xs
xsm
sm
md
lg

จากเด็กเสิร์ฟสู่ซีอีโอธุรกิจน้ำดื่ม “ณัชชารีย์ สุขเจริญไกรศรี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>เฉกเช่นเดียวกับทายาทนักธุรกิจเชื้อสายจีนทั่วไปที่มักถูกวางหมากให้กลับมาดูแลธุรกิจของครอบครัว หากแต่ “ณัชชารีย์ สุขเจริญไกรศรี” สาวหล่อกลับเลือกที่จะค้นหาตัวเอง ด้วยการเริ่มต้นหาประสบการณ์จากจุดเล็กๆ ตั้งแต่การเป็นเด็กเสิร์ฟ พนักงานล้างห้องน้ำ ก่อนผันตัวมาบุกเบิกเส้นทางที่ตัวเองไม่คาดคิดกับธุรกิจผลิตน้ำดื่มในนาม “Star Drinking Water

“ปุ๊” ณัชชารีย์ สุขเจริญไกรศรี น้องนุชสุดท้องในจำนวนพี่น้อง 3 คน ที่มีคุณพ่อเป็นผู้นำครอบครัวจับธุรกิจหลากหลายทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บริหารที่ดิน, โรงแรมอย่าง A-Star Phulare Valley Resort เชียงราย, โรงเบียร์ชื่อเสียงเก่าแก่ที่รู้จักดีในชื่อ “โรงเบียร์ฮอลแลนด์” จนมาถึงธุรกิจโรงน้ำดื่มซึ่งมาบุกเบิกในรุ่นลูกในชื่อ “Holland Star Packaging” โดยมีคุณปุ๊รั้งตำแหน่ง Deputy Managing Director ที่ปัจจุบันผลิตน้ำดื่มส่งให้กับองค์กรยักษ์ใหญ่อย่าง การบินไทย, บิ๊กซี, ซีพี เฟรชมาร์ท และอิเกีย

แต่ก่อนมานั่งเก้าอี้ผู้บริหารอย่างที่เป็น ปุ๊ก็เหมือนทายาทนักธุรกิจทั่วๆ ไป เมื่อจบปริญญาตรี คณะ Business English จาก Bangkok University International College ก็มาช่วยธุรกิจของครอบครัวภายใต้บริษัท Southern Bus Terminal (SBT) ดูแลบริหารพื้นที่สถานีขนส่งสายใต้ใหม่อยู่ราว 1 ปี ถึงจุดหนึ่งจึงเริ่มรู้ตัวเองว่าอยากทำงานเกี่ยวกับโรงแรม ประจวบเหมาะกับครอบครัวมีแผนจะทำธุรกิจโรงแรมด้วย ปุ๊ตัดสินใจขอคุณพ่อฝึกงาน ที่ศรีพันวา รีสอร์ต ภูเก็ต โดยที่ตัวเองไม่มีพื้นฐานการทำงานโรงแรมมาก่อนเลย

“พอดีมีเพื่อนเป็นญาติกับคุณปลาวาฬ อิสสระ (เจ้าของศรีพันวา) ก็ถามว่าที่นี่รับเด็กฝึกงานหรือเปล่า? เพื่อนก็ถามว่า “เฮ้ย...จะอยู่ได้เหรอวะ? อยู่นี่ต้องนอนหอรวมพนักงานบนเกาะนะ ถ้าอยู่ไม่ได้แล้วมึงร้องไห้กลับมา เลิกเป็นเพื่อนเลยนะ” เราก็โอเคอยู่ได้ อยู่ที่นี่พี่ๆ น่ารัก สอนงานให้หมด ได้ประสบการณ์เยอะมาก ทั้งระบบงาน ระบบคน การบริหาร เราได้ฝึกงานวนเกือบทุกแผนก ตอนแรกอยู่ฟู้ดแอนด์เบฟเวอเรจก็เสิร์ฟด้วย เช็กสต๊อก เป็นบาร์เทนเดอร์ จากนั้นขอฝึกแผนก Front Office เรียนรู้ระบบการจอง การเช็กแขก จากนั้นก็เป็น Housekeeping ก็คืองานแม่บ้าน ล้างส้วม ฉีดกระจก รูมบอยด้วย จริงๆ ตั้งใจจะฝึกสักปี แต่อยู่ได้ 6 เดือนกว่า พี่ชายโทรศัพท์มาตามให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน คือเขาคิดว่าเราไปอยู่ที่นั่นเราไปเที่ยว ไปปาร์ตี้”

เมื่อถูกเรียกตัวกลับ สิ่งแรกที่ปุ๊ต้องเผชิญ คือ การรับช่วงต่อโรงงานผลิตน้ำดื่มที่เพิ่งจะตั้งไข่ชนิดยังไม่มีชื่อบริษัทด้วยซ้ำ คุมคนงานกว่า 300 ชีวิต ซึ่งต้องยอมรับว่าธุรกิจนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะเริ่มมาจากเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปี 2554 โรงเบียร์ฮอลแลนด์ของครอบครัวไม่ได้โดนน้ำท่วมและมีศักยภาพในการผลิตน้ำดื่ม RO ในขณะที่เวลานั้นโรงงานผลิตน้ำดื่มรายใหญ่ๆ ประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้ขาดแคลนน้ำดื่ม คุณพ่อของปุ๊จึงตัดสินใจผลิตน้ำดื่มออกมาแจกให้ผู้ประสบภัย จากจุดนั้นปุ๊จึงนำเอามาตั้งเป็นชื่อบริษัท “Holland Star Packaging”

“ทุกอย่างเริ่มใหม่หมด ตอนนั้นปุ๊เพิ่งอายุ 25 เอง ยากเหมือนกันสำหรับเด็กฝึกงานคนหนึ่งแล้วมาบริหารคน 300 คน มาดูโรงงาน ดูกระบวนการผลิตทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ แรกๆ ปัญหาเยอะมาก ไหนจะเรื่องเครื่องจักร และการบริหารคนก็ยากกว่าบริหารงาน แต่การที่เราเคยเรียนบริหารช่วยได้เยอะ เราเคยเป็นลูกน้อง เรารู้ว่าระบบบริหารเป็นอย่างไร รู้ว่าลูกน้องคิดอะไร เวลาบริหารบุคคลต้องคอยเคลียร์ปัญหา อย่างแรกเราต้องกล้าเข้าไปคุยก่อน แล้วถ้าเขามีปัญหาเขาจะเข้ามาคุยเอง คือเราต้องรู้ทุกปัญหาว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าเราไม่รู้เลย มันเหมือนเราเป็นคนตาบอด ตอนแรกที่เข้ามาไม่มี Staff Meeting ด้วยซ้ำ เราก็ปรับไปเรื่อยๆ ปุ๊ก็เหมือนก้าวไปก้าวหนึ่งเหมือนกัน เพราะคนที่คิดไม่ทำวันหนึ่งเขาอยู่ไม่ได้ก็ออก เราก็ฟอร์มทีมขึ้นใหม่ ซึ่งเราสัมภาษณ์เองเกือบทุกคน”

“ถึงตอนนี้ภายใต้ ฮอลแลนด์ สตาร์ ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เพราะเราผลิตน้ำดื่มให้การบินไทย, ซีพี นั่นหมายถึงคุณภาพของเราถึงมาตรฐาน แต่จะทำอย่างไรถึงจะแชร์ส่วนแบ่งตลาด ตรงนี้ก็ต้องอยู่ที่การตลาดว่าจะทำอย่างไรให้ติดระดับประเทศ ก็ต้องทำการบ้านเยอะๆ เพราะเป้าหมายอันดับสองของเราคือสร้างแบรนด์ Star Drinking Water มีคนกล่าวเอาไว้ว่า Make your people before make your products ก็ต้องฟอร์มทีมให้แข็งแกร่งก่อน แล้วผลิตภัณฑ์ถึงจะมีคุณภาพ เพราะถ้าไม่มีคุณภาพ เราจะขายให้ลูกค้ายังไง เพราะลูกค้าก็เหมือนแฟมิลีของเรา”

นอกจากความเป็นคนสู้งานแล้ว อีกบุคลิกหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลย ก็คือความเป็นทอมบอยในตัวของปุ๊ ซึ่งเธอยอมรับแบบสบายๆ ว่า เป็นแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ และไม่โกรธด้วยว่าใครจะเรียก “ทอม” ซึ่งคาแรกเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์นี้ ปุ๊กลับมองเป็นข้อได้เปรียบในการทำงานด้วยซ้ำ

“ถามว่ามีปัญหาไหม ไม่มีเลยนะ ดีซะอีก เพราะถ้าเป็นผู้หญิง ปุ๊ว่าพนักงานหรือทีมงานจะมีสเปซ ไม่กล้าสนิทกับเรา ก็คืออย่างปุ๊เวลาตบไหล่กับพนักงานระดับล่างหรือลูกน้อง เขาก็จะรู้สบายๆ ไม่เกร็ง เวลามีปัญหาอะไรก็กล้าบอกเรา คือปุ๊เป็นคนแบบสบายๆ ชิลๆ แต่ก็มีกรอบกฎเกณฑ์ระดับหนึ่งนะ”

เมื่อเริ่มพูดถึงประเด็นนี้ จึงอดย้อนถามถึงความเป็นทอมบอยในตัวเธอไม่ได้ ปุ๊บอกว่ารู้ตัวเองมาตั้งแต่ถือขวดนมแล้ว โดยคุณพ่อคุณแม่และคนในครอบครัวก็ทราบดี และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงอะไร แถมออกจะยอมรับตัวตนของปุ๊ด้วยซ้ำ

“แม่เคยเล่าให้ฟังตอนปุ๊อยู่อนุบาล วันไหนใส่กระโปรงไปเรียนจะงอแง ตื่นสาย เกาะประตูรถแน่นไม่ยอมออก แต่ถ้าวันไหนใส่ชุดพละ จะตื่นเอง ไม่ต้องปลุกเลย อาบน้ำเอง ใส่เสื้อผ้าเองหมด จนโรงเรียนอนุญาตให้ใส่กางเกงมาเรียนได้ แล้วมีอยู่วันนึงแม่จับเราใส่กระโปรงไปงาน เราคันๆ อยากจะถอด ซึ่งพ่อแม่ก็รู้ ขนาดญาติเคยบอกว่า จ้างแสนหนึ่งใส่ชุดกระโปรงแบรนด์เนมแพงๆ เราก็ว่าไม่เอา จนพ่อบอกว่ามีลูกชายเพิ่มอีกหนึ่งคน”

“ทุกวันนี้พี่ชายเห็นเราเป็นน้องชายไปแล้ว เพื่อนส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย จะมีเพื่อนผู้หญิงบ้างคือเพื่อนตอนเรียนมัธยม ซึ่งพวกเขาก็เข้าใจ ไม่ได้มีปัญหา พวกผู้ชายก็คิดว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งไปเลย เล่นกันโหดๆ บางทีไปจีบผู้หญิงด้วยกัน ใช้เราเข้าไปขอเบอร์ผู้หญิงให้ซะเลย (หัวเราะ)”

คุยเรื่องจีบสาวแล้ว แน่นอนว่าต้องถามเรื่องมุมมองความรักของปุ๊ ซึ่งเราไล่มาครบตั้งแต่วิธีจีบสาว, สเปกในใจ ไปจนถึงคนที่ ‘ใช่’ ในยามนี้

“ถ้าถามว่าจีบยังไง ปุ๊จะแย็บๆ ดูเชิงก่อนว่าเขาสนใจป่าว ถ้าไม่สนใจก็ค่อยถอยออกมา ถ้าสนใจก็ค่อยเดินเกมต่อ คือต้องรู้จักเขานิดหนึ่ง ถ้าไม่รู้จักเลยก็คงไม่กล้าเข้าไปจีบ แล้วเดี๋ยวนี้โลกมันแคบลง มีแชต บางทีเราก็รู้จักผ่านเพื่อน ตอนนี้ปุ๊อายุ 27 ปีแล้ว ไม่ต้องถึงขั้น Soul Mate หรอก มันยากนะ แต่ถ้าเจอคนที่ใช่อาจจะง่ายกว่า ปุ๊ชอบคนที่อายุมากกว่า มีความเป็นผู้ใหญ่ ไม่ชอบเด็กๆ ถ้าแนวเด็กกว่าจะงอแง เพราะเราทำงานแล้วคงไม่สามารถไปเทกแคร์คอยไปรับไปส่งได้ตลอดเวลา ต้องผิวสีแทน คมๆ ผมยาว ไม่ต้องมีความเป็นผู้หญิงมาก ชอบผู้หญิงลุยๆ มากกว่า มีความเป็นเวิร์กกิ้งวูแมน ถามว่าเจอหรือยัง เจอแล้วนะ (หัวเราะ) ตอนนี้เขาทำงานอยู่ภูเก็ต ก็ไปหาสองเดือนครั้ง ผลัดกันไปผลัดกันมา”

