“เซ็กซี่ที่สุดครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิต” คือคำนิยามที่ “แคทรียา อิงลิช” ให้ไว้ในฐานะนางแบบปกนิตยสารเซ็กซี่ชื่อดัง “Playboy Thailand” หลังยอมเผยให้มุมร้อนๆ ละลายใจหนุ่มๆ ไปทั้งประเทศ จึงถึงเวลาที่เธอยอมเผยมุมลับๆ ในใจ แง้มให้ใครต่อใครได้เข้าไปค้นข้างใน “ใจแข็งๆ” ของสาวแกร่งคนนี้
สุดๆ ไปเลย! “ครั้งหนึ่งในชีวิต”
(ขอบคุณภาพ: นิตยสาร Playboy Thailand)
“ครั้งหนึ่งในชีวิตเราที่ได้ถ่ายอะไรแบบนี้ ตัวเราพร้อมแล้ว อายุก็ปูนนี้แล้ว (หัวเราะ) จะได้พูดได้ว่า นี่เราเคยได้ลงปก Playboy เลยนะ”
ศิลปินสาวชื่อดังที่ใครๆ ต่างรู้จัก บอกเจตนาของเธอเอาไว้อย่างชัดเจนผ่านน้ำเสียงสบายๆ เกี่ยวกับภาพเซ็กซี่ชุดล่าสุดที่เพิ่งวางแผงให้หนุ่มๆ ได้ใจตุ้มๆ ต่อมๆ กันเป็นแถบ บอกเลยว่า “38 ปี” ถ้าไม่ถ่ายตอนนี้ก็ไม่รู้จะไปถ่ายตอนไหนแล้ว
“คิดมานานแล้วค่ะ และนิตยสาร Playboy ก็เป็นนิตยสารของต่างประเทศ มีทั้งเซเลบและดาราถ่ายกันมาเยอะแล้วทั้งต่างประเทศและเมืองไทย และเราก็ไม่ใช่คนแรก เลยมีความรู้สึกว่าถ้าเขาติดต่อมา ครั้งเดียวในชีวิตก็ถ่ายซะหน่อย จะได้เก็บไว้อวดหลานๆ ในอนาคตค่ะ จะได้บอกได้ว่า “ยายเคยทำอย่างนี้นะหลานเอ้ย” (ทำเสียงยายเสริมมุกก่อนหัวเราะปิดท้าย)”
จริงๆ แล้ว แคทเคยถ่ายชุดว่ายน้ำลงนิตยสาร “Image” และ “Volume” มาก่อนหน้านี้ เพียงแต่ไม่ได้เผยส่วนเว้าส่วนโค้งมากเท่าครั้งนี้ “อันนี้ลิมิตสุดแล้ว มากสุดแล้วล่ะ ไม่มีมากกว่านี้แล้ว (หัวเราะ) คนที่ติดต่อมา เขาบอกว่าอยากติดต่อให้ถ่ายมานานแล้วแต่ไม่มีเบอร์ บังเอิญเจอกันพอดี เลยมาถามว่าแคทถ่ายมั้ย เราก็บอกได้ เอาสิ! คิดว่าครั้งนึงในชีวิต เราต้องทำ!”
