>>เป็นอีกครั้งหนึ่งของ Celeb Online ที่ได้รับเกียรติจาก “ภดารี (สุชีวะ) บุนนาค” หลานสาวผู้สืบทอดปณิธานของคุณตา “ม.จ.ภีศเดช รัชนี” ซึ่งครั้งนี้สละเวลามาเปิดบ้านส่วนตัวจับเข่าคุยอัปเดตทุกเรื่องราวแบบเอ็กซ์คลูซีฟทั้งครอบครัว ประกอบด้วยสมาชิกคนสำคัญอย่าง “ฤทธี บุนนาค” คู่ชีวิตที่ครองรักกันมานานกว่า 7 ปี พร้อมด้วยพยานรักตัวน้อยอย่าง “น้องเรไร อณิสสา” และสมาชิกใหม่อย่าง “น้องเบญจ”
“เขาเหมือนเดิม เสมอต้นเสมอปลาย วันแรกเป็นอย่างไรวันนี้ก็เป็นอย่างนั้น เขาไม่ได้เป็นคนหวานแหวว ไม่ได้พยายามจะเป็นแฟน แบบเอาของหรือดอกไม้มาให้ อย่างว่าเวลาอยู่ด้วยกันมีเรื่องดีบ้าง ทะเลาะบ้าง แต่เขาทำให้ดารู้สึกไว้ใจและไม่เคยระแวงเขาเลย มีแต่คิดว่าสิ้นลมหายใจแล้วเขาจะเบื่อฉันไหม ในความคิดดาพี่ธีไม่ได้เป็นแฟน แต่เขาเป็นครอบครัว อย่างเวลาเราอยู่กับพ่อแม่พี่น้อง เราไม่จำเป็นต้องจู๋จี๋ดี๊ด๊ากันเลย แต่เราจะรู้สึกอุ่นใจที่เห็นเขาอยู่ตรงนั้น เหมือนคิดง่ายๆ โง่ๆ แต่พอคิดแค่นี้เลยไม่มีความรู้สึกว่า ‘ทำไม’ มาก” ภดารีเกริ่นถึงความประทับใจที่มีต่อฤทธีตลอด 7 ปีที่ผ่านมา
สืบทอดเจตนารมณ์ด้วยใจรัก
จากแฟชั่นนิสต้าสาวที่เคยทำงานในวงการแฟชั่น รวมถึงช่วยดูแลธุรกิจร้านอาหารกัลปพฤกษ์ของคุณยาย (ท่านผู้หญิงดัชรีรัช รัชนี) และเป็นอาสาสมัครให้กับโครงการหลวงของคุณตา สำหรับ “ดา-ภดารี (สุชีวะ) บุนนาค” บุตรสาวคนกลางในจำนวน 3 คนพี่น้องของ “คุณหญิงหนิง-ม.ร.ว.ภวรี” กับ “ดร.กฤษฎา สุชีวะ” แต่หลังจากเริ่มใช้ชีวิตคู่กับ “ฤทธี บุนนาค” บทบาทของเธอก็เปลี่ยนไปทั้งการสวมบทศรีภรรยา และคุณแม่ โดยเฉพาะเวิร์กกิ้งวูแมนกับการเข้ามาบริหารธุรกิจร้านอาหารกัลปพฤกษ์แบบเต็มตัวมากขึ้นตลอด 7 ปี ซึ่งปัจจุบันมีถึง 3 สาขา ได้แก่ ถนนประมวล, เซ็นทรัลเวิลด์ และเดอะ เมอร์คิวรี่ วิลล์ ชิดลม
“ดาโชคดีที่ร้านนี้คุณยายวางรากฐานไว้ดี เปิดมานานจนเป็นที่รู้จัก แต่ขณะเดียวกันก็มีทั้งความง่ายและยาก ง่ายตรงที่เราไม่ต้องนับหนึ่ง ไม่ต้องสร้างแบรนด์ขึ้นใหม่ แต่ในความง่ายก็คือความยากตรงที่ลูกค้าส่วนใหญ่จะติดภาพเดิมๆ ว่ากัลปพฤกษ์ต้องเป็นแบบนี้ เราจะใส่ไอเดียใหม่ๆ เข้าไป 100% ไม่ได้ คือถ้าจะทำต้องค่อยๆ ทำทีละน้อยๆ ไปเรื่อยๆ คือลูกค้าค่อนข้างคาดหวัง แต่ในความคาดหวังเราไม่ค่อยรู้สึกนะ เพราะอย่างไรเราต้องทำให้ดีที่สุดอยู่แล้ว”
