>>จากไลฟ์สไตล์ความหลงใหลในท้องทะเลนำไปสู่การลงมือทำธุรกิจของคู่รัก “ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์” กับ “ออม-ธัญชนก วัชโรทัย” ที่ทั้งสองยอมทุบกระปุกทุ่มเงินหมดหน้าตักมาลงขันทำธุรกิจให้เช่าเรือยอชต์ร่วมกัน แม้ว่าช่วงแรกของการเริ่มต้นธุรกิจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ทั้งสองยังคงจูงมือก้าวไปด้วยกัน กระทั่งวันนี้ “บลู โวยาจ ไทยแลนด์” (Blue Voyage Thailand) กลายเป็นธุรกิจให้บริการเช่าเรือยอชต์ และให้บริการด้านไลฟ์สไตล์ กำลังเติบโตและพร้อมจะแล่นออกไปสู่ท้องทะเลที่กว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
“ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย” ลูกชายคนโตของ “วัชรกิติ วัชโรทัย” ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สำนักพระราชวัง หลานชาย “แก้วขวัญ” กับ “ท่านผู้หญิงเพ็ญศรี วัชโรทัย” หลังศึกษาจบด้านไฟน์อาร์ต จาก SAIC (School of the Art Institute of Chicago) ประเทศสหรัฐอเมริกา และกลับมาเรียนต่อปริญญาโทด้านบริหาร ที่วิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) จากนั้นก็เข้าสู่โหมดการทำงานอย่างจริงจัง ด้วยการรับราชการเป็นตำรวจ แต่เส้นทางของงานสายราชการนั้นอาจจะไม่ค่อยใช่ทางถนัด เพราะความสนใจของเขายังมุ่งไปที่การทำธุรกิจ ด้วยความเป็นหนุ่มอะเลิร์ตและมีไฟเต็มเปี่ยมที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
“ผมเป็นคนไม่ชอบอยู่เฉยๆ ชอบคิด ชอบทำธุรกิจ ผมคิดว่าผมยังมีแรง มีสมอง เคยทำธุรกิจเล็กๆ เป็นร้านขายนาฬิกาโรเล็กซ์โบราณ ซึ่งผมชอบของโบราณ ตั้งแต่สมัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแล้ว เมื่อก่อนก็ซื้อเก็บสะสม เพราะเห็นว่าสวย แล้วก็เริ่มจับนาฬิกามาซื้อขายรวมถึงเครื่องประดับวินเทจด้วย” ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์ เล่าถึงความอะเลิร์ตในตัวเขา
จนกระทั่งมาเจอกับอีกหนึ่งหุ้นส่วนชีวิตและหุ้นส่วนทางธุรกิจ “ออม-ธัญชนก (ชิดชนกนารถ วัชโรทัย)” จากการแนะนำของเพื่อนๆ ซึ่งเมื่อเริ่มทำความรู้จักและเรียนรู้กัน เขาก็เริ่มคลิกเพราะว่ามีไลฟ์สไตล์เหมือนกัน รวมไปถึงความเป็นคนชอบทำธุรกิจเหมือนกับเขาด้วย โดยออมเริ่มเล่าถึงความชอบและประสบการณ์ในการเริ่มต้นทำธุรกิจของเธอว่า
“ออมจบปริญญาตรีสาขาการโรงแรม ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย หลังจากกลับมาก็ทำธุรกิจเสื้อผ้าขายทางออนไลน์ เพราะชอบแฟชั่น ทำทั้งขายส่งและขายปลีก ส่วนชื่อของแบรนด์ตัวเองคือ บลองก์ (Blanc) เป็นเสื้อผ้าผู้หญิงแนวแคชวล ซึ่งเรามีทีมช่างของเราเอง เป็นธุรกิจที่มาจากความชอบส่วนตัว”
