>>เห็นเป็นชายหนุ่มมาดสุขุม เติบโตในตระกูลข้าราชการ แต่ “ปิ๊ง-ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย” ลูกชายคนโตของ “วัชรกิติ วัชโรทัย” ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สำนักพระราชวัง หลานชาย “แก้วขวัญ” กับ “ท่านผู้หญิงเพ็ญศรี วัชโรทัย” กลับเป็นหนุ่มกล้าเสี่ยง ด้วยการหันหลังในการเดินตามรอยครอบครัว และเลือกบุกเบิกธุรกิจของตัวเอง จากไลฟ์สไตล์ความหลงใหลในท้องทะเลสู่การริเริ่ม “บลู โวยาจ ไทยแลนด์” (Blue Voyage Thailand) ธุรกิจให้บริการเช่าเรือยอชต์ ก่อนขยายมาให้บริการเช่าเครื่องบินเล็กบลู โวยาจ ไฟลต์
“ผมและภรรยา (ออม ธัญชนก) เป็นคนชอบเดินทาง นั่งเรือล่องไปตามเกาะต่างๆ จริงๆ จุดเริ่มต้นคือผมทำเป็นกรุ๊ปเล็กระหว่างผมกับภรรยากันสองคน เพราะขี้เกียจรอเพื่อน เราก็ต้องไปดูทัวร์รวมแบบที่เห็นกันตามหาดคือคนละ 2,000 บาท แต่เราคิดว่ายอมจ่ายมากกว่านั้น เพื่อได้อะไรเอ็กซ์คลูซีฟขึ้น พรีเมียมขึ้น แต่ไม่อยากนั่งกัน สองคนในราคาเรือยอชต์ 2 แสน เราก็ต้องรอเพื่อนๆ มาเฉลี่ยค่าเรือ ทำให้เรามองเห็นว่าเมืองไทยบริการรูปแบบนี้ยังไม่ค่อยมี” ฐิตวัฒน์ เกริ่นถึงไอเดียการให้บริการเช่าเรือยอชต์
เพราะจากจุดเริ่มต้นที่มองเห็นโอกาสนั้น บวกกับความเป็นคนชอบเสี่ยง ทำให้เขาตัดสินใจลงขันกับภรรยาควักเงินเก็บส่วนตัวลงทุนสั่งเรือยอชต์แบบครุยเซอร์จากสหรัฐอเมริกาเป็นลำแรก เพื่อเริ่มต้นธุรกิจให้เช่าเรือยอชต์แบบเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อการท่องเที่ยว แม้จะเป็นเรือขนาดไม่ใหญ่มากนักเพียง 20 ฟุต แต่ก็ให้บริการระดับพรีเมียมเต็มรูปแบบประหนึ่งโรงแรมกลางทะเล ที่มีให้พร้อมทั้งห้องนอน เครื่องปรับอาหาร บริการอาหาร และกัปตัน พาตระเวนไปตามเกาะแก่งต่างๆ ตามแต่ใจลูกค้า
“ผมให้อิสระลูกค้าในการท่องเที่ยวเต็มที่ เพราะผมเคยเหมาสปีดโบ๊ตเที่ยว เขาจะพาเราดรอปตามจุด ถ้าเราอยากไปจุดอื่น เขาไม่ไปให้นะ แต่สิ่งที่เราอยากให้ลูกค้า คือให้เขาได้เที่ยวในความรู้สึกที่ตามใจ ไม่มีข้อจำกัด อยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ จะกระโดดน้ำกลางทะเลก็ทำได้ อยากลงจุดไหนก็ลง เหมือนเรือเป็นของคุณเลย เพราะจากประสบการณ์ของผมบางทีการแวะเกาะข้างทางที่เราผ่านไป จะได้ค้นพบอะไรที่คาดไม่ถึง”
“ผมเป็นคนรักไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวมาก ก็อยากให้ลูกค้าได้ตรงนั้นเหมือนกัน คือถ้าเหมาทั้งลำ ผมเซอร์วิสให้หมด ตั้งแต่รถรับส่ง อาหาร เครื่องดื่ม หรือจะให้มีเชฟชื่อดังมาบริการอาหารบนเรือก็ทำได้ เคยมีลูกค้ารีเควสต์จัดโอกาสพิเศษ จัดแต่งงาน หรือขอแต่งงานก็มี ฉลองวันเกิด คือเราช่วยเซอร์ไพรส์กันสุดฤทธิ์ บางทีผมจะแอบดูใน IG ของลูกค้าว่าเขาแฮปปี้กับบริการของเราไหม? เรารู้สึกดีที่เราได้ทำให้เขามีความสุข”
เรียกว่าเป็นเนื้องานที่ฐิตวัฒน์ทำด้วยความสุข ทุ่มสุดตัวเพื่อให้ลูกค้าแฮปปี้กลับบ้าน จึงไม่แปลกใจทำไมถึงมีลูกค้าติดใจทั้งกลุ่มวัยรุ่น ชาวไทย ชาวต่างชาติ ไปจนถึงเหล่าคนดัง ดารา เซเลบริตี้ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ถึงวันนี้บลู โวยาจ เปิดให้บริการมากว่า 2 ปีแล้ว มีเรือยอชต์ให้เช่าหลากหลายรูปแบบหลายสิบลำ จนมีสาขาที่ภูเก็ต สมุย และพัทยา รวมไปถึงบริการ Yacht Management โดยเป็นบริการดูแลเรือยอชต์สำหรับลูกค้าที่มีเรืออยู่แล้วเพื่อให้เกิดมูลค่าสูงสุด ตลอดจนขยายไลน์การให้บริการเช่าเครื่องบินเล็กเพื่อชมวิว ในชื่อว่า บลู โวยาจ ไฟลต์
“การมีเรือยอชต์สักลำต้องยอมรับว่าค่าใช้จ่ายในการดูแลสูงมาก ไหนจะค่าดูแล ค่าจอดเทียบท่า เราจึงมีบริการ Yacht Management ขึ้นมาดูแลทุกอย่างให้ครบวงจร บางกรณีก็นำเรือเหล่านี้ให้เช่าด้วยดีกว่าจอดไว้เฉยๆ เป็นการสร้างรายได้ให้กับเจ้าของเรือ ผมมองว่าการท่องเที่ยวด้วยเรือยอชต์ยังเป็นสิ่งใหม่สำหรับไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวในเมืองไทย แต่คนรุ่นใหม่ๆ เริ่มจะมองเรือยอชต์เป็นการท่องเที่ยวแบบลักชูรี เริ่มให้ความสนใจ เริ่มอยากจ่ายเพื่อจะได้เห็นโลกในมุมมองใหม่ๆ รวมไปถึงการให้เช่าเครื่องบินด้วย เพราะมันเป็นไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวในมุมมองที่ไม่เคยได้เห็น” ฐิตวัฒน์ฉายให้เห็นเทรนด์การเสพที่เปลี่ยนไปของคนยุคใหม่
จากการผันไลฟ์สไตล์การเดินทางซึ่งเป็นงานอดิเรกส่วนตัวกลายมาเป็นงานประจำ ฐิตวัฒน์ยอมรับว่าสิ่งนี้ทำให้มุมมองการท่องเที่ยวของเขาเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนที่เที่ยวเพื่อผ่อนคลายกลายเป็นเที่ยวเพื่อเก็บข้อมูลนำมาพัฒนาธุรกิจของตัวเอง ยิ่งต้องมารับผิดชอบงานบริหารในตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบลู โวยาจ เขารู้สึกโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกขั้น”
“ทุกวันตื่นมาผมก็เครียดแล้ว เพราะมีลูกน้องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทฯ ก็ค่อยๆ โต เริ่มมีเข้าไปจอยกับบริษัทต่างๆ มากขึ้น แต่ในความเครียดก็สบายขึ้น เพราะทีมงานของเราค่อยๆ โปรเฟสชันนัลมากขึ้น แต่ทุกอย่างก็คือเป็นความรับผิดชอบของเราว่าลูกค้าจะแฮปปี้หรือเปล่า บางทีเรายอมเข้าเนื้อตัวเองเพื่อให้เขามีความสุข”
“ผมชอบความเสี่ยง และผมไม่ใช่ประเภทเด็กเรียน ไม่ได้สนใจเรื่องทฤษฎี ไม่เคยทำบิสซิเนสแพลน เวลาทำธุรกิจผมคิดแล้วลงมือเลย ผมไม่กลัว เพียงแต่กุญแจของผมคือเราต้องรู้ว่าต้องหยุดตอนไหน ต้องรู้ว่าจะไปได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่ดั้นด้นทำต่อทั้งที่รู้ว่าไปไม่ได้ ผมทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ ยิ่งมาทำอยู่จุดนี้ ทำให้ผมเที่ยวเยอะขึ้นด้วยเพื่อมองเปรียบเทียบ ไม่อย่างนั้นผมจะไม่สามารถพูดได้”
เมื่อเรื่องเที่ยวกับเรื่องงานเป็นเรื่องเดียวกัน ฐิตวัฒน์จึงเดินทางตระเวนไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นฟิจิ โบรา โบร่า ขึ้นเครื่องบิน ลงเรือยอชต์ ดำน้ำเล่นกับฉลาม ขึ้นเขาลุยแกรนด์แคนยอน ท่องทะเลทราย บุกโรงแรมทั้ง 5 ดาว 6 ดาว เพราะไม่เพียงจะสนองความหลงใหลในการเดินทางเท่านั้น ยังเป็นการทำงานไปในตัว
“ผมเป็นคนชอบอยู่โรงแรมมาก ชอบใช้บริการโรงแรมดีๆ ทั่วโลก ฉะนั้น สถานที่ที่ผมไปต้องเจ๋งที่สุด ต่อให้นอนโรงแรมคืนละแสนสองแสนก็มี เพื่อดูเซอร์วิสของเขาว่าบริการอย่างไร เพื่อนำกลับมาพัฒนาของเรา เทรนด์การท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไปตามเวลา อย่างเทรนด์นิยมตอนนี้คือผู้คนอยากใกล้ชิดกับธรรมชาติ อยากคอนแทกต์กับสัตว์ อย่างที่บาฮามาสจะมีกิจกรรมให้เล่นกับหมูกลางทะเล ที่โบรา โบร่ามีว่ายน้ำกับปลาฉลาม บางทีก็มีขี่ม้ากลางทะเล ให้อาหารปลากระเบน บางทีมีขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมธรรมชาติในมุมที่ต่างออกไป” ฐิตวัฒน์แชร์ประสบการณ์ที่ได้พบเจอ
นับว่ากำลังสนุกและไปได้สวยกับงานที่ตัวเองรัก แต่แม้เวลาจะรัดตัวแค่ไหน ฐิตวัฒน์ก็ไม่ลืมทำหน้าที่คุณพ่อ โดยเขารวมเอาไลฟ์สไตล์ส่วนตัวกับการดูแลครอบครัวไปพร้อมกัน ต้องบอกว่าโชคดีเพราะภรรยาและลูกตัวน้อยวัยไม่ถึง 8 เดือน ก็ชื่นชอบท้องทะเลและการเดินทางเช่นเดียวกับเขา จึงไม่ยากที่บางครั้งจะหอบพวกเขาไปท่องทะเลด้วยกัน
“ชีวิตผมส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัดมากกว่ากรุงเทพฯ แต่ผมไม่ต้องแบ่งเวลาครอบครัวเพราะเราไปด้วยกัน ลูกผมชอบนั่งเรือ ชอบลมทะเล จริงๆ นั่งเรือมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ (หัวเราะ) แต่เพราะงานของผมเป็นงานท่องเที่ยวผมยิ่งต้องเที่ยวมากขึ้น เพื่อให้ตัวเองมีความสุขด้วย ถ้าผมไม่มีความสุขผมจะให้ความสุขคนอื่นไม่ได้ ชีวิตผมตอนนี้ถือว่ามีความสุขกับชีวิตนะ”
ไม่เพียงจะมีความสุขกับการได้ใช้เวลากับครอบครัวและงานที่รัก บางเวลาฐิตวัฒน์ก็แบ่งเวลาให้กับงานอดิเรกอย่างอื่นที่รักอย่างการขี่ม้า ซึ่งสำหรับคนสนิทสนมจะรู้ดีว่าเขาเป็นนักขี่ม้าตัวยง ชอบการควบม้ากระโดดและรักม้าเป็นชีวิตจิตใจ
“อย่างที่บอกผมเป็นคนชอบความเสี่ยง ชอบความตื่นเต้น เวลากลับกรุงเทพฯ ถ้ามีเวลาก็จะไปขี่ม้าตลอด รู้สึกเหมือนเป็นการให้เวลากับร่างกายตัวเอง ผมชอบม้ากระโดด มันรู้สึกถึงความเสียว ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นเหมือนได้หลั่งอะดรีนาลีน” หนุ่มมาดสุขุมเล่าถึงอีกกิจกรรมที่คลั่งไคล้และใช้เวลากับมันเสมอที่มีโอกาส
แม้ชีวิตส่วนใหญ่คลุกคลีอยู่กับท้องทะเล แต่ดูเหมือนว่าฐิตวัฒน์และคู่ชีวิตของเขาไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อเลยแม้แต่น้อย และยังคงหลงมนต์เสน่ห์ผืนน้ำ ไม่ว่าจะเป็นจุดไหนของโลก โดยเขาบอกว่าท้องทะเลแต่ละแห่งก็มีความงดงามแตกต่างกันไป
“ทะเลเป็นธรรมชาติที่น่าทึ่ง ไม่ต้องไปไกล อ่าวพังงา ทะเลไทยนี่ล่ะ ตอนนั้นผมเคยพัก Six Senses Yao Noi บนเกาะยาวน้อย ผมไม่ทำอะไรนอกจากนั่งมองทะเล ผมว่าทะเลเดียวกันมุมเดียวกันวิวเดียวกัน หรือเวลาที่ผมออกเรือไปนอนกลางทะเลต่อให้ทะเลเดียวกันมุมเดียวกัน แต่เวลาต่างกันวันต่างกันก็ไม่เหมือนกันเลย ประสาทสัมผัสที่เราได้รับจากการอยู่ตรงนั้น ทั้งกลิ่น สี ลม ความรู้สึก และคนที่เราไปด้วย ทุกอย่างเป็นส่วนประกอบที่น่าจดจำและเป็นความประทับใจในทุกๆ รายละเอียด”
“ภรรยาของผมก็ชอบเหมือนกัน วันหนึ่งแค่นั่งดูพระอาทิตย์หมุนไปบนผืนน้ำก็ไม่เหมือนกันแล้ว มันเป็นโทนสีฟ้าน้ำทะเลที่เราไม่สามารถอธิบายและทำขึ้นมาได้ ทุกสถานที่มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง อย่างถ้าไปสิมิลัน เราจะเจอสีน้ำและกลิ่นของทะเลที่ไม่มีที่ไหนเหมือน เรารู้เลยว่าที่นี่เมืองไทย อย่างอ่าวพังงาก็ถือว่าเดินทางง่าย เที่ยวได้ทั้งปี เพราะอยู่ในโซนอ่าวปิด คนส่วนใหญ่จะชอบเพราะคลื่นไม่แรง คนที่เมาเรือง่ายก็เที่ยวได้ เด็กเล็กเที่ยวได้”
เอาเป็นว่าพอเอ่ยถึงทะเล ฐิตวัฒน์สามารถเล่าได้ยาวเหยียดเป็นวันๆ ชนิดไม่มีเบื่อ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเลือกเส้นทางเดินให้ตัวเองถูกแล้ว เพราะคงไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาส “ทำ” ในสิ่งที่รัก และที่ยากยิ่งกว่าคือ “ประสบความสำเร็จ” ไปพร้อมกัน
ปลายทางสุดลักชูรี แห่งความทรงจำของ ฐิตวัฒน์ วัชโรทัย
:: หมู่เกาะโบรา โบร่า
“เป็นจุดหมายที่ไปไกลมาก 4 ต่อจากกรุงเทพฯ-นิวซีแลนด์-ตาฮิติ-โบรา โบร่า ใช้เวลาเดินทาง 2 วันเลย แต่เป็นอะไรที่เจ๋งมาก ที่นั่นมีสีน้ำทะเลที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ผมชอบโฟร์ซีซัน รีสอร์ตบนโบรา โบร่า คือวิวจากตัวโรงแรมสวยมาก ถ้าเราไม่อยู่โรงแรมนี้ไม่มีทางได้เห็นมุมนี้ เพราะโบรา โบร่าเป็นหมู่เกาะที่มีภูเขาไฟอยู่ตรงกลางและมีเกาะเล็กๆ ล้อมรอบ แล้วโฟร์ซีซันคืออยู่ตรงกลาง เรียกว่าเป็นวิวที่สวยที่สุด”
:: อมันคีรี รีสอร์ต ในเขตแคนยอน พอยต์ รัฐยูทาห์ (Utah) สหรัฐอเมริกา
“คือผมเป็นคนชอบค้นหาสถานที่แปลกๆ อย่างที่นี่เป็นรีสอร์ต 5 ดาวกลางทะเลทราย สวยมาก ขับรถมาจากแอลเอนานกว่า 8 ชั่วโมงกว่าจะถึง พอไปถึงคือคุ้มเหนื่อย วิวจากห้องนี่สุดยอดมาก มองจากห้องนอนออกไปเหมือนนอนอยู่กลางแกรนด์แคนยอน วิวแปลกประหลาดจนผมอธิบายไม่ถูก ตอนนั้นเราไปไต่เขา (Hiking) ขี่ม้าบนทะเลทราย สภาพแวดล้อมเป็นทะเลทรายนะ แต่อากาศหนาว แต่ในรีสอร์ตมีสระว่ายน้ำเป็นบ่อน้ำร้อน” :: Text by FLASH