รู้จักกับธุรกิจแนวใหม่ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ U Drink I Drive หรือที่แปลเป็นภาษาไทยแบบง่ายๆว่า “คุณดื่ม เราขับ”
ธุรกิจบริการแนวใหม่ที่ส่งคนขับรถไปขับรถของลูกค้าแทนเพื่อพากลับบ้าน ช่วยให้บรรดาหนุ่ม-สาว ที่นิยมการ Hang Out กันทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ได้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย และยังเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่เกิดจากการเมาแล้วขับได้อีกด้วย
ความน่าสนใจอย่างแรกของธุรกิจนี้ คือ เป็นไอเดียของผู้บริหารวัยใส “สิ-สิรโสมย์ บริสุทธิ์สุวรรณ์” และ “มุ้งมิ้ง-ณิชมน วิริยะลัมภะ” ซึ่งทั้งคู่มีอายุเพียงแค่ 26 ปี เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ทั้ง 2 คน เป็นนักศึกษาในระดับปริญาโท จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีโอกาสได้ทำโปรเจ็กต์ร่วมกันก่อนเรียนจบ เป็นการเขียนแผนธุรกิจเพื่อตอบโจทย์ และแก้ปัญหาในเรื่องการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน
จากผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทยสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งกว่า 38% เกิดจากการเมาแล้วขับ
เมื่อเริ่มวิเคราะห์ลงลึกไปในรายละเอียด ก็พบว่าประเทศอื่นๆที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจากการเมาแล้วขับน้อยมากนั้น เกือบทุกประเทศจะมีธุรกิจที่ให้บริการ ส่งคนขับรถไปขับรถของลูกค้าที่ไปดื่มสังสรรค์กลับบ้าน ไม่ว่าจะเป็นประเทศเกาหลี อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และอื่นๆอีกหลายประเทศทั่วโลก
ทั้งคู่จึงเขียนแผนธุรกิจเกี่ยวกับธุรกิจการให้บริการในรูปแบบดังกล่าวขึ้น เพื่อใช้เป็นโปรเจ็กต์ก่อนจบการศึกษา และจากแผนธุรกิจที่เขียนขึ้นในสมัยเรียนนี้เอง ที่ทำให้ทั้งคู่มองเห็นถึงโอกาสในการสร้างธุรกิจขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ แต่การนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยนั้น ต้องบอกว่ามีความแตกต่างในเรื่องรายละเอียดการให้บริการอยู่ค่อนข้างมาก
สิรโสมย์ หนึ่งในผู้บริหารของบริการ U Drink I Drive ได้ขยายความถึงเรื่องนี้ว่า “โดยมากธุรกิจการให้บริการประเภทนี้ จะได้รับความนิยมในทุกประเทศ แต่ประเทศที่นำมาใช้แล้วประสบความสำเร็จสูงมากจริงๆ คือ เกาหลี ซึ่งเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงโซล ช่วงคืน วันศุกร์ เสาร์ จะมียอดผู้ใช้บริการสูงถึง 200,000 ต่อคืน