ส่วนที่มาคลิกและเข้ากันได้อย่างดีของคู่รักนักธุรกิจคู่นี้ก็คือ การเป็นคนที่มีไลฟ์สไตล์ชอบการเดินทางเหมือนกัน สามารถใช้ชีวิตแบบสุดหรูก็ได้ หรือขณะเดียวกันก็สามารถอยู่อย่างติดดินได้ ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นคู่รักที่มักจะออกไปหาประสบการณ์ชีวิตด้วยการเดินทางไปตามที่ต่างๆ อยู่เสมอ
“ผมเป็นคนชอบเดินทาง ออมก็ชอบเดินทางเหมือนกัน ตั้งแต่สมัยเรียนผมก็ชอบเที่ยว ไปคนเดียวก็ไปได้ พอมาเจอออมเราจูนกันติด เราเป็นคนลุยๆ ชอบเที่ยวทะเลเหมือนกัน เราไปมาหมดทั้งในประเทศและต่างประเทศ
มีอยู่ครั้งหนึ่งเราอยากไปล่องเรือกันสองคน ก็ลองเสิร์ชดูปรากฏว่าไม่มีบริษัทที่ให้บริการเช่าเรือยอชต์แบบวันเดย์ทริปเลย ซึ่งส่วนใหญ่ตามสไตล์การออกเรือของฝรั่งคือเขาจะไปเป็นสัปดาห์เลย ซึ่งก็มีราคาสูงมาก เราเลยคุยกันและร่วมกันเปิดบริษัท “บลู โวยาจ ไทยแลนด์” (Blue Voyage Thailand) ธุรกิจให้บริการเช่าเรือยอชต์ และให้บริการด้านไลฟ์สไตล์ ก่อนขยายมาให้บริการเช่าเครื่องบินเล็ก บลู โวยาจ ไฟลต์”
จุดเริ่มต้นลงทุนทุบกระปุก
จากจุดเริ่มต้นที่มองเห็นโอกาส บวกกับความเป็นคนชอบเสี่ยง ทำให้เขาตัดสินใจลงขันกับภรรยาควักเงินเก็บส่วนตัว ลงทุนสั่งเรือยอชต์แบบครุยเซอร์ลำแรก จากสหรัฐอเมริกา ด้วยมูลค่าเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท เพื่อเริ่มต้นธุรกิจให้เช่าเรือยอชต์แบบเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อการท่องเที่ยว
“เราเริ่มทำกันมาตั้งแต่สมัยเป็นแฟนกัน ปกติเราเป็นคนชอบล่องเรือเที่ยวอยู่แล้ว เพื่อนก็มีเรือยอชต์ส่วนตัว ซึ่งทุกปีเราจะไปเที่ยวกัน ออมก็เลยชอบและติดใจ เวลาไปทะเลจะต้องไปลงเรือ ทุกครั้ง ซึ่งหากย้อนไปเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วกิจกรรมนี้ถือว่าใหม่มาก ไม่ค่อยมีคนรู้ว่าการไปทะเลแล้วได้แล่นเรือออกไปกลางทะเลนั้นสนุกและรีแลกซ์มาก กับความเป็นส่วนตัว และการได้รับการดูแลอย่างดีจากกัปตัน มันคือไลฟ์สไตล์ที่เราชอบ” คุณออมเล่าด้วยน้ำเสียงที่บอกถึงความประทับใจในบรรยากาศการนั่งเรือออกไปเที่ยวในทะเล