(ขอบคุณภาพ: นิตยสาร Playboy Thailand)
ง่ายๆ ตรงๆ สบายๆ... น่าจะเป็นคำจำกัดความที่ตรงกับความเป็น “แคทรียา อิงลิช” ที่สุดเท่าที่ได้ทำความรู้จักเธอตลอดบทสนทนาร่วมชั่วโมง แคทพูดเรื่องการตกลงใจลงปกนิตยสารเซ็กซี่ครั้งนี้แบบไม่อึกอักอ้อมค้อม เพราะแน่ใจว่าภาพที่ออกมาไม่ได้เซ็กซี่เกินไปอย่างแน่นอน และที่สำคัญ เธอมองว่ามันเป็นเพียงแค่ “ศิลปะ” อย่างหนึ่งเท่านั้น
“ด้วยบุคลิก ด้วยหุ่น ด้วยอะไรหลายๆ อย่างค่ะ ให้เพื่อนๆ ดูทั้งหญิงทั้งชาย ไม่มีใครบอกเลยว่า เฮ้ย! เซ็กซี่เกินไปนะ มีแต่คนบอกว่า เอ้อ! ก็ดูดีนะ ดูออกแนวสปอร์ตๆ อาจจะเพราะด้วยหุ่นนักกีฬาของเราด้วยแหละ ถึงถ่ายออกมาให้เซ็กซี่ให้ตายมันก็ไม่เซ็กซี่ (ยิ้ม) ให้เพื่อนๆ ดู เป็นเสียงเดียวกันหมดเลยว่าเป็นเซ็กซี่สปอร์ตเกิร์ล มีกล้ามนิดๆ
แคทอยากจะให้มองว่าเป็นงานชิ้นนึงของแคท เป็นศิลปะอย่างนึงมากกว่านะ ก็เลยไม่กลัวเลยที่จะถูกมองว่าเป็น Sexy Star อะไรแบบนั้นค่ะ คือเราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับการถ่ายชุดว่ายน้ำอยู่แล้วนะ ด้วยความที่เราเห็นคนถ่ายชุดว่ายน้ำมาเยอะอยู่แล้ว เลยรู้สึกว่าไม่ได้โป๊อะไร มันอยู่ที่การโพสท่า มันอยู่ที่ภาพและอะไรหลายๆ อย่างมากกว่า”
(ขอบคุณภาพ: นิตยสาร Playboy Thailand)
ส่วนถ้าใครจะตัดสินไปว่า ที่นักร้องสาวลูกครึ่งรายนี้ต้องหันมาเซ็กซี่สุดลิมิตนั้น เป็นเพราะอยากสร้างกระแสให้กลับมาฮอตเพื่อจะได้มีงานติดต่อเข้ามา เจ้าตัวก็บอกได้เลยว่า “ไม่ใช่กระแสแน่นอนค่ะ ไม่งั้นทำมานานละ (ยิ้มปลงๆ)”
“ได้ข่าวว่าปีนี้เรางานเยอะมากเลยนะ แคทว่ามันด้วยจังหวะที่มาเจอกันพอดีมากกว่าค่ะ และเราก็ไม่ได้ไปแสวงหา มีคนมาติดต่อ มาถาม เราก็โอเคถ่ายก็ได้ แต่ทุกวันนี้งานก็เยอะอยู่นะ (ยิ้ม) มีละครเวทีเข้ามา ละครทีวีอีก งานจ้าง งานอีเวนต์ ฯลฯ แต่ถ้าเราเงียบหายไปเลยนานๆ แล้วอยู่ดีๆ มาถ่ายแบบนี้ อันนั้นอาจจะเป็นคำถามได้
งานทั้งหมดที่เราทำ เราไม่เคยทำเพื่อกระแสอยู่แล้ว แต่เราทำเพราะมันคืองานของเรา คืออีกส่วนหนึ่งของเรา และงานทุกชิ้นทุกอย่าง แคทก็ต้องคอยดูงานของเราให้ดีที่สุดว่ามันโอเคมั้ย บางงานที่ติดต่อเข้ามาแล้วไม่เข้ากับตัวเรา เราปฏิเสธไปก็มีเหมือนกันค่ะ”
“นักกายกรรม” ทำเพราะเบื่อ
(“โหนผ้า” อีกหนึ่งประสบการณ์แปลกใหม่)
นักร้อง, นักแสดง, นักเต้น, นางแบบ, พิธีกร, ฯลฯ... ลองมาหมดแล้วบนเส้นทางมายา เป็นเพราะเธอชอบเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับชีวิต และที่เห็นๆ ว่าช่วงหลังแคทลุกขึ้นมาโชว์ลีลาพลิ้วไหวไปกับการโหนผ้า นั่นก็เป็นเพราะแรงขับเคลื่อนภายในตัวชนิดเดิม ความรู้สึกสั้นๆ ง่ายๆ ที่เรียกว่า “เบื่อ” นั่นเอง
“เป็นคนที่ชอบหาอะไรใหม่ๆ ตลอด เพราะฉะนั้น จะร้องเพลง เต้นรำ มันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาเนอะ รู้สึกว่าเราต้องหาอะไรใหม่ๆ ทำบ้าง แล้วเราก็เป็นคนที่ชอบทำอะไรที่ท้าทายอยู่แล้ว Energy เยอะด้วย ช่วงนี้งานโหนผ้าก็ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ใกล้จะเป็นนักกายกรรมซะแล้วค่ะ (หัวเราะ)