สาเหตุที่โมเดลธุรกิจนี้ได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ ก็เพราะกฎหมายในต่างประเทศนั้นรุนแรงมาก ส่งผลให้ปัญหาการเกิดอาชญากรรมต่างๆลดน้อยลงไปด้วย อย่างเช่น กฎหมายในเรื่องการเมาแล้วขับ ที่มีบทลงโทษรุนแรง ส่งผลให้คนเกรงกลัวต่อการทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย
ตรงนี้จะแตกต่างจากในบ้านเรา ที่กฎหมายมีบทลงโทษอ่อน ทำให้คนไม่ค่อยกลัว อย่างเช่นในเรื่องของการเมาแล้วขับ ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นในบ้านเราสูงมากถึง 38%
ทำให้คนไทยมองว่าเรื่องการเมาแล้วขับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ต่อให้มีการรณรงค์จากหน่วยงานต่างๆมากแค่ไหนก็ตาม ผิดจากในต่างประเทศ ที่สังคมจะช่วยกันกดดันคนที่เมาแล้วขับ ช่วยกันสอดส่อง เพราะเขามองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ เป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม ในขณะที่คนไทยมองว่าการเมาแล้วขับเป็นเรื่องปกติ พบเห็นได้ทั่วไป
ดังนั้นโมเดลธุรกิจนี้ จึงเกิดขึ้นได้ง่ายในต่างประเทศ คนของเขาเข้าใจ และมองเห็นถึงความจำเป็น ที่จะต้องมีการบริการแนวนี้ อย่างที่ประเทศเกาหลี บริการส่วนใหญ่ไม่ได้ก่อตั้งในรูปแบบของบริษัทด้วยซ้ำ แต่จะเน้นให้คนเข้ามาทำเป็นอาชีพเสริม หรือเป็นฟรีแลนซ์ ถ้าอยากจะรับงาน คืนวันศุกร์ เสาร์ ก็ไปยืนแจกโบร์ชัวร์หน้าผับได้เลย
ในขณะที่ประเทศไทย ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะเป็นบริการใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทยมาก่อน คนก็อาจจะไม่เข้าใจ รวมถึงปัญหาในเรื่องของความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือของทางบริษัท ซึ่งจะมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจใช้บริการของคนไทย”
เป็นที่มาของการก่อตั้งบริษัท U Drink I Drive ขึ้น แต่แน่นอนว่า ถึงจะเป็นโมเดลที่มีต้นแบบมาจากต่างประเทศ แต่ด้วยความแตกต่างของสภาพสังคม จึงทำให้ธุรกิจนี้ในไทย ต้องมีการประยุกต์ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการที่เหมาะสมกับคนไทยโดยเฉพาะ
“เรื่องแรกที่เราให้ความสำคัญมาก คือ พนักงานขับรถ เพราะเป็นคนที่อยู่ใกล้ชิดกับลูกค้ามากที่สุด ถือว่าเป็นหัวใจหลักในการทำธุรกิจนี้เลย ตอนนี้เรามีพนักงานทั้งแบบ Full Time 5 คน และ Part Time อีก 35 คน เพราะงานจะมีเยอะจริงๆ ก็แค่ช่วงคืนวันศุกร์ เสาร์ เท่านั้น ทำให้ต้องรับพนักงาน Part Time เข้ามาเสริม
ขั้นตอนในการรับพนักงาน จะมีการคัดกรองอย่างละเอียด ทั้งประวัติการทำงาน ประวัติอาชญกรรมต่างๆ ต้องไม่เคยทำผิดกฏหมายร้ายแรงมาก่อน โดยเฉพาะประวัติเรื่องการขับรถต้องดี และมีประสบการณ์ในการขับรถไม่ต่ำกว่า 10 ปี