แม้เติบโตมากับธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว แต่ภดารีสารภาพว่ายังเป็นน้องใหม่สำหรับการปฏิบัติจริง ต้องเริ่มจาก Learning by Doing และซึมซับแนวทางจากคุณยาย ซึ่งยึดคติการบริหารคนด้วยใจ นั่นจึงทำให้ผู้มาสืบทอดกิจการนี้ กล้าพูดได้เต็มปากว่า จากวันแรกที่กัลปพฤกษ์ เซ็นทรัลเวิลด์ เปิดบริการ ถึงตอนนี้พนักงานแทบทุกคนก็ยังสู้มากับเธอด้วยกัน
“สำหรับดาถือว่านับเป็น 0 สำหรับการเปิดสาขาเลย เพราะเราไม่ได้เป็นแบบจ้างที่ปรึกษา แต่ยังใช้วิธีการเดิมแบบที่คุณยายปกครองคนมา เราไม่ได้ปฏิบัติกันแบบเจ้านาย-ลูกน้อง แต่เราเลี้ยงคนด้วยใจ เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ในแง่ของการบริหารคนก็ประสบความสำเร็จในแง่หนึ่ง เพราะเป็นที่รู้กันว่าสมัยใหม่นี้พนักงานในร้านอาหารถูกซื้อตัวกันง่ายมาก ยิ่งร้านอยู่ในห้างฯ ซึ่งโลกจะกว้างมากกว่าร้านสแตนด์อโลน ฉะนั้น ถ้าคุณมีอนาคตที่ดีกว่าและจะไป ก็ขอให้มาคุยกันให้รู้เรื่อง บอกกันล่วงหน้า แต่ในที่สุดมีเพียงแค่ 10% เท่านั้นเองที่ออกไปจากเรา ที่เหลือยังอยู่กับดาตั้งแต่วันแรกที่เปิด” ภดารีเล่าถึงสไตล์การบริหารที่ตกทอดมาจากคุณยายอย่างภูมิใจ
ไม่เพียงภดารีเท่านั้นที่เข้ามาต่อยอดมรดกของครอบครัว แม้แต่ฤทธี ชายหนุ่มเจ้าของมาดสุขุม ผู้เป็นสามีก็ยังเข้ามามีบทบาทในการสานต่อภารกิจของ “ม.จ.ภีศเดช รัชนี” กับหน้าที่การงานตลอด 8 ปี ในตำแหน่งรองผู้อำนวยการโครงการกาแฟอาราบิก้า ของโครงการหลวง รับผิดชอบในการส่งเสริมเกษตรกรให้ปลูกกาแฟที่มีคุณภาพ อีกทั้งดูแลการท่องเที่ยวของโครงการหลวงในรูปแบบ Gourmet Tour ที่สถานีอ่างขาง ซึ่งเป็นไอเดียของฤทธีและทีมอาสาสมัคร ที่วันนี้กลายเป็นโปรแกรมท่องเที่ยวยอดนิยม พูดกันปากต่อปากจนจองที่นั่งล้นแทบทุกปี
“ผมว่าโครงการนี้สำเร็จแล้ว เพราะชาวบ้านสามารถปลูกกาแฟแล้วไปขายต่อคนอื่นได้ ไม่จำเป็นว่าต้องมาขายให้โครงการหลวง แต่ที่เรายังอยู่ตรงนี้และรับซื้อกาแฟ เพราะเราต้องการช่วยดูแลเรื่องคุณภาพ โดยเรามีทีมงานคอยเวิร์กชอปกับเกษตรกร ที่สำคัญคือเราพยายามสร้างมาตรฐานราคากาแฟไม่ให้ตก ซึ่งกาแฟเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ที่มีมูลค่าราว 5-10% เท่านั้น ถ้าเทียบกับผลิตภัณฑ์ผักของโครงการหลวง คือสมัยก่อนผู้คนยังไม่บริโภคกาแฟอาราบิก้าเท่าทุกวันนี้ แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นว่ากาแฟจะเป็นพืชเศรษฐกิจในอนาคต ก็แปลกมากว่าเกือบ 40 ปีมาแล้ว ท่านยังทรงเห็นตรงนี้ได้” ฤทธีเล่าถึงงานที่เขารัก
7 ปีกับรักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
นอกเหนือจากหน้าที่การงานที่ทั้งคู่สนุกและท้าทายไปกับมันแล้ว อีกสิ่งที่เสมือนเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจของทั้งคู่ คือการมีกันและกัน โดยทั้งคู่ตอบตรงกันโดยไม่ได้นัดหมายถึงความรักตลอด 7 ปีที่ผ่านมาว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง วันแรกเป็นอย่างไร วันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
“ดาโชคดีว่าพี่ธีและดาถูกเลี้ยงดูมาคล้ายๆ กัน ตอนเป็นแฟนกันก็ค่อนข้างคลิกกันง่าย ไม่ได้รู้สึกว่าเราจะต้องเปลี่ยนเพื่อเขา หรือเขาเปลี่ยนเพื่อเรา เหมือนว่าเราใช้ชีวิตคล้ายๆ กัน ชีวิตคู่ของเราเลยเป็นอะไรที่สบายๆ เรื่อยๆ พูดง่ายๆ ในความรู้สึกดาคือชีวิตดายังเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนคนที่นอนด้วยจากน้องสาวมาเป็นพี่ธี (หัวเราะ) เปลี่ยนบ้าน มีลูก และต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้น” ภดารีตอบคำถามด้วยแววตาเป็นประกาย เมื่อถามถึงชีวิตแต่งงานที่ผ่านมา
หากชีวิตคู่ก็เหมือน “ลิ้น” กับ “ฟัน” ย่อมมีกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ดากลับมองว่า ระหว่างคู่ของเธอเทียบไปแล้วทะเลาะกันน้อยมาก แถมเป็นเรื่องเล็กๆ จนบางทีกลับมาคิดว่าเถียงกันเรื่องอะไรอยู่ เรียกว่าตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน ไม่เคยมีเรื่องใหญ่ให้นั่งเครียด เพราะต่างคนต่างให้อิสระแก่กัน เคารพซึ่งกันและกัน ที่สำคัญเธอมองคู่ชีวิตของเธอเป็นมากกว่า “แฟน”
“ในความคิดดาพี่ธีไม่ได้เป็นแฟน เขาเป็นครอบครัว อย่างเวลาเราอยู่กับพ่อแม่พี่น้อง เราไม่จำเป็นต้องจู๋จี๋ดี๊ด๊ากันเลย แต่เรารู้สึกอุ่นใจที่เห็นเขาอยู่ตรงนั้น ความเป็นครอบครัวคือมันตัดไม่ขาด ให้ทะเลาะกันตายไปข้างอย่างไรก็ต้องอยู่กับคนนี้ เหมือนคิดง่ายๆ โง่ๆ แต่พอคิดแค่นี้เลยไม่มีความรู้สึกว่า ‘ทำไม’ มาก เหมือนเราทะเลาะกับน้องสาว ด่ากันแทบตายจะกระโดดเตะกันอยู่แล้ว ทะเลาะกันแบบนั้นเป็นคนอื่นคงไม่มองหน้ากันแล้ว แต่พอเป็นน้องอีก 2 ชั่วโมงก็คุยกันแล้ว สำหรับดาเห็นพี่ธีเป็นแบบนั้น” ภดารีพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ฤทธีเป็นเชิงถามว่า “แล้วคุณล่ะคิดกับฉันอย่างไร”
“ดาเป็นคนตรงๆ อยู่ด้วยกันก็มีความสุขแล้ว เขาอาจจะใจร้อนนิดหนึ่ง ผมใจร้อนนิดหนึ่ง แต่โอเคคุยกันรู้เรื่อง อาจมีทะเลาะกันบ้าง ความเห็นไม่ตรงกัน ผมก็พยายามใจเย็น ผมว่ายิ่งคุยกันมากเท่าไหร่ ปัญหาก็น้อยลงเท่านั้น อย่างหนึ่งที่ผมประทับใจดามาก คือดาค่อนข้างไว้ใจผมมาก อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่เราก็ต้องรู้ลิมิตตัวเองว่าบางอย่างควร-ไม่ควร คือต้องบาลานซ์ให้ได้ เรื่องงาน เรื่องครอบครัว” ฤทธีเล่าเรื่องชีวิตคู่ที่มีความสุขและดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ
บาลานซ์ชีวิตระหว่าง “ลูก” และ “งาน”
ชีวิตคู่ที่มีเพียง “เขา” และ “เธอ” เปี่ยมไปด้วยความสุขอยู่แล้ว ก็ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อครอบครัวบุนนาคต้อนรับสมาชิกตัวน้อยที่มาเป็นโซ่ทองคล้องใจถึง 2 หน่อ อย่าง “น้องเรไร อณิสสา” วัย 5 ขวบ และสมาชิกใหม่อย่าง “น้องเบญจ” วัย 2 ขวบ เรียกว่าสมความตั้งใจของภดารีและฤทธีที่ปรารถนาจะมีลูกหญิง 1 ชาย 1 งานนี้จึงรับหน้าที่คุณพ่อคุณแม่แบบเต็มตัวเต็มเวลา สิ่งที่ตามมาคือการแบ่งเวลาให้กับ “ลูก” และ “งาน” ที่ไหลเข้ามาพร้อมๆ กัน
“พี่ธีตั้งใจอยู่แล้วว่าจะมีลูก 2 คน ส่วนดาก็คงไม่มีลูกคนเดียว คือถ้ามีลูกคนเดียวกลัวเขาเหงา เพราะดาเป็นคนมีพี่น้อง พี่ธีก็มีพี่น้อง แล้วพี่ธีมีน้องชายห่างกัน 3 ปี เขาก็ว่าห่างกัน 3 ปีกำลังดี ถึงเวลาพี่ธีก็เริ่มบอกดาว่ามีได้แล้วนะ เขาพูดแต่เราไม่ได้สนใจ (หัวเราะ) แต่พอถึงเวลาน้องมาเอง จริงๆ หมอเคยบอกดาว่าเป็นคนมีลูกค่อนข้างยาก แต่ตอนเรไรก็ไม่เห็นยาก ยิ่งตอนเบญจเขาก็มาเอง คือทั้งคู่มาเองแบบธรรมชาติ”
“ตอนลูกคนแรก ดาเลี้ยงลูกอย่างเดียวเลย พอช่วงกัลปพฤกษ์ เซ็นทรัลเวิลด์จะเปิด ทุกคนโยนมาเลยว่าดาต้องเอาร้านนี้ไปจัดการ เราก็ตายละ! ตอนนั้นเรไรเพิ่งขวบกว่าเอง เครียดเลย ความที่เราเลี้ยงเรไรมาตลอดตั้งแต่วันแรกที่เขาเกิด ถึงจะมีพี่เลี้ยงช่วย แต่เราอยู่กับลูกตลอด ก็รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ ดาเลยคิดว่าต้องทำให้ลูกไม่รู้สึกว่าแม่หายไป และไม่ใช่แค่ลูกอย่างเดียว รวมถึงพี่ธีด้วย เพราะตั้งแต่เป็นแฟนจนแต่งงานมีลูก เราอยู่ด้วยกันตลอด คือเราต้องบาลานซ์ 2 อย่างนี้ จนบัดนี้ดายังคิดอยู่เลยว่ายากมากเลย แต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ลงตัวและดำเนินมาเรื่อยๆ”
ผ่านประสบการณ์จากการเลี้ยงลูกคนแรก มาถึงลูกคนที่สอง ดาจึงกลายเป็นคุณแม่มืออาชีพมากขึ้น พิถีพิถันกับการเลือกเฟ้นพี่เลี้ยงชนิดที่ว่าคัดแล้วคัดอีก เพื่อหวังจะให้มาเป็นผู้ช่วยยามเธอออกไปทำงาน โดยเฉพาะการเลี้ยงดูให้ลูกสาวคนโตไม่รู้สึกว่าทุกคนเห่อน้องชาย
“เพราะผ่านคนแรกมาแล้ว พอมาเลี้ยงลูกคนที่ 2 ก็ง่ายขึ้น รู้สึกว่าแต่ละปีผ่านไปเร็วจัง ผิดกับลูกคนแรกรู้สึกนาน กับลูกคนแรกเวลาพี่เลี้ยงลากลับบ้าน ดานั่งมองประตูบ้านทุกวันเลย เมื่อไหร่พี่เลี้ยงจะกลับมา แต่ตอนเบญจพี่เลี้ยงจะลาก็โอเคไปหลายๆ วันก็ได้นะ กลายเป็นว่าเบญจเป็นเด็กไม่ติดแม่ เป็นเด็กอินดิเพนเดนต์มากกว่าเรไร คือเขาก็รักพี่เลี้ยงนะ เพียงแต่ไม่ติด เขานอนเองได้ แต่เรไรต้องกล่อมต้องอุ้ม พอเบญจเริ่มโตสองคนพี่น้องก็อยู่ด้วยกันได้แล้ว” ภดารีแชร์ถึงประสบการณ์คุณแม่
รับมือ 2 ตัวน้อย 2 สไตล์
“ผมว่าก็เป็นความสุขอีกแบบ ได้เห็นเขาโต ได้เห็นพัฒนาการของเขา ตื่นเต้นเวลาเขาพูดได้ เดินได้ แต่พอเขาวิ่ง เราเริ่มกลัวแล้วว่าจะไปชนอะไรหรือเปล่า จะเดินหายไปไหนหรือเปล่า และคนเล็กเป็นคนไม่ค่อยกลัวอะไร คือเวลาไปห้างสรรพสินค้า ต้องคอยดูดีๆ เพราะเคยหายมาแล้ว แค่ไม่กี่นาที แต่เราใจแป้วแล้ว” ฤทธีเล่าถึงประสบการณ์คุณพ่อลูกสอง
ความที่เลี้ยงดูมาต่างกันระหว่างลูกคนแรกกับลูกคนที่สอง เรไรกับเบญจจึงมีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกัน ขณะที่น้องเรไรเป็นเด็กติดแม่ แต่รู้จักระวังตัวและมีความเป็นผู้ใหญ่ซ่อนอยู่ ตรงข้ามกับเบญจที่เป็นเด็กรักอิสระ เป็นตัวของตัวเอง แต่ในความต่างก็มีความคล้ายกันในบางเรื่อง ซึ่งคุณแม่ดากับคุณพ่อธีต้องเรียนรู้นิสัยลูกๆ ไปพร้อมกับหาลูกเล่นใหม่ๆ มารับมือไปในตัว
“สองคนจะคล้ายกันตรงเบญจจะตามพี่ เห็นพี่ทำอะไรก็จะตามทุกอย่าง จะเล่นด้วยกันได้ แต่เบญจจะซนกว่า เมื่อก่อนดาจะเห็นว่าเรไรดื้อ แต่เขาเป็นประเภทถ้าเราบอกว่าหยุดเขาจะหยุด แต่เบญจจะพูดไม่รู้เรื่องเลยและไม่เถียงด้วย เบญจนี่ดื้อเงียบ พูดอะไรคือไม่สนใจเลย เป็นเด็กแบบฉันจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
“อย่างเรไรเดินไม่ต้องจับมือก็ได้ เราจะรู้ว่าเขาเดินตามเรา เรไรเป็นเด็กที่ดาเลี้ยงแล้วไม่รู้สึกห่วงเขา เพราะรู้ว่าเขาระวังตัวเอง คือติดแม่นะแต่ไม่ขี้กลัว เป็นเด็กที่มีความเป็นผู้ใหญ่ในตัว แต่เบญจไม่ใช่เลย ไม่กลัวอะไรจนตอนหลัง ถ้าไปห้างสรรพสินค้า หรือไปสถานที่ที่คนเยอะๆ ต้องจับเบญจนั่งรถเข็น ล็อกไว้เลย จริงๆ ดาไม่ค่อยอยากให้ลูกนั่งรถเข็นมาก อยากให้เขาเดินออกกำลังกายและไม่อยากให้เขารู้สึกว่าสบายมากไป แต่กรณีเบญจต้องยกไปนั่งเลย ไม่งั้นเดินหาย กลายเป็นว่าเขาชอบ สบายไป”
ร่ายฤทธิ์เดชเจ้าตัวเล็กแล้ว คุณพ่อธีถึงกับออกปากว่า สงสัยลูกชายจะนิสัยเหมือนพ่อ แอบดื้อเงียบ ในขณะที่ลูกสาวเหมือนคุณแม่และคุณยายมากกว่า แต่ถึงจะดื้ออย่างไร หนูน้อยทั้งสองก็ยังคงเป็นแก้วตาดวงใจของทุกคนในครอบครัว รวมถึงคุณน้า (น้องสาวของภดารี ‘ทิมทอง สุชีวะ’)
“คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายก็ยังเห่ออยู่ ยิ่งน้าสาวจะชอบคนเล็ก เพราะอยากมีหลานชายมาก พอมีน้องเบญจก็จะดีใจซื้อของให้ ค่อนข้างจะโดนน้าสปอยล์ (หัวเราะ) ก็เบรกยากอยู่ แต่ว่าคนโตเราไม่ค่อยสปอยล์ แต่เขาออกจะสทริกกี้นิดหนึ่ง อ้อนนิดๆ บางทีบอกว่าอยากได้อันนี้ เราเห็นว่ายังไม่ควรได้ แต่อาทิตย์ต่อมาเห็นลุงซื้อให้ เดี๋ยวยายซื้อให้ บางทีผมกับดาไปทำงานเชียงใหม่ เด็กๆ อยู่ที่นี่ก็ต้องให้ยาย ให้น้ามาดูแล กลายเป็นช่วงโปรโมชันของหนูมาถึงแล้ว ออกไปข้างนอกซื้อโน่นนี่ เราก็พูดยากเพราะเขาอยากให้ คือลูกเราไปทำให้เขาสปอยล์มากกว่า” คุณพ่อธีแอบเมาท์ถึงวีรกรรมลูกสาวคนโตที่กลายเป็นเรื่องสนุกสนานของบ้านนี้ไป
เลี้ยงลูกฉบับภดารี & ฤทธี
น่าแปลกว่าแม้ลูกทั้งสองจะมีคาแรกเตอร์ไม่เหมือนกันเลย แต่ทั้งคุณแม่ดาและคุณพ่อธีกลับไม่ได้มีเคล็ดลับหรือเทคนิคเลี้ยงลูกฉบับพิเศษแต่อย่างใด แถมไม่เคยเถียงกันเรื่องวิธีเลี้ยงลูกอีกต่างหาก อาจเพราะทั้งภดารีและฤทธีได้รับการเลี้ยงดูในวัยเด็กมาคล้ายๆ กัน จึงกลายเป็นเรื่องอัตโนมัติที่จะถ่ายทอดสิ่งที่พวกเขาซึมซับมาจากปู่ย่าตายายไปสู่ลูกๆ ของพวกเขา
“ดาแค่สอนให้คิดเป็นเท่านั้นเอง สอนให้แก้ปัญหา Make Your Own Choice ตั้งแต่พวกเขาเกิด ดาจะถามตลอดว่าจะเอาอันนี้หรืออันนี้ ตั้งแต่เด็กเวลาลูกๆ ออกไปกินข้าวนอกบ้าน ไม่เคยเอาอาหารกล่องจากบ้านไป คือถ้าคุณเลือกที่จะไปทานอาหารนอกบ้าน คุณต้องกินให้ได้ ถ้ากินไม่ได้ครั้งหน้าไม่ต้องมาเพราะไม่ใช่ที่ของเด็ก แต่ถ้าขอตามมาต้องทำให้ได้”
“ดารู้สึกว่าชีวิตมันคือของเขา เขาสามารถเลือกได้ ไม่ใช่ว่านั่งอยู่เฉยๆ แล้วแม่ประเคนให้ทุกอย่าง ตอนหลังเคยคุยกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็ก เขาก็บอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือการมีทางเลือกให้เด็ก กลายเป็นว่าเราทำถูกโดยที่เราไม่รู้ คือดาเลี้ยงลูกไม่เคยอ่านหนังสือ ไม่เคยปรึกษาหมอ พูดง่ายๆ เวลาคนถามว่าเราเลี้ยงลูกอย่างไร เราบอกว่าเลี้ยงตามมีตามเกิด (หัวเราะ) คือเราพยายามเลี้ยงให้เขาเข้ากับชีวิตเรา”
ฟังแนวทางเลี้ยงลูกของคุณแม่ดาแล้ว คุณพ่อธีก็เสริมว่า พยายามเลี้ยงให้ลูกๆ เป็นเด็กที่มีความสุข ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อวันหนึ่งพวกเขาเติบโตมีความคิดเป็นของตัวเอง อยากจะทำอะไรก็ให้เขาได้เลือกเอง เพียงแต่ช่วงวัยนี้จะเน้นปลูกฝังเรื่องความรับผิดชอบเป็นพิเศษ