แรงบันดาลใจ... พูดได้เลยว่ามาจากพิงค์ (Pink-Alecia Beth Moore - นักร้องนักแต่งเพลงชื่อดังชาวอเมริกัน) เห็นเขาโหนผ้าแล้วก็ร้องเพลงไปด้วย เราก็คิดว่า เฮ่ย! เราก็น่าจะทำได้นะ แต่เราขอโหนผ้าอย่างเดียวนะคะ ไม่ได้ร้องไปด้วย (ยิ้มบางๆ) เห็นมาตั้งแต่ก่อนคอนเสิร์ต "Grammy Happy Face Tival" ค่ะ
จริงๆ แล้ว เคยอยากเล่นอะไรที่โลดโผนประมาณนี้มาก่อนแล้วด้วยค่ะ พอเห็นพิงค์เขาทำเลยอยากลองบ้าง แต่เราขอโหนแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ ไม่ใช่ขึ้นไปแล้วร้องเพลงไปด้วย ก็เลยไปลงเรียนกับเล้ง (ราชนิกร แก้วดี - แชมป์กายกรรมปีนผ้าจากเวที Thailand's got talent ซีซัน 2) แล้วจากนั้นประมาณปีนึง เล้งก็ชวนมาเล่น “ลางลิง” (ละครกายกรรมร่วมสมัย) เราเริ่มจากฝึกโหนผ้าก่อน พอมาแสดงลางลิง เราก็เปลี่ยนมาโหนห่วงเพิ่ม
เล้งบอกว่าโหนผ้าได้แล้ว ไหนลองโหนห่วงบ้าง เราเลยคิดว่าลองเล่นอุปกรณ์ใหม่ดูแล้วกัน เลยได้เรียนเพิ่ม 2 เดือนค่ะ แล้วตอนนี้ก็ทิ้งห่วงไปแล้ว (หัวเราะเบาๆ) ไม่มีเวลาจริงๆ ค่ะ เพราะห่วงมันยากกว่านะ”
(ลางลิง ละครกายกรรมร่วมสมัยที่แคทเคยร่วมแสดงโหนผ้าครั้งแรก)
คิดจะเอาดีด้านนี้เลยหรือเปล่า เห็นดูจริงจังมาพักใหญ่ๆ แล้ว? “ไม่” อยากเปิดโรงเรียนสอนบ้างมั้ย? “ไม่เลย (ส่ายหน้า)” คนถูกถามตอบกลับมาอย่างรวดเร็วติดๆ กันแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด ทำเอาผู้สัมภาษณ์อดอมยิ้มให้กับความชัดเจนในตัวเธอไม่ได้ ถามต่อว่าทำไม? เจ้าของคำตอบจึงให้เหตุผลตอบกลับมาว่า
“เราเพิ่งจะเรียนเองนะ เพราะถ้าจะเรียนแล้วทำแบบนั้นจริงๆ มันต้องเรียนกันเป็นปีๆ เลยค่ะ อันนี้เราเรียนเดือนเดียวเองค่ะ แล้วถ้าเกิดมีงานอีเวนต์ก็จะไปซ้อม แต่ถามว่าได้เรียนอะไรเพิ่มเติมมั้ย ไม่มีเวลาจริงๆ แต่แค่ตอนที่เล่น คิดว่ายังไงเราก็ต้องเรียนให้เซฟ ให้ได้จริงๆ ไม่ใช่เรียนแบบ เออๆ ได้แค่นี้แหละ พอละ... เพราะว่ามันเป็นโชว์ที่อันตรายด้วยไงคะ Safety ทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวเราเองหมดก็เลยต้องเรียนจริงจัง แต่ถามว่าเราจะทิ้งอาชีพนักร้อง-นักแสดง เพื่อไปทำตรงนั้นมั้ย ก็ไม่ใช่ มันเหมือนเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งมากกว่าที่แตกต่างจากสิ่งที่เราทำ แต่สามารถหยิบขึ้นมาโชว์ได้เหมือนกัน”
จากลิสต์ความสามารถที่ยาวเป็นพรวน ถ้าให้ลองเลือกมาสักหนึ่งอย่างว่าอยากถูกมองว่า “คือใคร?” แคทกวาดตาคิดชั่วครู่แล้วขอเลือกคำว่า “ศิลปิน” เพราะคิดว่าน่าจะลงตัวและครอบคลุมความสนใจอันหลากหลายของเธอที่สุดแล้ว