โดยมากพนักงานประจำ จะเคยทำงานเป็นพนักงานขับรถให้กับผู้บริหารขององค์กรใหญ่ๆมาก่อน ส่วนพนักงาน Part Time นั้นจะมีหลากหลายอาชีพมาก ทั้งโปรแกรมเมอร์ ไกด์ บางคนก็มีปริญญาตรี 2 ใบ มีอาชีพการงานที่ดีกันทุกคน แต่เขาต้องการหารายได้เสริม เลยเลือกที่จะมาทำงานกับเรา
พนักงานทุกคนทั้ง Full Time และ Part Time จะต้องผ่านการฝึกอบรม และทดสอบ ทั้งงานด้านบริการ และการขับขี่จาก Limousine Express ซึ่งเป็นบริษัทพาร์ทเนอร์ของเรา ที่ให้บริการขับรถรับ-ส่งให้กับโรงแรมระดับ 5 ดาว และสายการบินชั้นนำของโลก
พนักงานจะถูกอบรมให้สามารถขับรถได้ทุกประเภท รวมถึงรถซูเปอร์คาร์ที่มีราคาแพง รวมถึงการเทรนนิ่งในเรื่องของบุคลิกภาพ และคัดเลือกคนที่มีใจรักทางด้านงานบริการเป็นหลัก เพราะต้องเข้าใจลูกค้าว่า บางคนเวลาเมามากๆ ก็พูดจาเลอะเทอะ บางคนบอกทางกลับบ้านแทบไม่ถูกด้วยซ้ำ จึงต้องเลือกคนที่ใจเย็น และเข้าใจงานบริการจริงๆ เราจะบอกเสมอว่าให้ดูแลลูกค้า เหมือนเขาเป็นคนในครอบครัว
ถ้าลูกค้าเป็นผู้หญิง การใช้บริการครั้งแรก มักจะขอเลือกพนักงานขับรถที่เป็นผู้หญิง เพราะรู้สึกปลอดภัยมากกว่า เราจึงต้องมีพนักงานผู้หญิงไว้คอยบริการด้วย 5 คน แต่หลังจากทดลองใช้บริการครั้งแรกแล้ว โดยมากก็จะกลับมาเป็นลูกค้าประจำ และการใช้บริการครั้งต่อไป ลูกค้าก็จะไม่ระบุว่าขอเป็นพนักงานผู้หญิงแล้ว เป็นใครก็ได้ เพราะเขาไว้ใจในบริการของเราแล้ว”
นอกจากเรื่องของพนักงาน ที่ถือเป็นหัวใจหลักของการบริการแล้ว อีกเรื่องที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ เรื่องความปลอดภัย เพื่อสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้ากล้าที่จะทดลองใช้บริการ
“สำหรับมาตรการด้านความปลอดภัยที่เพิ่มเติมเข้ามา อย่างแรก คือ การติดอุปกรณ์ GPS ขนาดเล็ก ที่พนักงานจะต้องพกติดตัวไว้ เพื่อตรวจสอบตำแหน่งของคนขับรถ ว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว ไปรับลูกค้าได้ตรงเวลาหรือไม่ หรือว่าขับรถออกนอกเส้นทางหรือเปล่า
อีกเรื่องที่เพิ่มเติมเข้ามา คือการติดกล้องขนาดเล็ก เกี่ยวไว้ที่หูของพนักงานขับรถ ลักษณะเหมือนกับบลูทูธ ซึ่งกล้องตัวนี้ต้องสั่งนำเข้าจากอเมริกา ราคาเครื่องละ 5,000 บาท เป็นกล้องที่ใช้กันในวงการกีฬาเอ็กซ์สตรีม ที่จะส่งภาพทุกอย่างผ่านกล้องกลับมายังจอมอร์นิเตอร์ที่ออฟฟิศ
ตรงนี้เป็นมาตรการที่เพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งในต่างประเทศจะไม่มี เพราะเราเข้าใจว่า นี่เป็นธุรกิจการให้บริการที่ใหม่มากสำหรับในเมืองไทย อีกทั้งกฎหมายบ้านเราก็อ่อน ลูกค้าก็จะเกิดคำถามว่า ปลอดภัยไหม คนขับรถที่ส่งมาไว้ใจได้ไหม เราจึงต้องเตรียมมาตรการทางด้านความปลอดภัยมากเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า”
