>>บุตรสาวคนเดียวของสองนกนักแสดงดัง “ฉัตรชัย-สินจัย เปล่งพานิช” ที่เพียงเราได้สัมผัสก็ทราบถึงความสามารถที่สืบทอดทางสายเลือดจากครอบครัว “เปล่งพานิช” ที่ฉายแววให้เห็นตั้งแต่ยังไม่สำเร็จการศึกษาจากรั้วมหาวิทยาลัย สมกับคำที่ว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” อย่างแท้จริง
“ฑิชากร เปล่งพาณิช” หรือ “บอม” เป็นบุตรสาวคนที่ 2 จากบรรดาพี่น้องทั้งหมด 3 คน โดยเธอเป็นตัวคั่นกลางระหว่างพี่ชาย (กันต์ และสิทธิโชค เปล่งพานิช) กับน้องชาย (ดอม-พีรดนย์ เปล่งพานิช) ปัจจุบันบอมอายุ 24 ปี ศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขามัลติมีเดียดีไซน์ ด้วยความที่เธอเกิดมาในครอบครัวที่มีสมาชิกในบ้านส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ทำให้เธอค่อนข้างที่จะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง และมีความคิดในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากเด็กสาวในรุ่นราวคราวเดียวกัน
ด้วยเหตุผลด้านการเลี้ยงดูที่ทั้งพ่อและแม่เน้นให้ลูกๆ ทุกคนฝึกฝนให้มีความรับผิดชอบ และสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยตัวเอง ชีวิตในวัยเยาว์ของน้องบอมจึงค่อนข้างที่จะมีระเบียบแบบแผน แม้แต่ช่วงที่ต้องไปศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่ Marlborough Girl's College และเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ Victoria University of Wellington ประเทศนิวซีแลนด์ บอมก็สามารถไปใช้ชีวิตตามลำพังได้อย่างไม่มีปัญหา หรือสร้างความหนักใจให้กับครอบครัวเลยแม้แต่น้อย
แต่ด้วยความที่เธอคิดถึงบ้าน จึงตัดสินใจเลือกที่จะขอดร็อปการเรียนที่นิวซีแลนด์ไว้ก่อน แล้วหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร ในสาขาเดิมที่เธอเรียนอยู่ ซึ่งการกลับมาอยู่ประเทศไทยครั้งนี้ สร้างโอกาสและประสบการณ์ใหม่ๆ ในการดำเนินชีวิตหลายอย่างให้กับตัวเธอเป็นอย่างมาก
“ตอนที่กลับมาจากนิวซีแลนด์ใหม่ๆ บอมจะมีเวลาว่าง เพื่อนที่เคยทำคอสตูมกองละครของพ่อที่สนิทกันมาก เขาออกไปทำงานให้กับนิตยสารทรู (True magazine) ก็โทรศัพท์มาชวนให้บอมไปทำงานด้วย ซึ่งตอนนี้ทางนิตยาสารกำลังมองหานักเขียนรุ่นใหม่อยู่ สนใจหรือเปล่า แต่ต้องเขียนคอลัมน์เป็นภาษาอังกฤษได้ ทำงานแบบ Full- time แต่บอมบอกว่าขอลองเขียนเป็นฟรีแลนซ์ก่อน เพราะไม่เคยเขียนคอลัมน์ต่างๆ ลงนิตยสารมาก่อน จนถึงตอนนี้ก็ทำมาได้เกือบ 3 ปีแล้ว สนุกดี ทีมงานทุกคนน่ารัก ถึงแม้ว่าบอมจะยังเรียนไม่จบก็ตาม แต่เขาก็เปิดโอกาสให้บอมได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่”