“เราก็อยากให้เขาเป็นคนดีในสังคมคนหนึ่ง มีการศึกษาที่ดี เป็นคนเก่ง เราผลักดันตรงนี้ แต่ก็ไม่พยายามทำให้เขาเหนื่อยหรือโอเวอร์โหลดเกินไป อย่างตอนนี้ก็สอนให้พี่ดูแลน้อง ให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งเขาทำได้ดีในระดับหนึ่ง และพยายามให้ทะเลาะกันน้อยลง คือเมื่อก่อนน้องจะทำตามพี่ทุกอย่าง แต่พอน้องเริ่มโต มีความคิดเป็นของตัวเอง น้องก็ต่อต้านพี่ เริ่มมีลงไม้ลงมือ ผมก็บอกเรไรว่าน้องทำอะไรไม่ต้องโต้ตอบ ให้มาบอกพ่อแม่แล้วเราจะไปหยุดให้” ฤทธีเล่าถึงปัญหาที่เป็นไปตามวัยของลูก
ห่วงเพราะรัก
ท่ามกลางชีวิตครอบครัวที่เรียบง่ายและมีความสุข แต่ในฐานะคุณแม่ ภดารียังคงอดห่วงไม่ได้ เพราะสังคมสมัยนี้น่ากลัวขึ้นทุกวัน สิ่งที่เธอทำได้ก็เพียงสอนให้ลูกๆ รู้จักเอาตัวรอดท่ามกลางยุคสมัยที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และสนับสนุนพวกเขาอยู่ข้างหลังเมื่อพวกเขาเติบโต
“เราเลี้ยงให้ลูกๆ ทำเอง คิดเอง แต่เรายังอยู่ข้างหลังที่จะสนับสนุนเขาตลอด คือเราไม่ใช่แบบฝรั่งจ๋าที่โยนลูกไปเลย มีชีวิตของคุณไม่ต้องมายุ่งกับเรา แต่เรายังเป็นคนไทยที่แอบทำทุกอย่างให้เขา แต่ไม่ให้เขารู้”
ส่วนบทบาทภรรยา แม้เธอจะได้คู่ชีวิตที่เหมือนฟ้าประทานมาให้คลิกกับเธอในทุกเรื่อง แต่ก็ยังมีเรื่องให้ต้องแอบกังวลตามประสาผู้หญิงและคู่ชีวิตที่รู้ใจอีกฝ่ายจนทะลุปรุโปร่งแล้ว
“ไม่ห่วงอะไรเขาเลย นอกจากตอนเขาอยู่บนรถและถนน ถามว่าห่วงมากไหม ก็ไม่มาก อยู่ในระดับหนึ่ง คือเราก็เชื่อว่าเขาควบคุมมันได้ แต่เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นบางทีมันเร็วจนเราทำอะไรไม่ได้ เพราะเวลาถนนโล่งคือถนนเป็นของเขาเลยล่ะ เวลารถใครมาปาดนี่ไม่ได้เลย ก็เลยกลัวว่าวันหนึ่งจะมีใครยิงเอา (หัวเราะ) คือห่วงแค่นี้”
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวในยามนี้ของครอบครัว “ภดารี (สุชีวะ) บุนนาค” กับ “ฤทธี บุนนาค” ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีจังหวะชีวิตของพวกเขาจะต้องหมุนเปลี่ยนไปอีก เมื่อเจ้าตัวน้อยทั้งสองเติบใหญ่ขึ้น :: Text by FLASH
Credit
แต่งหน้า : สริพร วรทคเณศ จาก IMFA : International Make up Fashion Academy
ทำผม : ณัฐวีณา เมธีธารา จาก IMFA : International Make up Fashion Academy
ช่างภาพ : กมลภัทร พงศ์สุวรรณ