U Drink I Drive เริ่มให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2556 ด้วยผลตอบรับที่ดีเกินคาด และเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆทุกเดือน สัดส่วนของลูกค้าจะเป็นผู้ชาย 60% และลูกค้าผู้หญิงอีก 40%
ขั้นตอนการใช้บริการ เพียงแค่โทรเข้ามาที่ศูนย์บริการ U Drink I Drink ล่วงหน้าอย่างน้อยประมาณ 30 นาที หรือหากอยู่ในสถานที่ที่เสียงดัง หรือไม่สะดวกที่จะรับโทรศัพท์ ก็สามารถแชทผ่านแอพพลิเคชั่น Line แทนได้ จากนั้นรอรับ SMS ยืนยันรายละเอียดการให้บริการและข้อมูลของพนักงานขับรถ ที่ทางศูนย์จะส่งไปรอรับยังสถานที่ที่ระบุไว้
สำหรับอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 500 บาท ในระยะทาง 5 กิโลเมตรแรก และคิดค่าบริการเพิ่มอีก 50 บาท ในทุกๆ 5 กิโลเมตร เฉลี่ยแล้วค่าใช้บริการต่อครั้งจะอยู่ที่ 600-800 บาท ซึ่งจะให้บริการเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น
“ผลตอบรับมันดีกว่าที่คาดหวังไว้มาก ด้วยความที่เป็นธุรกิจใหม่ เราก็เข้าใจว่าต้องใช้เวลานานในการประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ลูกค้า คิดไว้แล้วว่า 6 เดือนแรกคงไม่มีใครมาใช้บริการแน่ๆก็เตรียมทำใจไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว จะได้ไม่ต้องผิดหวัง คนคงยังไม่เข้าใจ ว่านี่คือบริการอะไร เพราะมันยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย
แต่กลายเป็นว่ามีลูกค้ามาใช้บริการตั้งแต่เดือนแรกที่เปิด จนทุกวันนี้เขาก็ยังเป็นลูกค้าประจำใช้บริการทุกศุกร์-เสาร์ เพราะบางคนที่ไปต่างประเทศบ่อยๆ เขาจะรู้จักธุรกิจแบบนี้อยู่แล้ว ก็จะบอกว่า เออ ดีจังเลย มีบริการนี้ที่เมืองไทยแล้ว คนกลุ่มนี้จะไม่ลังเลเลยในการใช้บริการของเรา และกลายเป็นลูกค้ากลุ่มแรกๆที่ช่วยกระจายข่าวให้เราอีกด้วย
และในช่วงแรก ก่อนที่จะเปิดให้บริการ เราก็ไปติดต่อหาพาร์ทเนอร์ตามร้านอาหาร ตามผับต่างๆ ให้เขาช่วยวางโบร์ชัวร์ของ U Drink I Drive ไว้ภายในร้าน รวมถึงการติดโปสเตอร์เพื่อโปรโมทธุรกิจ ตามผับย่านเอกมัย ทองหล่อ ทั้งหมด 15 ร้าน ซึ่งเป็นการสื่อสารไปถึงลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
ผลตอบรับในช่วงเดือนแรก มีรายได้เข้ามาประมาณ 40,000 บาท พอมาในเดือนที่ 2 เราโตขึ้นกว่า 200% เลย หลังจากนั้นก็โตขึ้นเดือนละประมาณ 80% เดือนล่าสุดจะอยู่ที่ประมาณ 280,000 บาท อาจจะยังไม่เยอะมาก แต่ก็ถือว่าดีกว่าที่คิดไว้เยอะ มีรายได้เข้ามาทุกเดือน ตั้งแต่เดือนแรกแล้ว
แต่ถามว่าทุกวันนี้ยังมีคนสับสนอยู่ไหม ก็ยังมีอยู่บ้าง ตอนแรกที่เราตั้งชื่อว่า U Drink I Drive ก็คิดว่ามันชัดเจนแล้วนะ ว่าเราส่งเฉพาะคนขับรถ แต่กลายเป็นว่ามีลูกค้าหลายคนเลยที่ยังเข้าใจผิดอยู่ คิดว่าเราส่งไปรับทั้งรถ