“นอกจากการเป็นนักเขียนให้กับนิตยสารทรูแล้ว บอมยังรับงานเป็นนักเขียนอิสระให้กับนิตยสารแอล ประเทศไทยอีกด้วย โดยทางนิตยสารมีโปรเจกต์ในการเอาเด็กรุ่นใหม่มาเขียนคอลัมน์ต่างๆ ซึ่งคนที่มาเขียนไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียนก็ได้ เพราะทางนิตยสารจะแบ่งมาเป็นคอลัมน์ต่างๆ อย่างเช่น เรื่องอาหาร ท่องเที่ยว หรือความงาม ส่วนบอมเขียนเกี่ยวกับเรื่องท่องเที่ยว เพราะบอมชอบเดินทางและเคยเขียนแนวนี้อยู่แล้ว”
อีกหนึ่งกิจกรรมที่เธอทำควบคู่ไปกับการเรียนและการเป็นนักเขียน นั่นก็คือ การทำงานด้านอาสามัครในการช่วยเหลือผู้อื่น รวมไปถึงการทำสารคดี หรือมิวสิกวิดีโอต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานอาสาสมัครที่เธอทำด้วย
“จริงๆ บอมชอบทำงานอาสาสมัคร และชอบช่วยเหลือผู้อื่น จึงเอาความรู้ด้านมัลติมีเดียที่เรียนมาใช้ประโยชน์กับงานอาสาสมัคร อย่างอันแรกที่ทำจริงจังเลยคือ Operation Smile Thailand เป็นองค์กรที่จะทำการผ่าตัดให้กับเด็กที่เป็นโรคปากแหว่งเพดานโหว่ ได้มีโอกาสไปลงพื้นที่จริงที่แม่สอด จังหวัดตาก บอมก็เลยมีโอกาสได้เก็บเกี่ยวข้อมูลมาทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นการไปคุยกับน้องๆ แล้วเอามาทำเป็นสารคดี ซึ่งการได้เจอกับน้องๆ ทำให้เรารู้สึกว่า เขาไม่ได้ผิดแปลกไปจากคนอื่น แต่คนส่วนมากจะไปมองว่าเขาผิดปกติ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ผิดปกติอะไรเลย เพียงแต่ว่าเขาโชคร้ายกว่าเราแค่นั้นเอง”
“ส่วนปีนี้ทำให้ Goodwill Foundation (มูลนิธิกลุ่มปรารถนาดี) ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ช่วยเหลือผู้หญิงที่ไม่มีโอกาสได้เรียน ก็ไปสอนวิชาชีพให้เขา เหมือนหาเงินไปช่วยเขา เราก็ทำเท่าที่ทำได้ เพราะเราไม่ได้เข้าไป 100% ตลอดเวลา อย่างตอนที่ทำ Operation Smile เขาได้ติดต่อมาทางอาจารย์ แล้วเราก็ตัดสินใจไปทำ เหมือนต่อยอดไปเรื่อยๆ เพราะบอมตั้งใจไว้ตั้งแต่กลับมาจากนิวซีแลนด์แล้วว่า ปีหนึ่งจะทำหนังสั้นสักเรื่อง แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ยุ่ง ก็เลยไม่ได้ทำหนังสั้น แต่เปลี่ยนมาทำสารคดีแทน เพราะมันใช้เวลาแค่ช่วงสั้นๆ ถ้าเราทำเป็นหนังสั้น มันจะต้องต่อเนื่องหลายอย่าง ก็เลยหันมาทำสารคดีจนกลายเป็นงานอดิเรก สารคดีก็จะเป็นเหมือนแนะนำเกี่ยวกับโรคต่างๆ ซึ่งบอมทำแล้วรู้สึกดี พอทำวิดีโอเสร็จเราส่งไป มีเงินสนับสนุนอะไรกลับมา เราก็มอบให้ทางมูลนิธิหมด จึงรู้สึกว่าได้ช่วยเหลือจากความสามารถของเราเอง”
นอกเหนือจากกิจกรรมด้านจิตอาสาดังกล่าวแล้ว บอมยังมีโครงการเขียนพ็อกเกตบุ๊กให้กับทางสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นการเขียนเกี่ยวกับกิจกรรมที่เธอชื่นชอบ นั่นก็คือ การท่องเที่ยว เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่เธอเคยไปสัมผัสมาในอีกแง่มุมที่แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆ
“ไอเดียต่างๆ มาจากการที่บอมชอบเดินทางไปเที่ยวยังสถานที่กันดาร สถานที่ที่คนไม่ค่อยชอบไปกัน อย่างเช่น ประเทศอินเดีย ซึ่งบอมไปอินเดียมา 3 ครั้ง แต่ละครั้งที่ไปไม่เหมือนกันเลย ครั้งแรกไปกับคุณพ่อ ครั้งนั้นก็ไปกันสบายๆ หน่อย เพราะพ่อเขาไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร จึงเลือกที่พักแบบ 5 ดาว พอครั้งที่ 2 นี่คือจองตั๋วไปเอง ไม่ได้เตรียมที่พักล่วงหน้า เพื่อนยังงงเลยว่าบอมไปทำอะไรที่อินเดีย แต่ตอนนั้นที่ไปเพราะตั๋วเครื่องบินถูก แล้วมีเรื่องราวอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งต้องบอกว่ายาวมาก
...ส่วนครั้งที่ 3 ไปอินเดียทางตอนเหนือ ไปกับเพื่อนสนิทซึ่งตอนนี้ก็มีโปรเจกต์ทำอะไรด้วยกันอยู่หลายอย่าง อันนี้ก็สนุก ข้ามภูเขาไปแล้วกลับมาไม่ได้ เพราะเขาปิดทางขึ้น แถมหิมะตกหนักมาก สูงเกือบ 3 เมตร แต่เราก็จะไปต่อ เมื่อมองข้างทางที่เป็นเหวลึก ก็คิดอยู่ตลอดว่า ถ้าสิ้นลมหายใจไปอย่างน้อยก็อยู่ในที่สวยๆ คือภูเขาสวยมากอยู่ติดกับทิเบต เป็นสถานที่ที่เกินคำบรรยายจริงๆ เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นโปรเจกต์เขียนหนังสือท่องเที่ยวเองคนเดียว โดยทางสำนักพิมพ์เขายื่นข้อเสนอมาว่าเราอยากทำอะไร ให้เราเขียนตามที่ต้องการ”
นอกจากนี้ น้องบอมยังสนใจเรื่องการออกกำลังกายด้วย โดยเฉพาะกีฬาแนวผจญภัย แต่ด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้เธอต้องจำใจหยุดการออกกำลังกายชั่วคราว
“โดยส่วนตัวบอมชอบกีฬาที่ออกแนวผจญภัย พวกปีนเขา เล่นเซิร์ฟ เพราะตอนอยู่นิวซีแลนด์บอมชอบเล่นสโนว์บอร์ด แต่เมื่อต้นปีเกิดอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มที่เกาะเต่าแล้วเอ็นอักเสบ แล้วไม่ยอมไปหาหมอ คิดว่ากินยาเดี๋ยวก็หาย จากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ก็ไปเซิร์ฟทริปที่ศรีลังกา แต่อาการไม่ดีขึ้นจึงต้องยกเลิกกิจกรรม แล้วเปลี่ยนมานอนอาบแดดแทน”
...ถ้าว่างบอมชอบเอาเวลาไปทำอย่างอื่นมากกว่า อย่างเช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง เวลาดูหนังบอมดูหมดทุกแนว แต่ชอบดูคนเดียว เป็นคนที่ไม่ชอบดูหนังกับคนอื่น เพราะว่าถ้ามีคนอื่นไปด้วยเราจะคุย ไม่ใช่ว่าเพื่อนพูดมากนะ แต่เรานี่แหละที่จะพูด (หัวเราะ) ไปดูในโรงส่วนมากก็จะดูรอบสุดท้าย เคยมีอยู่เรื่องหนึ่ง หนังน่ากลัวมาก พอกลับบ้านที่ลานจอดรถมืดหมดแล้ว มีแต่ไฟจอดรถสีเขียวๆ เราก็หลอนรีบวิ่งขึ้นรถแล้วล็อกรถเลย”
ด้วยความที่เธอเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของครอบครัว และในช่วงวัยรุ่นก็ต้องไปเรียนที่นิวซีแลนด์ตามลำพังนานถึง 6 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่จะทั้งรักและห่วงเธอเป็นอย่างมาก
“ปัจจุบันบอมก็ยังพักอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อเป็นคนห่วงลูกมาก เพราะบอมเป็นคนชอบเที่ยว เขาคงอยากให้เราเรียนจบก่อน ซึ่งบอมก็เข้าใจนะ เพราะเป็นลูกสาวคนเดียว แล้วเราไม่ค่อยอยู่บ้าน เหมือนกับช่วงที่บอมกำลังโต บอมไม่ได้โตที่บ้าน แต่โตที่นิวซีแลนด์ บอมอยู่คนเดียว 6 ปี ออกจากบ้านไป 6 ปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พอบอมกลับมาเขาคงอยากให้อยู่ใกล้ๆ”
เมื่อถามถึงอนาคตที่เธอวาดฝันไว้ เธอบอกว่า “พ่อกับแม่ไม่เคยบังคับให้ทำอะไร แต่กลับให้อิสระในการเรียนการทำงานทุกอย่าง แต่ว่าบอมเรียนมาทางด้านนี้แล้ว ถามว่าเราอยากทำงานในวงการบันเทิงไหม บางครั้งก็อยากทำ เพราะพ่อแม่มีบริษัทผลิตละครอยู่แล้ว เราก็อยากลองทำดูบ้าง บททุกเรื่องที่มีเข้ามาเราก็อ่าน เพียงแต่ว่ายังไม่ได้วางแผนว่าจะทำตอนนี้เท่านั้นเอง เพราะบอมยังอยากลองทำงานอย่างอื่น และหาประสบการณ์ใหม่ๆ ”
...ที่จริงบอมอาจจะโชคดีกว่าคนอื่นที่มีคนหยิบยื่นโอกาสให้มากมาย เพราะชื่อเสียงของพ่อแม่สร้างไว้ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไม่ตั้งใจก็ไม่ประสบความสำเร็จหรอก ซึ่งมันเป็นแรงกดดันพอสมควร เวลาเราทำอะไรจะต้องทำให้ดี และไม่ให้เสียชื่อเสียงพ่อแม่ แน่นอนอยู่แล้วว่าชื่อเสียงที่พ่อแม่ทำไว้มันเป็นใบเบิกทางที่ดีแก่เรา แต่ทุกอย่างมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า ว่าเราทำได้ดีและประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน”
เมื่อสิ้นสุดบทสนทนา เราได้รับรู้ถึงแนวคิดและวิธีการดำเนินชีวิตของสาวน้อยคนหนึ่ง ซึ่งเราแทบจะลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าเธอคือลูกสาวของนักแสดงดังที่ผันตัวมาเป็นผู้จัดที่มีชื่อเสียงในวงการ เพราะเธอได้สื่อให้เราเห็นถึงความเป็นตัวของตัวเองและความสามารถในตัวเองที่รอคอยวันปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ อีกไม่นาน เราคงได้มีบุคลากรที่มีคุณภาพมาประดับวงการบันเทิงเมืองไทย ภายใต้โลโก้แบรนด์ “เปล่งพานิช” อย่างแน่นอน :: Text by FLASH
Fact File
ชื่อเล่น : บอม
การศึกษา : กำลังศึกษาระดับปริญญาตรี สาขามัลติมีเดียดีไซน์ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยศิลปากร
งานอดิเรก : ท่องเที่ยว อ่านหนังสือ
Social Media : IG : ms_plengpanich
Special Thanks : โรงแรมเซ็นทารา วอเตอร์เกต พาวิลเลียน ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ โทรศัพท์ 0-2625-1234