สำหรับคำกล่าวที่ว่า “รักแท้แพ้ระยะทาง” คงใช้ไม่ได้กับคู่ของปุ๊ เพราะตลอด 2 ปีกว่าที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง ไม่เคยเปลี่ยนแปลง โดยใช้ความเปิดเผยจริงใจเป็นเครื่องนำทาง

“ปุ๊เป็นคนชอบฟังเพลงแนว EDM Electro ก็จะชอบปาร์ตี้ เมื่อก่อนทุกศุกร์ เสาร์ ก็ไปตื้ดๆ เลิกตี 5 เช้า 8 โมงไปทำงาน แต่เดี๋ยวนี้อาจจะไม่ขนาดนั้นแล้ว เขาก็รู้ เวลาเราไปเที่ยว ไปกับใคร กลับกี่โมง เราก็บอกเขา และถ้าเขามีอะไรก็บอกเราเหมือนกัน คือเราเปิดเผย และเขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว อาจมีทะเลาะกันบ้าง แต่เราก็ถอยกันคนละก้าว มานั่งคิดก่อน แล้วกลับไปปรับความเข้าใจกัน จริงๆ ภูเก็ตกับกรุงเทพฯ ห่างกันแค่ชั่วโมงเดียวเอง เร็วกว่าอยุธยามาทองหล่ออีก (หัวเราะ)”

ในยุคสมัยที่โลกเชื่อมโยงถึงกัน เปิดรับความแตกต่างกันมากขึ้น ปุ๊ให้ทัศนะเกี่ยวกับการเปิดรับความแตกต่างของเพศสภาพเอาไว้ว่า เดี๋ยวนี้สังคมไทยเปิดรับกันมากขึ้น ถ้าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็ไม่ใช่ปัญหา

“ปุ๊มองด้วยว่าเรามาจากครอบครัวคนจีน เขาก็รับได้ระดับหนึ่ง ปุ๊โตขึ้นมาแบบนี้เขาก็รับได้เต็มๆ แล้วละ โลกเดี๋ยวนี้มันวิวัฒนาการแล้ว ถ้าอยู่แต่ในมุมเล็กๆ ก็ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้เด็กบางคนเกิดมา 2-3 ขวบก็เป็นตุ๊ดเป็นทอมแล้ว คือเราไม่สามารถกำหนดได้ว่าเกิดมาต้องเป็นงี้ๆ ข้างบนให้มาอย่างไรก็ต้องยอมรับ จะมานั่งเป็นอีแอบก็คงอึดอัด ก็ปล่อยๆ ออกมาให้เป็นไปตามธรรมชาติของเราเถอะ แล้วปุ๊มองว่าสังคมไทยเราโอเพ่นมากขึ้น ไม่ได้ซีเรียสเหมือนเมื่อก่อน”

ปิดท้ายก่อนจากกัน ปุ๊แง้มถึงแผนในอนาคตของตัวเองทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวไว้ว่า ถ้ามีโอกาสอยากเปิดโรงแรมเป็นของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ตั้งใจทำสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด เพราะส่วนตัวมองว่าการทำหลายธุรกิจเป็นการต่อยอดโอกาสและท้าทายความสามารถของตัวเอง ส่วนเรื่องชีวิตคู่เจ้าตัวบอกว่าก็คงอยู่ด้วยกันไปแบบนี้ แต่ก็แอบติดตลกว่า ไม่แน่ว่าถ้ามีเงินเก็บเป็นของตัวเอง อาจจะจัดปาร์ตี้เวดดิ้งก็ได้ :: Text by FLASH

Special Thanks : Tiny Cup @ Thonglor ระหว่างทองหล่อ 21 และ 23 โทรศัพท์ 0-2712-5112-3 เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ

กำลังโหลดความคิดเห็น