บางครั้งพนักงานไปรอรับลูกค้า พอเจอกันก็ถามว่ารถอยู่ไหน ลูกค้าก็งง ถามกลับมาว่า อ่าว ทางบริษัทไม่ได้ส่งรถมารับหรอ สุดท้ายกลายเป็นว่า ให้พนักงานของเรานั่งแท็กซี่กลับบ้านเป็นเพื่อนหน่อย หรือบางคนก็โทรเข้ามาถามที่ศูนย์บริการว่า ส่งมาเฉพาะคนขับรถได้ไหม เขามีรถอยู่แล้ว คือ เขายังไม่เข้าใจในการให้บริการของเราจริงๆ
สาเหตุที่เราไม่ส่งคนขับรถไปรับลูกค้าพร้อมรถ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเรามีรถ และมักจะขับรถไปที่ร้านเอง ถ้าเราส่งคนขับรถไปรับพร้อมรถยนต์ ก็เท่ากับว่าลูกค้าต้องทิ้งรถของตัวเองไว้ที่ร้าน ซึ่งลูกค้าก็จะกังวลในเรื่องของความปลอดภัย ไม่กล้าจอดรถทิ้งไว้ กลัวโดนขโมย หรือรถเสียหาย
เพราะลูกค้าหลายๆคน เขาไม่ได้ตั้งใจแต่แรกหรอกว่าวันนี้จะต้องเมา บางคนไม่ได้ตั้งใจจะไปดื่มด้วยซ้ำ แต่คนกลุ่มนี้ คือคนในวัยทำงาน บางครั้งต้องออกไปพบลูกค้า แล้วนั่งคุยกันจนยาว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ดื่มเหล้าไปหลายแก้วแล้ว บางคนก็ไม่ได้ดื่มเยอะถึงขึ้นเมา พูดจารู้เรื่องดีทุกอย่าง แต่เขาจะรู้ตัวว่าประสิทธิภาพในการขับรถมันลดลง
แต่ก่อนเขาไม่มีทางเลือก ถ้าไม่มีคนมาด้วย ก็จำเป็นต้องขับรถกลับบ้านทั้งๆที่ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป เพราะไม่กล้าทิ้งรถไว้แล้วเรียกแท็กซี่กลับ ซึ่งบริการของเราตอบโจทย์คนกลุ่มนี้พอดี ทำให้ทุกวันนี้เริ่มมีลูกค้าประจำเยอะขึ้นเรื่อยๆ พอลองใช้บริการของเราแล้ว เขาก็ไม่อยากเสี่ยงขับรถกลับบ้านเองแล้ว
อีกทั้งตอนนี้ก็มีการรณรงค์ในเรื่องเมาแล้วขับกันมากขึ้น กฎหมายเองก็เริ่มมีบทลงโทษที่เยอะ และชัดเจนขึ้น ถ้าโดนจับตรวจว่ามีแอลกอฮอล์เกินค่าที่กำหนด ก็เสียค่าปรับแล้ว 20,000 บาท ต้องเข้าคุก ขึ้นโรงขึ้นศาล เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา ถ้ายิ่งไปกว่านั้น คือ อาจเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ที่จะทำให้เกิดความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ ไม่มีใครอยากจะเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยง”
เมื่อถามถึงกลยุทธ์หลักที่ใช้ในการบริหารธุรกิจ U Drink I Drive จนประสบความสำเร็จไปแล้วในเบื้องต้น สิริโสมย์ ได้สรุปให้ฟังว่ามีอยู่ 3 เรื่องหลักๆด้วยกัน
“หนึ่ง - เรื่องของพาร์ทเนอร์ ทั้งบริษัท Limousine Express ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่พนักงานขับรถ รวมถึงพาร์ทเนอร์ตามผับต่างๆ ที่เราได้มีการส่งพนักงานเข้าไปเทรนนิ่งให้กับผู้จัดการร้าน และเด็กเสิร์ฟ ถึงเรื่องการให้บริการของเรา เพื่อให้พวกเขาสามารถอธิบายกับลูกค้าได้ ไม่ใช่พอลูกค้าถามข้อมูลอะไร ก็ตอบไม่ถูก ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจใช้บริการของเราได้ง่ายขึ้น
