xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : คู่ชีวิต..ชีวิตคู่ เลือกด้วยปัญญา อยู่ด้วยปัญญา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทุกๆวันเราต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมาย ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางครั้งเราก็จบปัญหานั้นได้ด้วยตัวเอง แต่ทว่าบางครั้งมันก็ไม่ง่ายที่จะหยุดความหนักหน่วงของปัญหา ซึ่งถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตได้ ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ สิ้นหวัง แน่นอน...ในยามนั้น เราคงต้องการใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้าง ให้กำลังใจ รับรู้รับฟังทุกเรื่องราวของเรา และสำหรับคนที่มีคู่แล้ว คนคนนั้นคงจะไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก “คู่ชีวิต”

มาดูคู่รักคนดังระดับโลกอย่าง “แบรด พิตต์” กับ “แองเจลีนา โจลี” ที่มีข่าวว่าเลิกรากันหลายครั้ง แต่ทั้งสองก็ได้ประคับประคองชีวิตคู่ ผ่านมรสุมชีวิตมาถึง 10 ปี เขาผ่านจุดนั้นมาได้อย่างไร ลองอ่านจดหมายที่แบรด พิตต์ เขียนบรรยายความรู้สึกถึงภรรยา โดยเริ่มต้นจดหมายบรรยายถึงอาการป่วยของโจลีว่า

“เธอไม่สบาย มีความวิตกกังวลอยู่เสมอ ทั้งปัญหาเรื่องงาน ชีวิตส่วนตัว ความล้มเหลว และปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับลูกๆ น้ำหนักเธอลดไปถึง 27 กิโลกรัม เมื่อตอนที่เธอมีอายุได้ 35 ปี เธอซูบผอมมาก และเอาแต่ร้องไห้เป็นประจำ กลายเป็นคนไม่มีความสุข ปวดหัว เจ็บหน้าอก และปวดหลัง นอนไม่หลับ มักมาง่วงหลับในตอนเช้าและรู้สึกเหนื่อยง่ายมากในเวลากลางวัน

ด้วยเหตุนี้ ความสัมพันธ์ของเรามีแนวโน้มที่จะจบลง ความสวยงามของเธอหายไป เธอมีถุงใต้ตา และเริ่มหยุดดูแลความสวยงามของตัวเอง นอกจากนั้น เธอยังปฏิเสธไม่รับงานแสดงใดๆทั้งสิ้น

ผมรู้สึกสิ้นหวังในตัวเธอ และคิดว่าเราคงต้องหย่ากันในไม่ช้า แต่แล้วผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า ผมมีผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลกอย่าง ‘แองเจลีนา โจลี’ อยู่เคียงข้าง เธอเป็นที่ชื่นชอบของคนกว่าครึ่งโลก และผมก็เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เธออนุญาตให้นอนเคียงข้าง และกอดเธอได้

ผมจึงเริ่มให้ดอกไม้เธอ กอดจูบเหมือนเคย พร้อมกับชมเชย จนเธอเริ่มแปลกใจ และพึงพอใจกับสิ่งที่ผมทำ ผมให้ของขวัญเธอมากมาย ทำทุกอย่างที่เธอต้องการ กล่าวยกย่องให้เกียรติเธอทั้งต่อหน้าและลับหลัง คุณคงไม่อยากเชื่อว่า ตอนนี้เธอกลับมาเป็นดั่งดอกไม้ที่สวยงาม เธอรู้สึกดีขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไม่มีอาการวิตกกังวล ที่สำคัญเธอรักผมมากกว่าที่เคย ขนาดที่ผมเองก็คาดไม่ถึงว่า เธอจะรักผมได้ขนาดนี้”


แบรด พิตต์ เขียนทิ้งท้ายเป็นบทสรุป สำหรับบทเรียนในชีวิตคู่ของเขาไว้อย่างโรแมนติกว่า “เรื่องราวของเราที่เกิดขึ้นนี้ ช่วยให้ผมตระหนักได้ว่า ภรรยานั้นคือภาพสะท้อนของสามีนั่นเอง ถ้าคุณรักภรรยาอย่างสุดหัวใจ เธอก็จะรักคุณหมดหัวใจ”

หลายท่านอ่านถึงตรงนี้ อาจจะนึกอิจฉาชีวิตคู่ของดาราดังแห่งฮอลลีวู้ดคู่นี้ แต่ทว่าเหรียญย่อมมีสองด้านเสมอ “ความรัก” ก็มีสองด้านเช่นกัน หากด้านของดาราดังระดับโลกคู่นี้เป็นบวก คือความสุขสดชื่น สำเร็จ สมหวังในชีวิตคู่

ถ้าเช่นนั้นด้านที่จะกล่าวต่อไปนี้ ก็คงเป็นลบ ซึ่งหมายถึงความล้มเหลว ผิดหวัง รักคุด เตียงหัก ครอบครัวแตกแยก กลายเป็นเรือรักล่มเหมือนเรือไททานิคที่อับปางลงกลางทะเล และบางทีอาจเลยเถิดถึงขนาดบาดเจ็บสาหัสทั้งกายและใจ เพราะถูกพิษรักเล่นงาน เฉกเช่นเธอผู้นี้ “หัสยา เพ็ชรหิน” ที่ถูกเผาทั้งเป็นเพราะพิษรักแรงหึงจากชายคนรัก

เมื่อปลายปี 2551 เรื่องราวของเธอตกเป็นข่าวครึกโครมลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ เพราะจากหัสยาที่รูปร่างหน้าตาดี แต่ถูกชายคนรักที่ขี้หึงเกินเหตุ จุดไฟเผา ทำให้เธอต้องเสียโฉม (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในยูทูป พิมพ์คำว่า เจาะใจ “หัสยา เพ็ชรหิน” ถูกเผาทั้งเป็นเพราะพิษรัก)

นี่คือความจริง ที่เป็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญแห่งรัก ซึ่งมีทั้งคุณและโทษ ดังนั้น การตัดสินใจแต่งงานครองคู่ จึงถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต

ฉะนั้น ก่อนแต่งต้องดูให้ดีว่า คนที่จะเลือกเข้ามาเป็นคู่ชีวิตนั้น มีส่วนบวกหรือลบในตัวมากกว่ากัน นี่คือตัวแปรที่เราสามารถควบคุมได้

แน่นอน.. ถ้าเลือกได้ ทุกคนคงอยากให้ชีวิตคู่เป็นบวก ประสบความสำเร็จ มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น ได้พบเจอได้อยู่เป็นคู่กันทุกภพทุกชาติไป และคงไม่มีใครอยากให้ชีวิตของตัวเองต้องผิดหวัง รักคุด บ้านแตกสาแหรกขาด

แล้วอะไรล่ะหรือ? ที่เป็นตัวแปร เป็นเครื่องการันตีให้ชีวิตคู่ อยู่รอดปลอดภัย อบอุ่น ประสบความสำเร็จ ข้ามถึงฝั่งฝัน ได้ครองคู่กันตลอดไปตราบนิรันดร์ทั้งชาตินี้และชาติหน้า ในปฐมสมชีวีสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ถ้าสามีและภรรยาทั้งคู่ หวังที่จะพบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า ทั้งสองฝ่ายพึงมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะคือการให้ สละ แบ่งปันเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน นี่คือเหตุให้สามีและภรรยาทั้งสองนั้น ย่อมได้พบกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า”

คำว่า “ปัญญา” ในที่นี้รวมไปถึงปัญญาในการบริหารจัดการกับชีวิตคู่ด้วย ความสุขของชีวิตคู่นั้น เป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่จัดบาลานซ์ รู้จักบริหารจัดการความสมดุลของระยะห่างระหว่างคนทั้งสองให้ได้อย่างลงตัว โดยที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องเป็นไปอย่างสอดคล้อง กลมกลืน นี่คือกฎของธรรมชาติที่ทุกคู่ชีวิตควรเรียนรู้ ดังที่ปราชญ์ทางจิตวิทยาตะวันตกกล่าวไว้

“นกชนิดเดียวกัน จะอยู่ในฝูงเดียวกัน
คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูดเข้ามาอยู่ใกล้กัน”


มีนิทานเล่ากันว่า ครั้งนั้นยังไม่นานเท่าไหร่ หญิงสาวคนหนึ่งกำลังจะออกเรือน มารดาจึงพาเธอมาไหว้พระเสี่ยงเซียมซีที่วัด จากนั้นก็พามากราบหลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่ง

ผู้เป็นแม่เอ่ยถามหลวงตาว่า “ลูกสาวของโยมกำลังจะออกเรือน แต่งงานไปแล้วเธอจะมีความสุข มีชีวิตรักหวานชื่นราบรื่นดีหรือไม่? เจ้าคะ”

หลวงตายิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “เห็นทรายนั่นไหม โยมลองกอบทรายขึ้นมาสักกำมือหนึ่ง แล้วกำไว้ในมือดูซิ”

แล้วหลวงตาก็หันไปถามหญิงสาวว่า “โยมเห็นทรายในมือแม่ไหม ตอนนี้มันเป็นอย่างไร?”

หญิงสาวตอบว่า “มันพูนๆเต็มฝ่ามือ ดูสมบูรณ์ดีเจ้าค่ะ”

คราวนี้หลวงตาหันไปบอกผู้เป็นแม่ว่า “โยมลองบีบมือกำทรายให้แน่นๆสิ”

ฝ่ายผู้เป็นแม่จึงออกแรงบีบทรายในมือจนแน่น ปรากฏว่าทรายหลุดร่วงออกมาจากร่องมือ ครั้นคลายมือออก ทรายที่เคยอยู่เต็มกำมือ ก็เหลือเพียงนิดเดียวเท่านั้น หญิงสาวมองดูทรายในมือแม่ แล้วพยักหน้าเหมือนเข้าใจ

หลวงตาพูดด้วยน้ำเสียงเมตตาว่า “ใครๆก็อยากมีชีวิตรักที่หวานชื่นสมบูรณ์ หากปรารถนาเช่นนั้น ก็ต้องเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์ของระยะห่าง จงเห็นความรักเป็นเหมือนทรายในกำมือ ถ้าอยากเห็นทรายพูนมือสมบูรณ์ดี ก็อย่าไปบีบไปอัดมันแรงๆ ต้องถืออย่างทะนุถนอม รักษาระยะห่างพอดีๆ ไม่กำแน่นเกินไป กระทั่งทรายร่วงหล่นหายไปจากกำมือ”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คู่ชีวิตในฝันต้องมีศรัทธา มีศีล จาคะ และมีปัญญาเสมอกัน ที่สำคัญความรักจะยั่งยืนสมหวัง ทั้งคู่ต้องมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน แบบที่ทางพระเรียกว่า “มีปัญญา” ในการบริหารจัดการความรัก คือต้องรู้จักรักษาระยะห่างของกันและกันให้ลงตัว เหมือนดั่งเม็ดทรายในกำมือนั่นเอง

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 182 กุมภาพันธ์ 2559 โดย ทาสโพธิญาณ)
กำลังโหลดความคิดเห็น