>>แค่เห็นนามสกุล “จาติกวณิช” บวกกับโปรไฟล์การศึกษาที่คว้าทั้งปริญญาตรีด้านการเมืองและประวัติศาสตร์ แถมยังคว้าปริญญาโทด้านการเมืองและการสื่อสารจากอังกฤษของ “นิกกี้-อนุตรา จาติกวณิช” หลานสาวคนสวยของ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แล้วก็พานให้จินตนาการไปไกลว่า การสัมภาษณ์วันนี้จะเข้มข้นไปด้วยเนื้อหาสาระ เต็มไปด้วยประเด็นการเมือง เศรษฐกิจโลกที่กำลังร้อนฉ่าหรือไม่
ทว่าหลังจากได้เจอตัวจริงของนิกกี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะสาวน้อยตรงหน้า ฉายออร่าของความร่าเริงสดใสมาแต่ไกล แถมเมื่อได้พูดคุยก็สัมผัสได้ถึงมุมมองความคิดที่น่าสนใจตามประสาเด็กรุ่นใหม่ที่มีความฝันและความตั้งใจที่อยากจะเดินไปตามเส้นทางชีวิตที่กำหนดเองอย่างเปี่ยมล้น Celeb Online ไม่รอช้า ขออาสาพาไปรู้จักตัวตนของนิกกี้ในหลากหลายแง่มุม ที่รับรองว่าแม้แต่ในเสิร์ชเอนจิ้นยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิล ก็ไม่มีคำตอบให้
“นิกกี้จบปริญญาตรีด้านการเมืองและประวัติศาสตร์จาก University of Exeter และปริญญาโทด้านการเมืองและการสื่อสารจาก London School Of Economics ประเทศอังกฤษ สาขาที่นิกกี้เลือกเรียนทั้งตอนปริญญาตรีและปริญญาโท เป็นสาขาที่มีคนไทยเรียนน้อยมาก นิกกี้แทบจะเป็นคนเอเชียคนเดียวเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะเราชอบด้านนี้อยู่แล้ว เลยเรียนด้วยความสุนก ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ โดยเฉพาะช่วงที่เรียนปริญญาโท เพื่อนๆ ในชั้นส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน อายุมากกว่านิกกี้หมด แถมยังมีประสบการณ์ทำงานดีๆ มาแล้ว ทำให้ช่วงนั้นนิกกี้ต้องพยายามแอกทีฟตัวเอง ต้องขยันอ่านหนังสือให้มากขึ้นเป็นสองเท่า”
นิกกี้บอกว่าโชคดีที่เรื่องภาษาอังกฤษไม่มีปัญหา เพราะตัวเธอเองนอกจากจะเป็นลูกเสี้ยวอังกฤษ (คุณแม่เป็นลูกครึ่งไทย-อังกฤษ) เธอยังเรียนที่โรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็ก ถามว่าทำไมเลือกเรียนสาขานี้ นิกกี้บอกว่า มาจากความสนใจส่วนตัว ที่ชอบติดตามข่าวสารบ้านเมือง อ่านหนังสือพิมพ์ เพราะนิกกี้มองว่าเรื่องการเมือง เศรษฐกิจโลกไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตของคนเรามาก
“อีกเหตุผลหนึ่งอาจเพราะได้รับการปลูกฝังจากครอบครัวโดยไม่รู้ตัว บางครั้งเราสามคนพ่อแม่ลูกก็นั่งคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นไปของโลก ทำให้นิกกี้ได้ซึมซับความชอบนี้มาโดยไม่รู้ตัว” ลูกสาวคนสวยของ อธิไกร-แคลร์ จาติกวณิช บอกเล่าถึงความสนใจของตัวเองอย่างออกรส
อย่างไรก็ตาม หลังจากมุ่งมั่นจนสามารถคว้าปริญญาโทมาครองได้สำเร็จในวัยเพียง 24 ปี นิกกี้ก็ไม่รอช้า ตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย เพื่อหางานทำทันที โดยเธอประเดิมงานแรกในฐานะ Reginal Copy Writer ที่บริษัทแมคแคน เวิลด์กรุ๊ป (ประเทศไทย) หนึ่งในบริษัทผู้นำด้านการสื่อสารการตลาดครบวงจร โดยดึงเอาความรักในงานเขียนที่มีมาใช้ในการทำหน้าที่ดูแลคอนเทนต์ด้านออนไลน์ทั้งหมด แต่ทำได้เพียง 10 เดือน นิกกี้ก็ตัดสินใจโบกมือลา เพราะพบว่างานนี้ยังไม่ใช่งานที่กำลังตามหา
“ช่วงแรกที่กลับมาหางานที่เมืองไทย นิกกี้มั่นใจนะว่าโปรไฟล์การศึกษาเราดี น่าจะหางานไม่ยาก แต่พอมาหางานจริงๆ ถึงรู้ว่าไม่ง่ายเลยนะ สมัยนี้คนจบเมืองนอกเยอะ คนไทยเก่งขึ้นมาก การแข่งขันในตลาดงานมีสูง สิ่งที่นิคกี้บอกตัวเองคือ เราจะทำยังไงให้เรามีคุณค่ามากกว่าใบปริญญาที่เรามี”
หลังลาออกจากแมคแคนฯ นิคกี้ได้งานที่อาซิแฮม เบอร์สัน-มาร์สเตลเลอร์ เอเยนซีโฆษณา เธอเข้าไปดูแลด้านงานเขียนอีกเช่นกัน สาวสวยไฟแรงบอกว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งโรงเรียนสำคัญ ที่สอนให้นักเรียนนอกอย่างเธอได้พัฒนาศักยภาพงานเขียนทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษไปควบคู่กัน
“ช่วงวัยรุ่นนิกกี้เคยจ้างคุณครูมาสอนภาษาไทยที่บ้าน เพื่อให้เราเขียนได้คล่อง สะกดถูกต้อง เพราะฉะนั้นเรื่องการอ่าน การใช้ภาษาไทยนิกกี้ไม่มีปัญหา แต่ตอนที่ทำงานที่อาซิแฮมฯ บางครั้งต้องเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ช่วงแรกๆ ที่ต้องพิมพ์ข้อมูลเป็นภาษาไทยนี่...แย่เลย ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะหาตัวอักษรบนแป้นพิมพ์เจอแต่ละตัว (หัวเราะ) แต่พี่ๆ ที่ทำงานก็ให้โอกาสนิกกี้ได้ฝึก พอฝึกบ่อยๆ ก็เริ่มคล่องขึ้น จนทุกวันนี้ไม่มีปัญหา”
แม้ที่ทำงานแห่งที่สอง จะเปรียบเหมือนเป็นโรงเรียนชั้นดี แต่หลังจากทำงานได้ 5 เดือน นิกกี้ก็ตัดสินใจลาออกเพื่อไปตามหาตัวเองอีกครั้ง
“หลายคนอาจมองว่านิกกี้ย้ายงานบ่อย แต่นิกกี้กลับมองว่า ตอนนี้นิกกี้เพิ่งอายุ 24 ปี ยังมีโอกาสในชีวิตอีกมากที่จะทดลองเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะตอนนี้เป็นช่วงค้นหาตัวเอง ก็ขอหาสิ่งที่ใช่ไปก่อน และเมื่อใดที่เจอสิ่งที่ใช่ ก็พร้อมจะอยู่กับที่เพื่อมุ่งมั่นไปกับสิ่งที่รัก”
สำหรับภารกิจค้นหางานที่ใช่ให้กับตัวเองของนิกกี้นั้น ไม่ได้เพิ่งจะเริ่มต้นเมื่อเธอเรียนจบ เพราะด้วยคาแรกเตอร์สาวแอกทีฟ ไม่ยอมหยุดนิ่ง นิกกี้ได้พยายามตามหาสิ่งที่ใช่มาตลอดตั้งแต่อายุ 18 ปี ด้วยการไปฝึกงานในพรรคการเมือง ไปเป็นนักเขียนในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ และนิตยสารทู
เธอบอกว่า ข้อดีของการออกไปตามหาตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ คือ ทำให้เธอได้พบสิ่งที่ชอบ นั่นคือ งานเขียนที่ได้แสดงความคิดความเห็น ได้ออกไปสัมภาษณ์พบปะผู้คน ขณะเดียวกันก็ได้พบว่างานไหนคืองานที่ไม่ใช่ จะได้ไม่ฝืนไปต่อ จวบจนวันนี้ แม้จะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้กับตัวเอง แต่เธอก็เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เธอชอบจะนำพาเธอไปยังสิ่งที่เธอรักในที่สุด
“นิกกี้ให้เวลาตัวเองถึงอายุ 29 ปี ต้องหาตัวเองให้เจอแล้วว่าชีวิตจะไปทางไหน (หัวเราะ) นึกย้อนไปสมัยอายุ 18 ปี นิกกี้เคยมองว่าถ้าถึงตอนอายุ 24-25 ปี เราต้องเป็นผู้ใหญ่มากแน่ๆ แต่พอมาถึงวัยนี้จริงๆ กลับพบว่าเป็นช่วงชีวิตที่ยากที่สุด มีอะไรให้เราต้องค้นหาอีกมากมาย เหมือนเรากำลังสร้างตัวตนของตัวเองขึ้นมา” สาวสวยตรงหน้าบอกเล่าด้วยแววตาที่มุ่งมั่น
อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องกดปุ่มสต๊อปกับสองงานแรกในชีวิต แต่นิกกี้ก็ยังไม่หมดหวัง เธอบอกข่าวดีในวันที่สัมภาษณ์ว่า สัปดาห์หน้าจะไปเริ่มงานใหม่ที่บริษัทเอคอมเมิร์ช ซึ่งเป็นบริษัทที่เป็น Business Solution สำหรับบรรดาสตาร์ทอัพ โดยมีสำนักงานใหญ่ในไทย แต่ขยายสาขาไปเปิดในอีกหลายประเทศ
“นิกกี้รู้จักบริษัทนี้จากการไปร่วมงานสัมมนางานหนึ่ง และเกิดสนใจไอเดียของวิทยากร เลยเข้าไปแนะนำตัว ปรากฏว่าหลังจากคุยกันวันนั้น และไปคุยที่บริษัทอีก 2-3 ครั้ง เขาก็ทาบทามให้มาร่วมงานในส่วน Communication and Research หน้าที่หลักๆ ของนิกกี้ อธิบายง่ายๆ คือ สมมติมีบริษัทมือถือมาจ้างเรา นิกกี้ก็จะต้องช่วยดูแลเรื่องข้อมูลของสินค้าให้เขา ลองหามุมมองที่น่าสนใจในการนำเสนอเรื่องราวของสินค้าเขาเพื่อนำไปเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ รวมถึงวิเคราะห์เทรนด์ ตลอดจนพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อเป็นแนวทางในการทำธุรกิจของเขา เช่นตอนนี้พฤติกรรมผู้บริโภคทางออนไลน์ นิยมใช้บัตรเครดิตมากกว่าจ่ายเงินสด เพราะฉะนั้นสินค้าของเรา จะใช้กลยุทธ์อะไรเพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้”
เธอมั่นใจว่างานใหม่นี้จะเป็นอีกงานที่ท้าทาย และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่อย่างเธอ อย่างน้อยก็ได้เปิดโลก ได้เรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ถามว่า เข้ามาทำงานกับบริษัทที่เกี่ยวพันกับสตาร์ทอัพ แล้วอยากมีธุรกิจของตัวเองหรือไม่ นิกกี้ตอบอย่างไม่ลังเลว่า แน่นอน เพียงแต่ ณ เวลานี้ เธอยังไม่รู้ว่าจะทำธุรกิจอะไร
“นิกกี้ไม่มีหัวทางธุรกิจ ก็ได้แต่หวังว่า งานใหม่นี้จะช่วยให้นิกกี้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และได้สำรวจตัวเองว่า เรามีความชำนาญเรื่องไหนที่จะนำไปต่อยอดในอนาคต นิกกี้โชคดีที่ครอบครัวเราไม่ใช่ครอบครัวนักธุรกิจ คุณพ่อเป็นนักลงทุน คุณแม่เป็นแม่บ้าน เพราะฉะนั้นนิกกี้มีอิสระที่จะได้ลองทำในสิ่งที่สนใจและชอบ โดยไม่ต้องห่วงว่าต้องกลับมาบริหารธุรกิจของที่บ้าน”
นิกกี้เชื่อว่า ความรู้ที่เรียนมา บวกกับนิสัยช่างสังเกต ช่างคิดวิเคราะห์ และตั้งคำถามกับปรากฏการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสังคม จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทำงาน ในอนาคตอันใกล้ นิกกี้หวังว่า เธอจะรู้จักตัวเองให้ดีกว่านี้ รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ชอบ และมีความสุขที่จะทำ
“นิกกี้มองว่า ชีวิตคนเรา งานมีความสำคัญนะ แต่แค่ 50% อีก 50% คือ ความสุขในการใช้ชีวิต ถ้าชีวิตคนเรามีความสุขในชีวิตงาน แต่ชีวิตส่วนตัวไม่มีความสุข ก็ไม่มีประโยชน์ ทุกวันนี้นิกกี้โชคดีที่มีครอบครัวที่อบอุ่น มีกลุ่มเพื่อนที่ดี สำหรับนิกกี้ถ้าให้ประเมินความพึงพอใจที่มีกับชีวิตตัวเองขณะนี้ ถือว่าพอใจในระดับหนึ่ง แต่ชีวิตก็ยังต้องเดินต่อไป ซึ่งนิกกี้ไม่รีบร้อนที่จะก้าวไปสู่อนาคต” สาวหน้าสวยกล่าวทิ้งท้าย
วันว่างของสาวแอกทีฟ
- ถึงจะใช้ชีวิตแอกทีฟ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเล่นกีฬา นิกกี้แทบจะไม่เล่นกีฬาอะไรเลย แต่จะเน้นเข้ายิมเพื่อออกกำลังกาย
- วันว่างนิกกี้ชอบไปตระเวนหาร้านอาหารใหม่ๆ ไปดูคอนเสิร์ตศิลปินจากต่างประเทศ หรือถ้ามีเวลาจะจัดทริปไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ ส่วนทริปใหญ่ๆ จะไปกับครอบครัว อย่าง สงกรานต์นี้มีแผนจะไปอิตาลี
- ของสะสม นิกกี้เริ่มสะสมงานศิลปะ แต่ที่ชอบจะเป็นคนละสไตล์กับคุณพ่อคุณแม่ นิกกี้ชอบแนวการ์ตูน ตอนนี้ก็สะสมอยู่ประมาณ 5-6 รูป
- เรื่องที่คนอื่นเข้าใจผิด คิดว่าเป็นลูกสาวคนเดียวแล้วคุณพ่อคุณแม่หวง จริงๆแล้วไม่เลย คุณพ่อคุณแม่ค่อนข้างให้อิสระ จะไปไหนก็ได้ แต่ต้องมาบอกมาขอท่านก่อน ซึ่งข้อดีของการที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงแบบให้อิสระ คือ พอโตมา เราไม่จำเป็นต้องปิดบังหรือแอบคุณพ่อคุณแม่ไปทำอะไร เวลามีเรื่องอะไรก็ปรึกษาท่านได้ทุกเรื่อง :: Text by FLASH