สอง - เรื่องของภาพลักษณ์บริษัท การให้บริการในทุกขั้นตอน ทั้งรูปแบบ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ ผ่านกระบวนการคิดมาเยอะมาก
แม้กระทั่งเรื่องเสื้อสูทของพนักงานที่เป็นสีฟ้า ก็ต้องคิดมาก่อน ว่าควรจะเป็นสีอะไรดี เหลือง ส้ม แดงสะท้อนแสง สุดท้ายก็มาตอบโจทย์ที่สีฟ้านีออน เพราะเป็นสีสบายตา เวลากลางคืนจะโดดเด่นมาก ดูแล้วเกิดความรู้สึกสนุก ต่างจากเครื่องแบบในสีดำ หรือน้ำเงิน ที่ดูน่าเบื่อ
และสีฟ้า ก็เป็นสีที่ตอบโจทย์คอนเซ็ปต์ของเราทั้ง 3 อย่างได้ครบ 1.สะดวกสบาย เมาแล้วไม่ต้องขับรถกลับบ้านเอง ใช้บริการของเราได้ 2.มืออาชีพ หมายถึงพนักงานที่ผ่านการเทรนนิ่งมาอย่างดี จากบริษัทชั้นนำระดับโลก 3.VIP ลูกค้าจะได้รับการบริการในระดับ VIP พอขึ้นรถมาเราจะมีน้ำดื่มกับผ้าเย็นกลิ่นสมุนไพรเตรียมไว้ให้ เพราะบางคนก็อาจจะแพ้กลิ่นน้ำหอม
พนักงานขับรถก็จะสวมยูนิฟอร์มเต็มยศ นอกจากเสื้อสูทแล้ว ก็จะมีหมวก เนคไท ถุงมือ กางเกงแสล็ค เพื่อให้ลูกค้าดูแล้วเกิดความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์ มาขับรถให้เขานั่งมันดูแล้วไม่น่าใช้บริการ ภาพลักษณ์โดยรวมเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราต้องใส่ใจทุกรายละเอียด
บางครั้งก็มีลูกค้าโทรมา เพราะเจอด่าน จะให้พนักงานของเราไปขับรถผ่านด่านให้ ในกรณีนี้เราจะไม่รับเลย เพราะถือว่าผิดนโยบาย สุดท้ายแล้วคุณก็ยังเมาแล้วขับอยู่ดีหลังจากที่คุณผ่านด่านไป ทั้งยังขัดกับภาพลักษณ์ และจะทำให้บริษัทขาดความน่าเชื่อถือ
สาม - การนำ Social Media ต่างๆมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพราะลูกค้าหลักของเรา ใช้ Social Media ต่างๆในชีวิตประจำวันกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram รวมไปถึงแอปพลิเคชั่นยอดนิยมอย่าง Line ที่เรานำมาประยุกต์ใช้ในการรับจองบริการของลูกค้า ซึ่งเป็นช่องทางที่ตอบโจทย์ได้ดี ช่วยให้ได้ลูกค้าเพิ่มมากขึ้น”
อีกเรื่องที่เหนือความคาดคิด คือ เป็นธุรกิจที่อยู่ในความสนใจของลูกค้าต่างชาติด้วย ช่วงที่ผ่านมามีสัดส่วนการใช้บริการอยู่ที่ 5% ทั้งๆที่ไม่เคยโปรโมทไปถึงลูกค้ากลุ่มนี้เลย หลักๆจะเป็นลูกค้าเกาหลี
ลูกค้าต่างชาติจะมีรูปแบบการใช้บริการที่แตกต่างไปจากลูกค้าไทย กล่าวคือ จะมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างแน่นอน ว่าต้องออกไปกินเลี้ยง หรือไปสังสรรค์กับลูกค้า หรือกับกลุ่มเพื่อนวันไหนบ้าง ก็จะโทรศัพท์เข้ามาจองล่วงหน้าก่อน ซึ่งช่วยให้การบริหารงานเป็นไปได้ง่ายขึ้น
