>>ถึงจะแต่งงานใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมาร่วม 6 ปีแล้วสำหรับคู่หวาน “จอย-สุนันท์ษา” กับสามี “ป็อบ-ศุภชน นิธิวาสิน” แต่ดูเหมือนว่าชีวิตรักของทั้งคู่จะยังไม่เก่าเลย แถมยังสดใหม่ราวกับวันแรกที่ทั้งคู่เริ่มตกหลุมรักกันและกันก็ไม่ปาน
“จอยว่าความสุขของชีวิตคู่ คือ เรารู้สึกว่าเราตกหลุมรักกันทุกวัน แน่นอนว่าทุกครั้งที่เราเจอกัน ไม่ได้มีแต่ช่วงเวลาที่มีความสุข ช่วงที่เศร้า ทุกข์ เสียใจก็มีเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเรารู้ว่ายังมีอีกคนที่จะผ่านเรื่องแย่ๆ ช่วงเวลาทุกข์นี้ไปด้วยกัน เพราะคนที่เป็นสามีภรรยาต้องดูแลกันในทุกวินาทีของชีวิตจริงๆ”
ด้วยบุคลิกที่ดูเป็นสาวหวานของจอย หลายคนอาจคิดว่าเธอต้องมีชีวิตคู่ที่โรแมนติก มีเซอร์ไพรส์ให้ฟินกันทุกเทศกาลแน่นอน งานนี้จอยเฉลยว่า คู่ของเธอไม่โรแมนติกเอาซะเลย แถมยังไม่ยึดติดกับวันสำคัญต่างๆ เพราะทั้งคู่ถือว่าทุกวันที่อยู่ด้วยกันคือวันพิเศษ ถ้าอยากให้ของขวัญแทนใจกัน ก็ให้ได้ตลอด ไม่จำเป็นต้องมีโอกาสพิเศษใดๆ เพราะทุกชิ้นที่มอบให้กันล้วนเปี่ยมไปด้วยความทรงจำดีๆ ที่พูดถึงเมื่อไหร่ก็อบอุ่นในหัวใจ
เริ่มจากตุ๊กตาแมวน้อย “ฟริซซี่” ของขวัญที่มีคุณค่าทางจิตใจ และเป็นของขวัญชิ้นที่โปรดปรานมากที่สุด “ตุ๊กตาตัวนี้ตั้งชื่อตามแมวตัวโปรดของจอย ซึ่งตายไปก่อนที่เราจะแต่งงานกัน ด้วยความที่จอยเป็นคนรักแมวมาก ช่วงที่ฟริซซี่ตาย คุณป็อบก็เห็นว่าจอยเสียใจมาก แต่ด้วยความที่เขาไม่ได้เป็นคนรักแมวก็เลยไม่ค่อยอิน จนกระทั่งเราตัดสินใจแต่งงานกัน ช่วงที่ทำวิดีโอพรีเซนเตชัน ทั้งจอยและคุณป็อบต้องไปทำภารกิจบางอย่าง ในส่วนของคุณป็อบมีภารกิจหนึ่งที่เขาต้องถักนิตติ้ง ซึ่งคุณป็อบเลือกถักเป็นตุ๊กตาแมว”
จอยเล่าด้วยความรู้สึกตื้นตันว่า เป็นการถักนิตติ้งครั้งแรกของสามี ซึ่งน่าจะใช้เวลาทำอยู่ครึ่งวัน กว่าจะสำเร็จ “ตอนที่คุณป็อบเอามาให้นี่จอยน้ำตาไหลเลยนะ จอยไม่คิดว่าเขาจะทำให้ จอยประทับใจในความพยายามของเขา ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ด้วยเงินทอง จริงๆ คุณป็อบจะซื้อตุ๊กตาแมวให้จอยก็ได้ แต่เขาเลือกจะใช้ความพยายามทำให้ ซึ่งสำหรับจอยอะไรก็ตามที่ทำด้วยความพยายาม เป็นความทรงจำที่ดีเสมอ สำหรับจอยมองว่าถึงจะเป็นนาฬิการุ่นลิมิเต็ด อิดิชัน ก็อาจมีอยู่หลายเรือนในโลก แต่นี่คือของขวัญที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลก”
ทุกวันนี้จอยบอกว่า เลือกเก็บตุ๊กตาตัวนี้ไว้ในถุงผ้า เพราะไม่อยากให้โดนฝุ่น และใช้ประโยชน์ด้วยการใช้เป็นที่รักษาทรงกระเป๋าใบโปรด นานๆ ครั้งจะหยิบออกมาดู ซึ่งมาถึงวันนี้ ถ้าเจ้าตุ๊กตาตัวนี้มีชีวิตจริงก็อายุ 6 ขวบเท่ากับตอนที่เจ้าฟริซซี่จากไป