โดยคุณปิ๊งเล่าเสริมถึงการลงมาลุยในธุรกิจที่จะเติมเต็มช่องโหว่ของการท่องเที่ยวแบบไลฟ์สไตล์นี้ว่า “อย่างที่บอกว่าเราอยากจะออกไปล่องเรือกัน 2 คน อยากไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่มีเฉพาะเรือลำใหญ่ เลยมองเห็นว่าตรงนี้เป็นตลาดที่หายไป เราต้องการเติมตรงนี้ อยากให้ทุกคนที่ไปเที่ยวทะเลได้สัมผัสประสบการณ์อย่างเราบ้าง การแล่นเรือส่วนตัวออกไป เปิดเพลงฟัง ปล่อยใจให้ว่าง เป็นประสบการณ์แสนพิเศษ ก็เลยตัดสินใจทุบกระปุกหุ้นกันซื้อเรือลำแรก”
แม้จะเป็นเรือขนาดไม่ใหญ่มากนักเพียง 20 ฟุต แต่ก็ให้บริการระดับพรีเมียมเต็มรูปแบบประหนึ่งโรงแรมกลางทะเล ที่มีให้พร้อมทั้งห้องนอน เครื่องปรับอาหาร บริการอาหาร และกัปตัน พาตระเวนไปตามเกาะแก่งต่างๆ ตามแต่ใจลูกค้า
จนกลายเป็นธุรกิจครอบครัว ที่เน้นการบริการทางด้านไลฟ์สไตล์ ระดับลักชูรีครบวงจร มีตั้งแต่เรือยอชต์ให้เช่า ซื้อขาย บริหารจัดการ รวมไปถึงการสรรหาวิลล่าส่วนตัว เครื่องบินส่วนตัว และลีมูซีน ไว้บริการลูกค้าที่อยากจะสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวแบบลักชูรี
“เราติดต่อกับเจ้าของเรือยอชต์ และวิลล่าโดยตรง โดยเราจะเป็นคนดูแล บริหารจัดการ หาลูกค้าให้ ทั้งเรื่องลูกเรือ กัปตันเรือ เราก็เป็นคนจัดหา ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 20 กว่าเจ้าที่เราเป็นตัวกลางในการดูแล”
“เราอยากให้คนมีโอกาสได้เที่ยวอย่างมีไลฟ์สไตล์บ้าง ซึ่งเราก็ค่อยๆ ซื้อเรือเพิ่ม ตั้งแต่วันแรกที่ผมทำ ในตลาดแทบจะไม่มีใครรู้เลยว่ามีการบริการแบบนี้ แต่วันนี้เราค่อยๆ โตตามความต้องการของตลาด เราจัดหาและคัดสรรให้เหมาะกับความต้องการของลูกค้า มีคนมีชื่อเสียงหลายคนเลือกที่จะมาใช้บริการกับผม”
สองหัวดีกว่าหัวเดียว
มีคนบอกว่าเป็นแฟนกันอย่าทำงานด้วยกัน เพราะอาจจะมีการทะเลาะกันบ้านแตกแน่ แต่สำหรับคู่รักนักธุรกิจคู่นี้ ทั้งคู่มีความแฟร์อยู่ในตัว และเขามักจะตัดอีโก้ทิ้งไปในเวลาที่คุยกัน ทำให้เขามองว่าการที่มีอีกคนช่วยกันคิด ช่วยกันมองรอบด้านก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน
“แน่นอนความคิดเห็นเราไม่ตรงกันหรอก ทะเลาะกันบ้างในเรื่องงานแล้วก็จบค่ะ” สาวออมเริ่มต้นเอ่ยถึงการทำธุรกิจร่วมกันสองสามีและภรรยา “แต่เราสองคนรู้ว่าสิ่งที่เราทำเป้าหมายข้างหน้าคืออะไร เราอยากขยายธุรกิจให้เติบโต ฉะนั้นเมื่อเราทำงานด้วยกันเราต้องตัดอีโก้ออกไป”
“ผมว่าการที่สามี-ภรรยาทำงานด้วยกัน มองอีกด้านก็คือเรื่องดี เพราะเราไม่ได้ทำงานคนเดียว เรามีสองสมอง...อย่างสุภาษิตที่เขาว่า “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” เวลาเราเถียงกันเราไม่ได้ต้องการเอาชนะกัน แต่เราเถียงเพื่อหาข้อคิดเห็นที่ดีที่สุด เวลาทำงานอารมณ์ต้องเป็น 0 ใช้เหตุผลในการทำงานให้มาก ซึ่งยากที่สุดในโลก (หัวเราะ) แต่เราต้องคิดถึงเหตุผล คิดถึงสิ่งที่จะตามมา เอาใจเขามาใส่ใจเรา”