เป้าหมายในการทำธุรกิจจากนี้ไป ในระยะสั้น คือ การสร้างความรับรู้ให้กับลูกค้าในกลุ่มที่กว้างขึ้น รวมถึงการขยายลงไปยังกลุ่มลูกค้าต่างชาติ เพื่อให้ได้สัดส่วนของลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 10% ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงการชักชวนให้ลูกค้าจองการใช้บริการล่วงหน้า ซึ่งจะมีส่วนลดให้ 10% เพื่อดึงดูดให้ลูกค้า จองการใช้บริการล่วงหน้ากันมากขึ้น
ส่วนเป้าหมายในระยะยาวนั้น สิริโสมย์เล่าว่า ในขณะนี้ได้รับการติดต่อเข้ามาจากพาร์ทเนอร์รายใหม่มากมาย ในการขยายธุรกิจไปยังไลน์อื่น ที่ต้องอาศัยพนักงานขับรถเป็นหลัก อาทิเช่น ธุรกิจวาเลย์ปาร์คกิ้ง ซึ่งก็คือบริการขับรถเพื่อนำรถของลูกค้าไปจอดให้ ตามห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรมต่างๆ
“ทำธุรกิจนี้ ทำให้เรามองเห็นโอกาสทางธุรกิจอื่นๆอีกเยอะมาก อย่างแรกเลยก็คือ ธุรกิจวาเลย์ปาร์คกิ้ง ที่ได้รับการติดต่อเข้ามาเยอะมาก ตอนนี้เราก็เลือกรับเฉพาะบางกรณีที่รู้จักกันเท่านั้น ยังไม่สามารถลงไปทำเต็มตัวได้ เพราะติดปัญหาในเรื่องของบุคลากรที่หาได้ยาก เพราะต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม และยังต้องผ่านการเทรนนิ่งอย่างหนัก ทำให้เราผลิตพนักงานขับรถได้ครั้งละไม่กี่คน
รวมไปถึงธุรกิจอื่น เช่น มีลูกค้าโทรหาเราเยอะมาก ว่าอยากจะไปเที่ยวกับแก๊งค์เพื่อน บางคนก็อยากไปทำบุญไหว้พระ 9 วัด เขามีรถตู้อยู่แล้ว แต่ต้องการพนักงานขับรถที่สุภาพ และไว้ใจได้ ก็จะติดต่อมาที่เรา
บางคนโทรเข้ามาที่ศูนย์บริการบอกว่า ตอนนี้ทำคอนแทคเลนส์หล่นหายในรถ แล้วตอนนั้นก็มืดแล้ว มองไม่ค่อยเห็นทาง ไม่กล้าขับรถกลับบ้าน ช่วยส่งพนักงานขับรถมาหน่อย ตรงนี้มันเป็นความประทับใจ คือ ลูกค้ากลุ่มนี้บางคนเคยใช้บริการของเรามาแล้วเวลาไปแฮงค์เอาท์กับเพื่อน บางคนก็ไม่เคย แต่ได้ยินเพื่อนเล่าให้ฟัง แต่ในเวลาที่เขาเดือดร้อน หรือต้องการความช่วยเหลือ เขานึกถึงเราก่อนเป็นอันดับแรก และเลือกที่จะโทรหาเรา ทำให้เรามองเห็นโอกาสทางธุรกิจอีกเยอะมาก ซึ่งในอนาคต หากเรามีความพร้อมในเรื่องของบุคลากรมากกว่านี้ ก็จะขยายธุรกิจลงไปในไลน์ต่างๆ อย่างแน่นอน”
ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะสร้างธุรกิจแนวใหม่ขึ้นในไทย แต่ผู้บริหารวัยใสทั้ง 2 คน ก็ได้พิสูจน์ฝีมือให้เห็นแล้วว่า หากมีไอเดียที่ขายได้จริง ก็ต้องรีบลงมือทำ
ส่วนจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนนั้น ปล่อยให้ลูกค้าเป็นผู้ตัดสิน ว่าธุรกิจไหนที่ตอบโจทย์พวกเขาได้จริง
@@@@ ข้อมูลโดย นิตยสาร SMEs Plus@@@@
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *