อว่า
“ช่วงก่อนขอแต่งงาน ผมพยายามเลี่ยงไม่คุยเรื่องนี้กับเขา เพราะจริงๆ เขาก็ไม่เคยกดดันเรื่องแต่งงาน ไม่เคยคุยกันเรื่องนี้ด้วยซ้ำ จะมี 2-3 ปีที่แล้วที่ไหมบอกว่า ถ้าจะขอแต่งงานอยากได้แหวนวงนี้ แบรนด์นี้เพราะเป็นแบรนด์ของเพื่อนเขา ซึ่งผมก็แอบไปซื้อมาให้”
หลังจากเปลี่ยนสถานะจากแฟนมาเป็นคู่ชีวิต แค่เห็นรอยยิ้มของทั้งคู่ ไม่ต้องถามก็รู้ว่าชีวิตคู่นั้นลงตัวแค่ไหน
“ไหมมองว่าความรักของเราคือ ความเรียบง่าย ความสบายใจ เราเป็นให้กันทุกอย่าง เหตุผลที่เราอยู่ด้วยกันมานาน เพราะเราเป็นทั้งเพื่อนสนิท แฟน พี่น้อง ครอบครัว เราไม่ได้เป็นแค่คนรัก หรือมีอะไรมาจำกัดความความรักของเรา เราอยู่ด้วยกันด้วยความเรียบง่าย ไม่ต้องพยายามมาก จะมีที่ไหมเป็นห่วงคือ กล้าทำงานเยอะ เป็นห่วงสุขภาพ บางทีก็เครียด ในฐานะภรรยา ไหมก็พยายามดูแลเขา ให้เวลาที่กลับมาบ้านเขารู้สึกสบายที่สุด”
ส่วนเรื่องทายาท ทั้งคู่ทิ้งท้ายว่า เลือกจะขอพักไว้ก่อน เพราะอยากขอดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตคู่กันอีกสักพัก รออีก 2-3 ปีค่อยคิดเรื่องทายาท ที่จะมาเติมเต็มครอบครัวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น