ซึ่งกว่าจะมาถึงวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะทั้งสองต้องผ่านความลำบากมาด้วยกันมากมาย และความลำบากเหล่านั้นเองคือพลังที่ทำให้ทั้งสองยิ่งจับมือกันแน่นขึ้นเพื่อผลักดันธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า
“ทุกอย่างที่เรามีวันนี้เพราะเราลงมือทำมัน เราสร้างมันขึ้นมา ไม่มีใครช่วยเลย ตอนแรกลำบากมาก ตอนที่เริ่มทำธุรกิจเราก็ไม่เคยขอเงินพ่อแม่อีกเลย แต่เราก็มีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ กว่าจะมาถึงวันนี้ เจอปัญหามากมาย เหลือเงินในบัญชีแค่หลัก 100 ก็ยังเคย”
ธุรกิจที่ดีคือการรักษามาตรฐาน ไม่ใช่ตัดราคา
แม้ว่าวันนี้ “บลู โวยาจ ไทยแลนด์” จะเป็นธุรกิจที่กลุ่มคนที่ชอบการท่องเที่ยวอย่างมีสไตล์นึกถึง แต่แน่นอนว่าก็จะมีเรื่องของคู่แข่งเกิดขึ้นมาอีกมากมาย อย่างไรก็ดี เขาก็ยังมั่นใจว่าถ้าหากสามารถรักษามาตรฐานและพัฒนาการบริการขึ้นไปอีก เรื่องคู่แข่งก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว
“ทุกวันนี้มีบริษัทที่ทำให้ธุรกิจเดียวกันกับเราเกิดขึ้นมากมาย แต่เราก็มั่นใจในมาตรฐานการบริการ และความเป็นเอกลักษณ์ของเรา เราวางตำแหน่งของเราไว้ในกลุ่มไฮเอนด์อย่างแท้จริง เราไม่สู้คนอื่นที่เขาตัดราคา ให้ราคาที่ถูกกว่า แต่เรายังคงยืนยันของเราอย่างนี้ เรือเราเป็นแบรนด์นำเข้ามีมาตรฐานที่ดี มีการดูแลรักษาความสะอาด การบริการบนเรือคือ 5 ดาว บุคลากรต้องมีใบอนุญาตตามหลักสากล เพราะมาตรฐานเราสูงมาก”
“คนชอบคิดว่าการเลือกเรือเหมือนการเลือกโทรศัพท์ ไม่ใช่ว่าราคาถูกสุดจะมีการบริการที่เหมือนกัน ทุกวันนี้เริ่มมีการแข่งขันกันเรื่องราคา แต่เราก็ยังเน้นเรื่องการให้บริการ ต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ลูกค้าเรา ตอนนี้การทำงานไม่ใช่เรื่องของผลตอบแทนแล้ว เป็นเรื่องของใจล้วนๆ
คนหลายคนทำธุรกิจเพื่อหวังรวย แต่ไปไม่รอดหรอก เพราะถึงเวลาก็มีคนใหม่ที่หวังรวยมาตัดราคา ตัดกันไปตัดกันมาเจ๊งกันหมด ยิ่งเรื่องงานบริการรายละเอียดเยอะมาก เราทำด้วยใจและรสนิยมที่เราคัดสรรมาแล้ว ซึ่งเราเคยเห็นมาหมดทั้งของถูกของแพง เราจึงรู้ว่าจะทำอย่างไรให้ดีที่สุดสำหรับลูกค้า”
ต้องกล้า ต้องลองเสี่ยง และต้องเชื่อมั่นในตัวเอง
เรียกได้ว่าเป็นไอเดียของคนรุ่นใหม่ที่จุดประกายขึ้นมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว จนสร้างเป็นบริษัทของตัวเอง ซึ่งวันนี้บริษัทของเขาและภรรยาก็กำลังเติบโตขึ้น นั่นเป็นเพราะวันนั้นเขากล้าที่จะลงมือสร้างธุรกิจขึ้นมาด้วยตัวเอง
“ผมว่าผมเป็นคนบ้าที่กล้าจะลอง ผมเชื่อตัวเอง รู้ว่าเราทำได้ ทุกวันนี้ไม่ได้มองอะไรแค่เป็นวันๆ แต่เรามองไปข้างหน้า เราต้องบริหารความเสี่ยงให้ถูกด้วย แรกๆ ที่ทำงานผมเป็นลูกเรือเองเลย พอเรือกลับมาเราก็ทำความสะอาด คิดว่าธุรกิจสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้วไม่สำเร็จก็เพราะว่าเจ้าของไม่ได้ลงมือทำเอง ถ้าเราไปจ้างเขาทำซะหมด เขาก็เอาส่วนที่น่าจะเป็นกำไรของเราไป ฉะนั้นเราต้องยอมลงมือทำเองด้วย เราต้องรู้ทุกอย่าง ถ้าเราไม่รู้เราจะไปสั่งให้เขาทำได้ยังไง” ฐิตวัฒน์เล่าถึงความระห่ำในช่วงที่เขาเริ่มทำธุรกิจ
และจะว่าไปแน่นอนว่าในระยะของการเริ่มต้นคงต้องมีความเหน็ดเหนื่อยและความยากลำบากอยู่แล้ว ดังนั้นในฐานะรุ่นพี่ คุณออมผู้เป็นภรรยาจึงให้คำแนะนำกับคนที่อยากจะลองมาทำธุรกิจของตัวเองว่า
“ตอนเริ่มทุกคนลำบากอยู่แล้ว เราก็ล้มลุกคลุกคลานมา อยากจะแนะนำคนที่อยากทำธุรกิจว่า คุณต้องเริ่มจากการคิดนอกกรอบ มองสิ่งรอบตัว มองหาโอกาส แล้วทำสิ่งที่เรารักอย่างตั้งใจทำจริงๆ อย่าคิดว่าทำเพราะหวังรวย ให้คิดว่าเราทำเพราะเรารัก ถ้าทำเพราะหวังผลกำไร มันอยู่ได้ไม่นานหรอก”
ไลฟ์สไตล์เที่ยวระดับลักชูรี
ที่กล้าลงมาลุยในธุรกิจลักชูรี เพราะทั้งคู่มีประสบการณ์การเดินทางในหลากหลายแนว และมีความเข้าใจเกี่ยวกับรสนิยมของคนที่ชอบการท่องเที่ยวสไตล์นี้อย่างแท้จริง อีกทั้งอยากปลุกกระแสให้คนหันมาเที่ยวในเมืองไทย ที่ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลก็สามารถพบพาราไดซ์ได้
“ธุรกิจนี้เป็นงานที่เราชอบ ตรงกับไลฟ์สไตล์ของเรา ก็เลยทำให้เรามีความสุขกับชีวิตมากขึ้น รู้สึกอยากตื่นขึ้นมาทำงาน เพื่อจะได้ดูว่าสิ่งที่เราทำมันเติบโตไปถึงไหนแล้ว คิดตลอดเวลาว่าเราจะทำสิ่งที่เราเริ่มให้โตขึ้นอย่างไร
ผมเป็นคนที่ลงทุนกับการท่องเที่ยวมาก คิดว่าเป็นการให้ประสบการณ์กับตัวเอง การที่เราออกไปพักผ่อน เราได้ผ่อนคลาย สมองเราจะมีช่องว่างที่จะคิดสร้างสรรค์ในการทำงานได้ ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผมเคยเรียนศิลปะมา ครูบอกว่าถ้าคิดอะไรไม่ออกให้ออกไปข้างนอก Take a walk แล้วคำตอบมันจะมาเอง ซึ่งมันก็จริง!”
อีกสิ่งหนึ่งที่ทั้งคู่มีความเห็นตรงกันในเรื่องของการเดินทางท่องเที่ยวก็คือ ทั้งคู่ชอบทะเลไทย เพราะขนาดคนอื่นเขายังดั้นด้นมาเที่ยวเมืองไทย แล้วทำไมคนไทยถึงไม่เที่ยวเมืองไทยกัน!
