>>เมื่อเกือบ 15 ปีที่แล้ว ชีวิตที่กำลังสวยงามเหมือนท้องฟ้าอันสดใสของ “หนูแดง-ทิพยนิภา ไกรฤกษ์ สมะลาภา” ก็เหมือนกับถูกมรสุมลูกใหญ่พัดผ่านเข้ามา พร้อมกับสายฟ้าฟาดเปรี้ยงกับคำวินิจฉัยของคุณหมอที่บอกว่าเธอเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะสุดท้าย ต้องวางแผนรีบเร่งรักษาด้วยเคมีบำบัดและการปลูกถ่ายไขกระดูกโดยเร็วที่สุด!!! เธอผ่านพายุชีวิตครั้งนั้นมาได้อย่างไร แล้วมันเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอไปขนาดไหน เราไปฟังจากปากของเธอกัน
“จำได้เลยว่าเป็นช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2544 ตอนนั้นหนูแดงเพิ่งอายุ 26 ปี เป็นช่วงที่กำลังมีความสุข ก่อนหน้านั้นเพิ่งรับปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แล้วก็กลับมาแต่งงาน จากนั้นไม่ถึงปีก็มีลูก เพิ่งคลอดลูกได้ไม่ถึงเดือน มีคนทักว่าคอโต เมื่อเห็นจึงไปให้หมอเช็กดูทันที หมอมองแล้วตั้งสมมติฐานหลายอย่าง เป็นไปได้ตั้งแต่ภูมิแพ้ไปจนถึงโรคมะเร็ง หมอจึงขอตรวจละเอียด พอผลออกมาพบว่าเป็นข้อที่รุนแรงที่สุด คือ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย...
ตอนนั้นช็อกกันทั้งบ้าน เพราะมันไม่มีอาการผิดปกติอะไรบ่งบอกว่าจะเป็นมะเร็งเลย ตรวจร่างกายก็สุขภาพปกติดี และครอบครัวก็ไม่มีใครมีประวัติโรคมะเร็งด้วย”
ด้วยวัยที่ยังน้อยและทุกอย่างในชีวิตก็กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น คำว่า “มะเร็งระยะสุดท้าย” จึงเป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนต่อชีวิตอย่างหนักหนาสาหัสมาก “ณ เวลานั้นคำว่า “มะเร็ง” เป็นสิ่งที่รู้สึกไกลตัว ไม่มีอยู่ในหัวสมองเลยด้วยซ้ำ แต่นี่รู้ข่าวปุ๊บก็เจอขั้นหนักระยะสุดท้ายเลย ก็เกิดความกลัว ความกังวล สับสนไปหมด”
โดยใช้เวลาการรักษาเพียง 10 เดือน เธอก็สามารถหายจากโรคร้ายนี้ได้ จากที่เรียกว่าอยู่ใกล้ความตายแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น
“คุณหมอมีส่วนสำคัญมากนะคะ ท่านสร้างความเชื่อมั่นให้เราได้ โดยหนูแดงทำการรักษาด้วยวิธีเคมีบำบัดตามคำแนะนำของคุณหมอณรงค์ศักดิ์ เกียรติขจรธาดา อย่างเคร่งครัด ตอนนั้นโรคมะเร็งมันเป็นเรื่องใหม่สำหรับทั้งหนูแดงและครอบครัว สามีได้ศึกษาเรื่องยาที่น่าสนใจและนำมาปรึกษาคุณหมอ ได้มีการสื่อสารกันอย่างต่อเนื่องด้วยความเข้าใจระหว่างหมอและครอบครัว ทำให้การรักษาดำเนินไปด้วยความราบรื่น ณ เวลานั้นเรามุ่งเน้นทางแพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียว”
และเมื่อรักษาทางแผนปัจจุบันเสร็จเรียบร้อย เธอจึงศึกษาและหันไปให้ความสำคัญกับแพทย์ทางเลือกเพื่อฟื้นฟูสุขภาพต่อไป โดยในเวลานี้มุ่งเน้นการดูแลรักษาตัวด้วยแนวทางธรรมชาติแบบองค์รวม คือให้ความสนใจกับทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ
เธอหายจากโรคนี้มา 15 ปีแล้ว แต่ก็ยังคงระมัดระวัง ดูแลร่างกายและตรวจสุขภาพเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประสบการณ์จากการเป็นมะเร็งในครั้งนั้น ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต
“ถ้าไม่ได้เป็นโรคนี้ ทุกวันนี้ชีวิตหนูแดงคงต่างไปจากนี้เยอะ แต่เพราะการเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย การที่เราอยู่ในจุดที่ใกล้ความตายแบบนั้นในเวลาที่อายุน้อยขนาดนั้น มันทำให้ได้ฉุกคิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญของชีวิต ครอบครัวสำคัญกับเราเหลือเกิน และสุขภาพ ตลอดจนความไม่มีโรคช่างเป็นลาภอันประเสริฐยิ่งนัก”
ทุกวันนี้เธอเลือกใช้เส้นทางแห่งธรรมะและธรรมชาติ ทำให้ชีวิตมีความสมดุล เดินทางสายกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ได้ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ “หลายปีที่ผ่านมาหนูแดงได้ศึกษาเรียนรู้สิ่งต่างๆ เยอะมาก หาสิ่งที่เหมาะกับเรา การกลับสู่ธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นด้วยการที่ใช้เวลาอยู่ในธรรมชาติ หรือว่าการกินอาหารที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ไม่ต้องผ่านการแปรรูปมากมาย แม้แต่ยาก็เลือกใช้ยาสมุนไพร หรืออย่างการออกกำลังกาย ก็ชอบทำในธรรมชาติ อย่างที่สวนท่ามกลางต้นไม้ หรือในห้องโถงบ้านแบบไม่เปิดแอร์ โดยจะชอบพวกที่เน้นการผ่อนคลายจิตใจ เสริมพลังงานชีวิต อย่างโยคะ จะถูกจริตกว่าการเล่นฟิตเนสในห้องปรับอากาศ
นอกจากนี้ หนูแดงยังนั่งสมาธิวันละ 2 ชั่วโมง ใช้เวลาสงบๆ อยู่กับตัวเอง พร้อมกับใช้วิถีแห่งพุทธเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ซึ่งช่วยได้เยอะมาก จากแต่ก่อนที่เป็นคนเก็บอะไรไว้กับตัวเยอะแยะ คิดมาก ทำให้เราทั้งเครียด กังวล และกลัวไปกับสิ่งต่างๆ ซึ่งมันส่งแต่ผลเสียให้กับตัวเอง ทุกวันนี้ธรรมะสอนให้มีสติขึ้น เข้าใจถึงความเป็นไป ปล่อยวาง และมีความสุขได้ง่ายขึ้น”
การเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้ายนี้นับเป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อยากเจอ แต่เมื่อเธอต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แบบนี้ แทนที่จะไปรู้สึกเลวร้ายกับเรื่องที่เกิดขึ้น เธอกลับมองว่านี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเธอ
“การป่วยครั้งนั้น เป็นเหมือนสิ่งที่มาเตือนเรา ให้เราได้รู้จักปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การปฏิบัติตัวและทัศนคติให้ดีขึ้น คือถ้าเราไม่รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้น และไม่ได้แก้ไข ยังคงมีความคิดและการจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ในแบบเดิมๆ มาจนถึงทุกวันนี้ มันก็อาจจะกลายเป็นโทษที่ส่งผลเสียต่อร่างกายและชีวิตเราในตอนนี้ก็เป็นได้
ที่สำคัญมันทำให้หนูแดงได้รู้จักอนิจจังหรือความไม่เที่ยงดียิ่งขึ้น ทำให้เรามีความกลัวน้อยลง และคิดว่าจากนี้ไปไม่ว่าอะไรก็ตามเราจะสามารถอยู่กับมันอย่างมีสติมากยิ่งขึ้น” ทิพยนิภากล่าวทิ้งท้ายถึงบทเรียนสำคัญที่ทำให้เธอเรียนรู้จากโรค “มะเร็ง” :: Text by FLASH