11th Anniversary Celeb Online Magazine
ในโอกาสครบรอบ 11 ปี พบกับสัมภาษณ์พิเศษเซเลบริตี้คู่แฝดที่ประสบความสำเร็จ 11 คู่ ตลอดเดือนตุลาคมนี้
>>การมีพี่น้องฝาแฝดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน แฝดบางคู่มีรูปร่างหน้าตาและความชอบที่ต่างกัน และบางคู่ก็เหมือนกันทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัย และความชอบ เช่นเดียวกับ “กิ่ง-พิมละออ” และ “แก้ว-พิมพรรณ โภไคยอุดม” ลูกสาวฝาแฝดของ “ศ.ดร.สิทธิชัย” กับ “พรพรรณ โภไคยอุดม” ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ซึ่งทั้งสองสาวมีความฝันเดียวกันคือ รักการทำอาหารและการขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งสองสาวเป็นทั้งเชฟและเจ้าของร้านอาหารอาร์ตๆ น่านั่ง ที่มีชื่อว่า The Artwins Canteen and Bar
ด้วยความที่ทั้งกิ่งและแก้วมีหน้าตาที่เหมือนกันมาก ทั้งความสูงที่ไล่เลี่ย หน้าตา ทรงผม จนใครที่เพิ่งเจอพวกเธอเป็นครั้งแรกต้องแยกไม่ออกอย่างแน่นอน แก้วแฝดผู้น้องเล่าให้เราฟังว่า พวกเธอเกิดห่างกัน 1 นาที โดย กิ่ง-พิมละออ คลอดออกมาก่อน จากนั้นเธอจึงคลานตามออกมา ตลอดสามสิบกว่าปีที่ทั้งคู่โตมาด้วยกัน ชีวิตฝาแฝดที่เป็นเหมือนเงาสะท้อนของกันและกัน เติบโตมาเคียงข้างกัน พวกเธอจึงมีความผูกพันและสนิทสนมกันมาก เรียกได้ว่ามีกิ่งที่ไหนก็ต้องมีแก้วที่นั่น ซึ่งสองสาวถูกเลี้ยงมาแบบฝาแฝดที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งคุณพ่อและคุณแม่ให้ทำเอง ตัดสินใจเอง และเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด
พิมละออ และพิมพรรณ เรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนราชินีบน จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นทั้งคู่จึงย้ายไปเรียนที่ New England Girl’s School ที่เมือง Armidale ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจมากมาย และยังมีชื่อเสียงในเรื่องของอาหารและไวน์อีกด้วย
“เหตุผลที่ย้ายไปเรียนก็เพราะม้าค่ะ (หัวเราะ) เราสองคนชอบขี่ม้าค่ะ เรียนขี่ม้าอยู่ที่เมืองไทยด้วย แต่เผอิญว่าตอนไปซิดนีย์ ได้ไปซื้ออุปกรณ์ขี่ม้า ก็เลยถามเขาว่าที่นี่มีโรงเรียนสอนขี่ม้ามั้ย เขาก็ให้ที่อยู่มา คุณแม่ก็ติดต่อไป แล้วก็ไปดูโรงเรียน เห็นว่าที่นั่นโอเคคุณแม่ก็ให้ย้ายจากเมืองไทยไปอยู่ที่โน่นเลย แล้วมันก็เลยตามเลยเข้ามหาวิทยาลัยที่นั่นไปค่ะ” แก้วผู้เป็นน้องกล่าว
หลังจากที่เรียนจบไฮสคูลที่ New England Girl’s School แล้วกิ่งและแก้วจึงได้เรียนต่อที่ Macquarie University ในสาขา Media and Culture Studies เมื่อเรียนจบ สาวแก้วจึงลองมาทำงานออฟฟิศสักพัก และคิดว่าไม่ใช่ทาง จึงได้ไปเรียนทำอาหารที่สถาบันสอนทำอาหารเลอ กอร์ดอง เบลอ ประเทศอังกฤษ ต่อด้วยปริญญาโทด้าน Multimedia ที่ Academy of Arts เมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
และครั้งนี้เองที่สองพี่น้องแยกจากกันเป็นครั้งแรก เนื่องจากต้องพลัดกันไป เพราะมีม้าที่ต้องดูแล ช่วงที่ห่างกันแรกๆ สองสาวยอมรับว่าเหงาบ้าง แต่สักพักก็ชิน เพราะทั้งคู่คุยกันทุกวันทางบีบี โดยกิ่งไปเรียนในสาขา Motion Picture and Television in Directing จากนั้นแก้วผู้เป็นน้องจึงตามไปเรียนในสาขาที่ต่างกัน คือ Multimedia Communication หลังจากกลับมาทั้งคู่ได้ลองทำรายการอาหาร ที่มีชื่อว่า มาย ซีน ซึ่งกิ่งและแก้วได้ลงมือทำเองทั้งหมดทุกขั้นตอน ดูแลทั้งเรื่องอาหาร ตกแต่งฉาก และตัดต่อ
เหตุผลที่ทั้งคู่หลงใหลในการทำอาหาร เนื่องมาจากตอนที่ไปเรียนยังต่างประเทศ ต้องทำอะไรเองทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องอาหารการกิน และยังทำอาหารให้พี่ชายกินบ่อยๆ อีกด้วย
“แก้วกับกิ่งชอบทำอาหารมาตั้งแต่เด็กค่ะ อยู่เมืองนอกต้องทำอาหารกินเอง เราเลยมีนิสัยชอบทำอาหารด้วยกันทั้งคู่ ตอนที่อยู่ซิดนีย์ทำอาหารให้พี่ชายและเพื่อนพี่ชายทานเกือบทุกวันค่ะ ก็เลยรู้สึกชอบทำตั้งแต่ตอนนั้น ชอบที่เวลาทำอาหารแล้วมีคนทานอย่างมีความสุขค่ะ” สองสาวพูดพร้อมกับยิ้ม
นอกจากเรื่องการทำอาหารที่ทำมาด้วยกันตลอดแล้ว การขี่ม้าเป็นอีกสิ่งที่ทั้งคู่รัก ซึ่งกิ่งและแก้วผูกพันกับม้ามาตั้งแต่เด็กๆ ทั้งคู่บอกว่าตอนที่ไปออสเตรเลีย มีคนแนะนำโรงเรียนไฮสคูล New England Girl’s School ที่เมือง Armidale ว่ามีวิชาการสอนขี่ม้าอยู่ใน Course Syllabus คุณแม่จึงได้ย้ายทั้งคู่ไปไฮสคูลที่นั่น กิ่งสาวห้าวบอกเหตุผลที่เธอและน้องสาวชื่นชอบการขี่ม้า นั่นเพราะรู้สึกเป็นอิสระ เมื่อขี่ม้าไปท่ามกลางธรรมชาติ
“ชอบขี่ม้า เพราะมันทำให้ลืมทุกอย่าง เวลาที่เราขี่ม้า เราจะคอนเซนเทรตกับตัวเรากับม้า และจะมีสมาธิกับมัน เหมือนเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว อีกอย่างมันก็รู้สึกดีและรู้สึกสนุก เหมือนเรากำลังสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตอยู่” กิ่งบอกถึงเหตุผล
“เราไปเรียนที่ Armidale ซึ่งอยู่นอกเมือง ไปอยู่กับม้ากับวัว Armidale เป็นเมืองเล็กๆ ที่ใครทำอะไรรู้หมด นักเรียนโดดเรียนคุณครูรู้ทันที (หัวเราะ) อยู่ที่โน่นกิจวัตรประจำต้องตื่นตีห้าทุกวัน ไปทำความสะอาดคอกม้าก่อน แล้วจึงกลับมาอาบน้ำและไปเข้าเรียน ตอนเย็นก็มาฝึกขี่ม้า พอได้มาเรียนเกี่ยวกับม้าแล้วเราต้องทำทุกอย่าง ตั้งแต่เก็บหญ้า เก็บฟาง เก็บขี้ม้า อาบน้ำให้ม้า และทำความสะอาดคอกม้า อะไรแบบนี้ค่ะ” สองพี่น้องเล่าถึงชีวิตสมัยเรียนให้ฟัง
ถึงแม้จะเชี่ยวชาญการขี่ม้า แต่ก็ย่อมมีพลาดกันบ้าง กิ่งเล่าประสบการณ์การตกม้าให้ฟังว่า
“เคยมีอุบัติเหตุครั้งนึงตอนเรียนไฮสคูล เราตกม้าด้วยกันทั้งคู่ แต่แก้วอาการหนักกว่า คือตกมาแล้วนิ่ง ไม่ขยับตัว เราก็ตกใจเหมือนกันว่า เฮ้ย...เป็นอะไร ขาหักหรือเปล่า จนต้องเรียกรถ Ambulance แล้วรถพยาบาลก็นำแก้วไปโรงพยาบาลคนเดียว กิ่งไปด้วยไม่ได้เพราะโรงเรียนให้ออกไปคนเดียว สักพักแก้วก็กลับมา กิ่งเห็นแก้วเดินได้ก็รู้สึกโล่งใจ”
นอกจากธุรกิจร้านอาหาร The Artwins ทั้ง 2 สาขา และร้านเสื้อผ้า The Adjective ที่หุ้นกับเพื่อนแล้ว สองสาวก็กำลังมีโปรเจกต์ร่วมกัน คือการทำคอกม้า Retire และ Barn House สำหรับเป็นที่พัก และสำหรับเป็นสถานที่ถ่าย Wedding หรือถ่ายละคร
“เร็วๆ นี้เรากำลังมีโปรเจกต์ที่จะทำคอกม้า Retire หรือม้าปลดเกษียณ ที่จังหวัดนครนายกค่ะ ที่เมืองไทยมีคนเลี้ยงม้าเยอะมาก ส่วนใหญ่พอแก่แล้วเขาก็เอามันไปปล่อย หรือไม่ก็เอาไปเลี้ยงที่เชียงใหม่ ซึ่งมันไกลไป บางคนก็ปล่อยมันและไม่ดูแลมัน ไม่มีการปล่อยให้ม้าออกมาเดินเป็นเวลา ซึ่งอาจจะทำให้ม้าไม่แข็งแรงได้ค่ะ เราโตมากับม้า คิดว่าม้ามันคงอยากวิ่งอยู่ในทุ่งหญ้ากว้างๆ มากกว่า นอกจากนี้ยังจะทำเป็นสถานที่ดูแลและผสมพันธุ์ม้า แต่การดูแลม้ามันต้องมีค่าใช้จ่ายเยอะ กิ่งกับแก้วก็จะทำ Barn House ซึ่งเป็นสตูดิโอสำหรับถ่ายหรือจัด Wedding ถ่ายละคร และเป็นโรงแรมเล็กๆ ให้นักท่องเที่ยวมาพักอีกด้วย”
พิมละออและพิมพรรณเติบโตมาเป็นทั้งพี่น้องและเป็นทั้งเพื่อนคู่คิด ที่ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ทั้งคู่ก็มีความคิดเดียวกัน อย่างที่เรียกได้ว่ามองตาก็รู้ใจ “การเป็นแฝดกันมันก็เป็นอะไรที่แปลกดี มีคนหน้าเหมือนเรา เหมือนกำลังส่องกระจกอยู่ (หัวเราะ) สำหรับเราเหมือนเป็นหลายคนในคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง เพื่อน หรือเป็นเงาของกันและกัน รู้สึกดีที่มีคนทำอะไรร่วมกัน แชร์ร่วมกัน ช่วยกันทำสิ่งต่างๆ ด้วยกัน และโชคดีที่เราชอบอะไรเหมือนกัน ชอบไปในทิศทางเดียวกันด้วย ก็เลยเหมือนมีเพื่อนทำด้วยกันมาตลอด เพราะแฝดบางคนก็ชอบอะไรไม่เหมือนกันเลย รู้สึกโชคดีค่ะที่มีคนที่เหมือนเรา เพราะเคยได้ยินว่าบางคนก็อยากมีพี่น้องฝาแฝดบ้าง” สองพี่น้องกล่าว
แต่ในความเหมือนก็ยังมีความต่างเล็กน้อย โดย กิ่ง-พิมละออ ผู้เป็นพี่บอกว่าพวกเธอเหมือนกันทุกอย่าง แต่ตัวเธอจะเป็นคนคิดเยอะกว่า เช่น เรื่องอาหาร เมื่อคิดเมนูขึ้นมาแล้ว กิ่งมักจะคิดต่อยอดไปถึงการปรับเปลี่ยนสูตรนั้นต่อไป จนไปถึงการคิดค้นสูตรใหม่เลย ส่วน แก้ว-พิมพรรณ แฝดผู้น้องเล่าถึงความประทับใจถึงผู้เป็นพี่ว่า กิ่งจะคอยช่วยเหลือเธอตลอดไม่ว่าเรื่องอะไร เป็นที่ปรึกษาในทุกเรื่อง เธอบอกถึงสิ่งที่ต่างกันระหว่างเธอกับพี่สาวให้เราฟังว่า “เราเป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง และเป็นคนง่ายๆ สบายๆ เหมือนกัน แต่กิ่งจะห้าวๆ ลุยๆ กว่า ตอนเด็กๆ กิ่งมีชอบเล่นเหมือนผู้ชาย ปีนต้นไม้ ห้อยหัว เพราะทำอะไรตามพี่ชาย แล้วก็ไม่เคยมีตุ๊กตาแบบเด็กผู้หญิงเลย เพราะเล่นรถ เล่นหุ่นยนต์กับพี่ชายตั้งแต่เด็กๆ ค่ะ” แฝดน้องแอบเมาท์ให้ฟัง
ขึ้นชื่อว่าฝาแฝดที่มีใบหน้าเหมือนกัน ก็ต้องมีคนทักผิดหรือวีรกรรมแกล้งอำคนอื่นบ้าง กิ่งและแก้วก็เช่นกัน “สมัยเรียนมีคนทักผิดบ่อยมาก แต่พออยู่ด้วยกันนานๆ หรือสนิทกัน จะแยกออกว่าคนไหนกิ่ง คนไหนแก้ว ทั้งที่โรงเรียนราชินีบนและไฮสคูลที่ออสเตรเลีย มีเพื่อนทักกิ่งเพราะคิดว่าเป็นแก้ว แล้วกิ่งก็ทำหน้าเหมือนไม่รู้จัก เขาก็งง พอมารู้ทีหลังก็ขำๆ เพราะแก้วไปเรียนที่โน่นก่อน กิ่งตามไปทีหลัง เขาก็ไม่รู้ว่ามีฝาแฝด ตอนเรียนเราถูกจับแยกห้องเรียนกัน เคยแกล้งอำคุณครู โดยการสลับห้องเรียนกัน เพื่อนๆ ก็แอบขำกัน เพราะเพื่อนๆ รู้ แต่คุณครูก็งงว่าขำอะไรกันค่ะ” แฝดพี่เล่าให้ฟังถึงวีรกรรมสนุกๆ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทั้งสองพี่น้อง ยังคงอยู่เคียงข้างที่จะช่วยกันทำสิ่งที่รักด้วยกัน คนนึงช่วยเสริม อีกคนช่วยเติม ทำให้มันเป็นโปรเจกต์ที่สมบูรณ์แบบในที่สุด :: Text by FLASH