“ออมและปิ๊งชอบเที่ยวเมืองไทย เพราะมีทุกอย่างพร้อม ลองคิดดูคนอื่นเขายังต้องบินมาเพื่อชมความสวยงามของทะเลไทย แต่เราอยู่แค่นี้เราไปครบหรือยัง? แล้วทะเลไทยก็สวยงามมากด้วย ต่างประเทศเราก็ไป แต่อยากเที่ยวเมืองไทยให้ครบก่อน ซึ่งด้วยงานของเราเราจึงอยากพัฒนาในส่วนของการท่องเที่ยวของเมืองไทยตรงนี้ที่กำลังเติบโตด้วย
เมื่อเราอยู่จุดนี้แล้ว การเดินทางของเราถือว่าเป็นการลงทุนกับตัวเอง ลงทุนกับความรู้ เพราะเราเที่ยวแต่ละครั้งเราจะเห็นโลกที่กว้างขึ้น เห็นข้อดีข้อเสียของแต่ละที่ที่ไป แล้วนำมาประยุกต์กับการใช้ชีวิตและการทำงานของเราได้อีกด้วย”
ทะเลคือคำตอบทางใจของครอบครัว
แม้ว่าจะกำลังสนุกกับงานที่ตัวเองรัก แต่ฐิตวัฒน์ก็ไม่ลืมทำหน้าที่คุณพ่อของลูกสาววัยขวบเศษ “น้องเวนิส วัชโรทัย” โดยเขารวมเอาไลฟ์สไตล์ส่วนตัวกับการดูแลครอบครัวไปพร้อมกัน ซึ่งน้องเวนิสก็ชื่นชอบท้องทะเลและการเดินทางไม่แพ้คุณพ่อคุณแม่ จึงไม่ยากที่บางครั้งจะหอบพวกเขาไปท่องทะเลด้วยกัน
“เราไปทะเลบ่อย เพราะเกี่ยวข้องกับงานที่เราทำ แต่เราก็ใช้เวลาไปกับครอบครัวด้วย ลูกผมชอบนั่งเรือ ชอบลมทะเล จริงๆ นั่งเรือมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ (หัวเราะ) ตั้งแต่มีลูก เราต้องโดดน้ำ ทั้งเสื้อผ้ามาหลายรอบแล้ว เพราะเขาอยากเล่นน้ำ ในฐานะพ่อแม่ก็อยากจะให้สิ่งที่ลูกชอบ และทำให้เขามีความสุข”
ส่วนคุณแม่ออมนั้น แม้จะมีความรักสวยรักงามตามประสาผู้หญิง แต่ถ้าต้องทำงานอยู่ท่ามกลางท้องทะเล รวมไปถึงการดูแลลูก ก็จะลุยจนลืมเรื่องสาวไปเลย
“เพราะงานของเราเกี่ยวกับการเดินทางและท้องทะเล เราทำงานตรงนี้ถ้าจะผิวคล้ำจากแสงแดดก็ไม่เป็นไร เพราะคืองาน เรามีจุดมุ่งหมายของเรา เราจะไม่ปล่อยให้มีอะไรมาหยุดเราได้ เช่นเดียวกันเมื่อเราทำงานแล้วเราก็ต้องพักผ่อน เพื่อให้ตัวเองมีความสุขด้วย ถ้าตัวเราไม่มีความสุข เราก็จะให้ความสุขคนอื่นไม่ได้ ยิ่งการใช้ชีวิตของครอบครัวเรา เรายิ่งต้องแบ่งปันความรักและความสุขให้กัน เป็นการผ่อนคลายจากการทำงานหนักของเราด้วย”
แม้ชีวิตส่วนใหญ่คลุกคลีอยู่กับท้องทะเล แต่ดูเหมือนว่าฐิตวัฒน์และคู่ชีวิตของเขาไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อทะเลเลยแม้แต่น้อย หากแต่ยังคงหลงมนต์เสน่ห์ของน้ำสีคราม และการเดินทางอย่างมีไลฟ์สไตล์ที่จะคอยจุดประกายไอเดียดีๆ ให้กับเขาทั้งคู่
“ตอนเริ่มทุกคนลำบากอยู่แล้ว เราก็ล้มลุกคลุกคลานมา อยากจะแนะนำคนที่อยากทำธุรกิจว่าคุณต้องเริ่มจากการคิดนอกกรอบ มองสิ่งรอบตัว มองหาโอกาส แล้วทำสิ่งที่เรารักอย่างตั้งใจทำจริงๆ อย่าคิดว่าทำเพราะหวังรวย ให้คิดว่าเราทำเพราะเรารัก ถ้าทำเพราะหวังผลกำไร มันอยู่ได้ไม่นานหรอก” :: Text by FLASH