ของขวัญอีกชิ้นที่จอยเลือกมาคือ “ตุ้มหู” ซึ่งจอยเล่าอย่างอารมณ์ดีว่าสามีเลือกซื้อให้ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า เห็นภรรยาหูโล่งไม่มีเครื่องประดับ “ถามว่ามีไหม มีนะแต่จอยไม่ชอบใส่เอง บางทีอาจเพราะช่วงที่ทำงานในวงการบันเทิงเราแต่งตัวเยอะแล้วมั้ง ช่วงนี้เลยเหมือนสูงสุดคืนสู่สามัญ จำได้ว่า ก่อนที่เขาจะซื้อให้ เค้าก็มาจับหู แล้วบอกว่าเราหูโล่งนะ จอยก็บอกว่าลืมใส่มา เพราะรีบออกจากบ้าน หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ซื้อแล้วเอามาให้ บอกให้ใส่ไว้ จะได้หูไม่เบา (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็ยังลืมใส่บ้างนะ แต่ก็ถือว่าเป็นคู่ที่หยิบมาใส่บ่อยที่สุดแล้ว”
ส่วนของขวัญชิ้นสุดท้ายที่จอยประทับใจและเลือกมาบอกเล่าคือ นาฬิกาวินเทจที่คุณสามีจัดมาเพื่อให้ใส่เป็นนาฬิกาคู่รัก “คุณป็อบจะอินกับรถและนาฬิกาวินเทจ ขณะที่จอยไม่เลย สำหรับจอยนาฬิกาแค่เดินได้ก็ใช้ได้แล้ว แต่คุณป็อบก็พยายามสอนให้ดู ให้ลองเลือกแบบ ซึ่งจอยเองไม่ได้คิดอะไร แต่จริงๆ แล้วคุณป็อบพยายามสำรวจความชอบของเรา และพยายามตามหานาฬิกาวินเทจที่ใช่มาให้ ตอนที่คุณป็อบเอามาให้ เขาแกล้งให้เราลองใส่นาฬิกาวินเทจของเขาซึ่งหน้าปัดเป็นสีดำ จอยก็บอกสวยดีนะ แต่ต้องไปตัดสาย จากนั้นเขาก็หยิบอีกเรือนออกมาเป็นหน้าปัดสีขาว แล้วสวมให้เราแล้วบอกว่า ต่อไปนี้ เราใส่นาฬิกาคู่กัน”
ความรักที่เปรียบเหมือนกาแฟแก้วอร่อยที่ค่อยๆ เติมความหวานจนได้รสชาติที่กลมกล่อมแบบนี้นี่เอง ถึงทำให้ชีวิตรักของทั้งคู่เป็นอีกหนึ่งคู่ที่น่าอิจฉา
เทกคอร์สก่อนใช้ชีวิตคู่
จากผู้หญิงที่ไม่เชื่อในรักแท้ว่ามีอยู่จริง ไม่เคยคิดว่าปลายทางแห่งความรักคือ การแต่งงาน แต่วันนี้ จอยกล้าพูดว่า มีชีวิตคู่ที่น่าพอใจที่สุด
“ถ้าไม่มีอาจารย์ธงชัย ประดับธนานุรักษ์ ก็คงไม่มีคู่ของเราที่มีความสุขแบบทุกวันนี้ เพราะหลังคบหากับคุณป็อบได้ 4 เดือนจอยก็ชวนคุณป็อบไปเข้าคอร์สการใช้ชีวิตคู่กับอาจารย์ ซึ่งอาจารย์ไม่คิดค่าใช้จ่าย เพราะเจตนาของท่านคือ อยากสร้างหน่วยเล็กๆ ของสังคมอย่างครอบครัวให้แข็งแกร่ง มีข้อแม้เดียวคือ เราต้องไปเรียนเป็นคู่”
จอยบอกว่า ทุกวันนี้อาจารย์เปรียบเหมือนญาติผู้ใหญ่ ที่เรายังไปมาหาสู่ตลอด การเข้าคอร์สกับอาจารย์ทำให้ทั้งจอยและคุณป็อบเปลี่ยนไปหลายอย่างนะ จากตอนแรกที่เราคบกัน อาจจะไม่เข้าใจกัน จอยขอเลิกคุณป็อบบ่อยมาก แต่พอหลังจากมาเข้าคอร์สเราเหมือนเข้าใจกันมากขึ้น ทั้งเขาและเราก็พยายามปรับปรุงสิ่งที่ไม่ดี
“มีครั้งหนึ่ง อาจารย์ให้เราทำแบบทดสอบว่าทำไมอยากแต่งงาน โดยเรียงลำดับ 3 เหตุผลจาก 12 เหตุผลที่ให้มา ปรากฏว่าคำตอบของเราสองคนไม่เหมือนกันเลย จอยว่าถ้าเป็นบางคู่อาจทะเลาะกันแล้ว เพราะมันสะท้อนว่าเราคิดไม่เหมือนกันเลย แต่สำหรับคู่เรากลับมองว่า ความต่างที่เกิดขึ้นทำให้เราดึงดูดเข้าหากัน และพร้อมจะประนีประนอมเพื่ออยู่ร่วมกันในอาณาจักรเล็กๆ ที่เราสร้างขึ้นมา” :: Text by FLASH