“นักแสดงเหรอ... ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่แล้วค่ะ น่าจะเป็น ศิลปิน-นักร้อง มากกว่านะ ค่อนข้างจะเด่นชัดไปทางนี้มากกว่า แต่ถ้าว่างๆ เราก็จะเล่นละครบ้าง แต่ส่วนใหญ่ งานหลักจะเป็นงานร้องเพลง งานอีเวนต์มากกว่าค่ะ รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สนุกและยังทำต่อไปได้เรื่อยๆ อยู่ เพราะเรารักที่จะทำค่ะ”
นี่แหละ! “ตัวจริง”
“23 ปี” ตัวเลขนี้คือระยะเวลาบ่มเพาะประสบการณ์เบื้องหน้าบนโลกแห่งแสง-สี-เสียงของแคท และตัวเลขเดียวกันนี้เองที่เป็นเครื่องชี้วัดความเป็น “ตัวจริง” ของเธอ ลองคิดดูสิว่ามีศิลปินกี่คนที่จะอยู่ในวงการได้ยาวนานและยังมีงานเยอะขนาดนี้ และเหตุผลสำคัญข้อใหญ่ๆ ที่ทำให้คนคนหนึ่งเดินทางมาได้ไกลอย่างที่เห็น เป็นเพราะคำว่า “ก้าวไปข้างหน้า”
แคทคืออีกคนหนึ่งที่ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ไม่เคยอยู่นิ่ง และพยายามหาสิ่งใหม่ๆ ที่ท้าทายตัวเองเสมอๆ ถามว่าจะทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน? เธอตอบสั้นๆ ว่า “เรื่อยๆ ค่ะ ยังไม่มีลิมิต” สิ่งเดียวที่ยังคงขับเคลื่อนให้เธอมีแรงทำมันต่อไปก็คือคำว่า “ใจรัก” อย่างที่เป็นมาตลอดตั้งแต่ก้าวขาเข้ามาลิ้มลองวงการ
“ตอนนั้นเราไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายค่ะ แต่มันมาจากใจรักมากกว่า รักเรื่องของการแสดง รักการ Entertain คน พอได้ทำในสิ่งตัวเองรัก เราก็มีความสุขแล้ว ตั้งแต่ตอนเด็กๆ จะชอบดูหนังของ Audrey Hepburn, Marilyn Monroe แล้วก็ Grace Kelly ค่ะ นางเอกรุ่นนั้นเขาจะเป็นอมตะมากๆ ค่ะ ด้วยความสวยงามที่เราเห็น มันมีความรู้สึกว่าเราอยากเป็นอย่างนี้บ้างจัง ได้ใส่ชุดสวยๆ แสดงหนัง แสดงละคร
แคทอยู่บนเวทีตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้วค่ะ ตั้งแต่อยู่ต่างประเทศแล้ว จะเป็นตัวแทนเด็กไทยไปประกวดนู่นนี่ตลอด เราอยู่โรงเรียนอินเตอร์ไงคะ พอมีงานโรงเรียน งานประจำปี เราก็จะเป็นตัวแทน ไปเต้นไปรำตลอด บางทีมีงานประจำปีของประเทศ เราก็ได้เป็นตัวแทนเด็กไทยอีกแล้ว ใจรักการอยู่บนเวทีจริงๆ ชอบมาก
ถึงตอนนี้ เราก็ยังทำเพราะใจรัก แล้วก็พยายามหาอะไรที่คอยพัฒนาตัวเราไปเรื่อยๆ เราจะไม่อยู่นิ่ง เราจะไม่อยู่เฉย เราอยู่มานานแล้ว เราก็ต้องหาอะไรทำใหม่ๆ เราก็ต้องพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็คงเคยทำทุกอย่างแล้ว คงเหลือแต่งานเบื้องหลังนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสนใจมั้ย (กรอกตาคิด) ไม่แน่ใจเหมือนกัน” ลูกครึ่งสาวชาวไทย-อังกฤษ หัวเราะเบาๆ ปิดท้าย
“เข้ายาก-อยู่ยาก” จากเงื่อนไขการอยู่ในวงการบันเทิงที่แคทเคยต้องเผชิญจุดนี้เอง ทำให้เธอ “เห็นคุณค่า” ของทุกงานที่ทำและใส่ใจลงไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ลองเทียบกับการเข้าวงการของเด็กยุคนี้ ในยุคที่มี Social Media คอยส่งให้ดังกันเปรี้ยงปร้างชั่วข้ามคืน เธอบอกเลยว่ามันต่างกันเยอะ
“ถ้าเมื่อก่อนนี้ รุ่นแรกๆ อย่างที่แคทเข้ามาใหม่ๆ เข้าวงการยากมากนะ และการที่จะอยู่แบบ “อยู่ได้” (เน้นเสียง) ก็ยากมากนะ แต่ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะสมัยนั้นดาราไม่ได้เยอะ และ Social Media ก็ไม่มีด้วย พอเข้าวงการยากและการอยู่ได้นานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันเลยทำให้เราเห็นคุณค่าของมันมากกว่า แต่อย่างตอนนี้ ด้วย Social Media อาจจะทำให้คนสมัยนี้รู้สึกว่าดังกันง่ายกว่า”
“ดังง่าย-ดับไว” ในเมื่อเข้ามาในวงการได้ง่ายๆ ก็มีโอกาสที่จะเงียบหายไปได้ง่ายเท่าๆ กับตอนที่เข้ามา และถ้าไม่อยากเป็นเพียงดาวรุ่งพุ่งแรงแล้วหายไปจากท้องฟ้า แต่อยากเป็น “ดาวค้างฟ้า” อย่างที่เราขอใช้คำนี้เรียกเธอ แคทได้แต่ยิ้มรับด้วยท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วบอกเล่าจากประสบการณ์ตรงว่า ชื่อเสียงและคุณภาพ คือกุญแจดอกสำคัญที่จะไขไปให้ถึงจุดนั้น แต่ทว่า แค่เพียงเท่านั้นก็อาจจะยังไม่พอ...
(ผลงานละครเวทีเรื่องแรกในชีวิตซึ่งเพิ่งแสดงจบไป " โรมิโอกะอีเรียม อุบัติเหตุรักสลับขั้ว")
“มีองค์ประกอบอีกเยอะมากนะ เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เป็นนักแสดงที่ดี เข้ากับคนง่าย มีความรับผิดชอบ หลายอย่างนะ มันไม่ใช่แค่เข้ามาแล้วดังแล้วจบ ถ้าอยากจะอยู่ให้ได้นานๆ องค์ประกอบมันเยอะ ไม่ใช่แค่อยากมีชื่อเสียงแล้วจบแค่นั้น ตรงนั้นไม่ใช่หน้าที่ของเราอย่างเดียว
ตอนนี้ หน้าที่ของแคทคือ เราเป็นพี่สาวของน้องชายที่ดี เราเป็นลูกที่ดีให้พ่อกับแม่ เราเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับสังคม มันคือองค์ประกอบของคนมีชื่อเสียง มันไม่ใช่แค่เป็นดารา ดัง แล้วก็จบแค่นั้นค่ะ มันหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้น เวลาที่เราทำงาน เราก็คิดว่าเราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย
เดี๋ยวนี้การที่จะมาเป็นดาราเป็นกันง่ายมากเลย แต่เรื่องของคุณภาพ เราก็ต้องดูที่ตัวของเราเองด้วยว่า เราฝึกฝน เราพัฒนาตัวเองดีพอมั้ยที่จะอยู่-ที่จะทำงานตรงนี้ต่อไป มันไม่ใช่ว่าพอเข้ามาแล้วได้เล่นละครเรื่องหนึ่ง ดังแล้วก็จบ เราต้องคอยพัฒนาตัวของเราเองเพื่อแฟนๆ ของเราด้วย ไม่ใช่เพื่อตัวของเราเองคนเดียว” เธอยิ้มเย็นๆ ปิดท้าย
เหวี่ยง-วีน ไม่ใช่แคท โอเคนะคะ?
“โลกส่วนตัวสูง” คือคุณสมบัติในตัวที่แคทยอมรับ เมื่อเทียบกับข่าวที่เคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับตัวเธอ กับข้อครหาที่ว่าเป็น “ขาเหวี่ยง-ขาวีน” จึงทำให้รู้สึกว่าช่างแตกต่างจากตัวจริงที่กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่นี้ เพราะเธอดูเป็นคนง่ายๆ สบายๆ และออกแนวปลงๆ กับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้เสียมากกว่า บอกได้เลยว่าที่เห็นที่เป็นอยู่ในสายตาคนอื่นๆ อยู่ทุกวันนี้ มีตัวจริงของเธออยู่แค่ไหนไม่มีใครเคยรู้...
“ไม่รู้มาจากไหนเหมือนกันนะเรื่องเหวี่ยง เรื่องมันนานมากแล้วนะ จู่ๆ ก็มีคนปล่อยข่าวนี้ออกมา เราก็ หืม... เหรอ... (ทำหน้างงๆ) มันอาจจะเป็นประเด็นที่สื่อชอบเล่นด้วยมั้งคะ เราก็เลยเฉยๆ เราก็เคยถามเหมือนกันนะคะตอนไปงานอีเวนต์แล้วมีนักข่าวเยอะมาก ก็ถามว่าแล้วเราเคยเหวี่ยงมั้ยล่ะ (น้ำเสียงทีเล่นทีจริง) นักข่าวเขาก็บอกว่าก็ไม่เคย ก็นี่ไง... จบป่ะ (หัวเราะ) ใครจะพูดอะไรเราก็ห้ามเขาไม่ได้ เรารู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ มันก็โอเคแล้วค่ะ
มันคงเป็นธรรมดาของคนมีชื่อเสียง ชื่อเสียงมันควบคู่กับการเป็นข่าวอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวไม่ดี มันก็เป็นเรื่องปกติของวงการอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เรารู้ตัวเองว่าเราทำอะไรอยู่ เรารู้ว่าตัวเราเองเป็นยังไง ตัวเราเองเท่านั้นที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนยังไง ก็เลยเป็นคนไม่ค่อยติดตามข่าวซักเท่าไหร่ค่ะ
ปกติแล้ว เราจะชอบอยู่นิ่งๆ เฉยๆ มากกว่า โลดโผนสุดก็โหนผ้านี่แหละ (ยิ้ม) ส่วนใหญ่จะชอบอยู่บ้าน เพราะว่าปกติเราทำงานทุกวัน เจอคนเยอะอยู่แล้ว ก็เลยทำให้สิ่งที่มีความสุขคือการเจอแม่ เจอน้อง เจอเพื่อนๆ กลุ่มเราเอง อยู่กันแค่นั้น 4-5 คน เป็นคนไม่ชอบอยู่กับผู้คนเยอะ กลับบ้านดูหนังสุขสุดแล้ว (หัวเราะสบายๆ)”
“ถ้าใครจะคิดไปว่าเราหยิ่ง อาจจะเป็นคนที่เวลาอยู่นิ่งๆ จะดูหน้าดุมั้งคะ แล้วก็จริงๆ แล้วเราเป็นคนขี้อาย... จริงๆ!” แคทใส่น้ำเสียงจริงจังแนบยิ้มเล็กๆ เมื่อเห็นว่าผู้สัมภาษณ์ชักสีหน้าไม่เชื่อ เพราะไม่ว่าจะมองมุมไหน เธอก็ยังคงดูเป็นสาวมั่นอยู่วันยังค่ำ
“เราเป็นคนที่ไม่ค่อยสบตาใครเพราะว่าไม่รู้จักด้วย แล้วเราก็เป็นคนโลกส่วนตัวสูงมากๆ เราจะอยู่แค่เนี้ย (ตีกรอบเล็กๆ ล้อมตัวเองเอาไว้) บางทีเราไปเดินห้างฯ เจอคนรู้จัก ยิ้มให้เขาปรากฏว่าเขาไม่เห็น เราก็แฮ่ (ยิ้มแห้งๆ ให้ดู) ยิ้มเก้อก็เคย ก็เลยไม่ค่อยได้ทักใครค่ะ ถ้าอยู่กับคนเยอะๆ แล้วไม่รู้จักใคร จะไม่ชอบแบบนั้น ไม่ชอบอยู่ในห้องที่มีคนเยอะๆ แต่ถ้าอยู่บนเวทีจะเป็นคนละคน อยู่บนเวทีเรียกว่าองค์ลง (หัวเราะ)
มันยังมีมุมที่คนอื่นยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเรา จริงๆ แล้วแคทชอบวาดรูป เพนต์รูปสีโปสเตอร์ ทำเป็นงานอดิเรกค่ะ แล้วแต่อารมณ์ บางทีเครียดๆ ก็วาด มันก็ทำให้เรามีสมาธิ มันเหมือนเป็นการระบายความเครียด ชอบวาดภาพวิว ต้นไม้ หิมะ อะไรแบบนี้ ถามว่าเราติสต์มั้ย ก็อาจจะติสต์นะ ไม่รู้เหมือนกัน แต่อาจจะไม่ถึงขั้นนั้นค่ะ คงแค่เป็นคนโลกส่วนตัวสูงมากกว่า ภาพที่คนเห็นคนรู้จักเรา มันก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นส่วนหนึ่งที่เราเปิดให้คนได้รู้จัก แต่มันก็ยังมีมุมที่เป็นส่วนตัว เป็นส่วนที่เราไม่เปิดให้ใครเข้ามาง่ายๆ เหมือนกัน
อย่างมุมนึง คนชอบคิดว่าแคทเป็นคนชอบออกไปเที่ยว ออกไปนู่นนี่นั่น เป็นคนสังคม แต่จริงๆ เราไม่ใช่คนแบบนั้น หรือคนจะชอบคิดว่าแคทจะต้องแต่งตัวเก่ง ต้องออกไปชอปปิ้ง ไปสังสรรค์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย...”
ถามมา-ตอบไป ไม่ดรามา ไม่สร้างภาพ คือสิ่งที่สัมผัสได้จากแคท และที่ทำให้เธอมีนิสัยแมนๆ ค่อนไปทางผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาจเป็นเพราะมีแต่เพื่อนผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็เพื่อนผู้หญิงห้าวๆ ลักษณะเดียวกัน
“พอพูดตรงๆ เป็นคนแมนๆ เลยทำให้มีเพื่อนผู้ชายมากกว่าเพื่อนผู้หญิง จะไม่ค่อยจุ๊กจิ๊กๆ ไม่ชอบๆ หรือไม่งั้นก็จะคบเพื่อนผู้หญิงที่นิสัยผู้ชายเหมือนกัน (ยิ้ม) จะเข้ากันได้ง่ายกว่า ส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนนอกวงการ แล้วก็เพื่อนของน้อง จะเกาะกลุ่มกันเหมือนครอบครัวค่ะ
รวมๆ แล้ว แคทว่านิสัยเราคงได้มาจากฝรั่งมากกว่า แต่ขอบเขตของเราก็ยังเป็นแบบไทย เพราะเราเป็นคนที่ตรงมาก พูดตรง ตรงจนเป็นปัญหาบ่อยๆ (ยิ้ม) เราไม่ชอบมานั่งพูดอ้อมๆ อะไร ไม่ได้มานั่งตกแต่งคำพูดมากมาย พูดอะไรก็เป็นไปตามนั้นตรงๆ แต่ถ้าเป็นคนไทย พูดอะไรก็ต้องคิดนู่นคิดนี่ หมายความว่าแบบนี้หรือเปล่า แต่งเติมกันไป คิดเยอะ คิดไปอีกโลกนึง มันเลยทำให้เรางงๆ บางทีคนอื่นเขาพูดมาแบบนึง เราก็เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างนั้น ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ มันต้องไปคิดเองอีกที ตีความอีกที (ยิ้มปลงๆ) แคทชอบแบบพูดกันตรงๆ มากกว่า มันก็เร็วดี คุยกันรู้เรื่อง จบ”
“รัก” หมดลง ตั้งแต่สูญเสียคุณพ่อไป...
“แคทรียา อิงลิช” ชื่อนี้ควรมีแปะไว้ในลิสต์ของ “สาวแกร่ง” ที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงอีกหลายๆ คนได้ เธอเป็น “เสาหลัก” ของครอบครัวมาตั้งแต่ยังเด็กและต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตมาหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้าย แคทก็ผ่านมาได้ และแน่นอนว่ามันทำให้มุมมองชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล... โดยเฉพาะมุมมองเรื่อง “ความรัก”
“คงเป็นเพราะเราต้องดูแลครอบครัวค่ะ ทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว เหมือนเราเป็นเสาหลักของครอบครัวเลย พอเปิดบริษัทให้คุณพ่อ พอพ่อมีบริษัทของตัวเอง เราก็โอเคแล้ว เราช่วยได้แค่ไหนเราก็ช่วยค่ะ น้องชาย คุณแม่ ตอนนี้ทุกคนก็ได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำเรียบร้อยแล้ว
คุณพ่อจะสอนเรื่องการเป็นตัวของตัวเองให้เราตั้งแต่ตอนเด็กๆ อย่าตามใครง่ายๆ อย่าเชื่อฟังใครง่ายๆ ต้องตัดสินด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนอื่นตัดสินให้เรา ต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้ และเราก็ทำอย่างนั้นมาตลอด แคทว่าแคทได้นิสัยนิ่งๆ มาจากคุณพ่อนะ คุณพ่อเป็นคนนิ่งๆ แล้วก็ใจดีมาก ใจดีเหมือนซานตาคลอสเลย (ยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงคนในความทรงจำ) แล้วแคทเลยใจดีด้วย บางทีก็ใจดีเกินไป (น้ำเสียงขี้เล่น) ส่วนเรื่อง Energy ได้มาจากคุณแม่ค่ะ ฟากศิลปะจะได้มาจากคุณแม่เต็มๆ คุณแม่เคยเป็นนักร้องเก่า คุณน้าก็จบนาฏศิลป์ อะไรแบบนี้จะอยู่ในสายเลือดเลย (ยิ้ม)”
งานกับครอบครัว คือ 2 สิ่งที่อัดแน่นอยู่ในชีวิตของเธอตลอดบทสนทนาจนสามารถสัมผัสได้ จึงอยากให้แคทลองพูดถึงประเด็นเรื่อง “ความรัก” ดูบ้าง เพราะดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ยินได้ฟังแง่มุมนี้จากสาวแกร่งคนนี้สักเท่าไหร่ แล้วคำตอบที่ได้กลับมาก็ทำให้แอบตกใจ
“ตั้งแต่คุณพ่อเสียไปก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับตรงนี้เลย (น้ำเสียงราบเรียบ)...” จากนั้นคนที่อยู่ตรงหน้าก็เริ่มปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งอยู่ในความทรงจำ แล้วปลดปล่อยบางแง่มุมในใจแข็งๆ ของเธอคนนี้ออกมาให้เราได้รับรู้
(ได้รับรางวัลลูกกตัญญู “พระกินรี” ประจำปี 2557 ครั้งที่ 4)
“เคยพูดกับคุณพ่อว่าคุณพ่อต้องอยู่เพื่อวันแต่งงานนะ จะมีแฟนหรือยังก็ไม่รู้ แต่พ่อก็ต้องอยู่ให้ได้นะ (ยิ้ม) เพราะคนที่จะเดินกับลูกก็คือพ่อ แต่พอคุณพ่อเสียไปแล้วก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรตรงนั้น อยากทำงานอย่างเดียวเลยค่ะ เรื่องนี้ไม่พูดถึงแล้วก็ไม่รู้สึกอีก...
ความรักสำหรับแคท มันไม่ใช่แบบ Poppy Love แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดเราจะรักใครสักคน จะต้องเป็นคนที่เข้าใจในหน้าที่การงานของเรา แล้วก็เข้าใจในตัวตนของเรา ไม่ใช่เข้าใจในสิ่งที่คุณเห็นในภาพหรือสิ่งที่ทุกคนเห็นข้างนอก อันนั้นมันเป็นนักแสดงนักร้อง คุณต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา แต่เราเป็นคนที่ค่อนข้างจะปิดตัว ไม่ค่อยจะเปิดให้ใครได้รู้จักง่ายๆ เราเป็นคน Sensitive เราเลยอยากได้คนที่เป็นกำลังใจให้เรา คนที่เข้าใจเรามากๆ ค่ะ
เราไม่ได้ซีเรียสเลยว่าจะต้องเป็นคนนอกหรือในวงการ แต่ขอให้เป็นคนดี รวยไม่รวยไม่ได้สำคัญ ขอให้เป็นคนที่เข้ากับเรา คลิกกับเรา คุยกันรู้เรื่อง เป็นคนที่เข้าใจเรา เข้าใจในตัวของเราก็พอค่ะ ที่ผ่านมา มันก็มีคนเข้ามาในชีวิตของเราบ้าง ไม่ใช่ไม่มีเสียทีเดียว แต่พอมันไม่ใช่ เราก็เลิกรากันไป”
ดูเหมือนว่าช่วงเวลาปีครึ่งที่ได้ใกล้ชิดดูแลคุณพ่อซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งจะทำให้แคทมีมุมมองชีวิตและความรักที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก อยากรู้ว่าเธอต้องพานพบกับความหนักหนาสาหัสสากรรจ์แค่ไหนที่เข้ามากระทบใจ และทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเฉยชาต่อเรื่องหัวใจขนาดนี้ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจึงเผยความทรงจำสีจางกับช่วงเวลาที่มีคุณค่าให้ได้รับรู้
(ความทรงจำอันล้ำค่า... ตัดผมให้คุณพ่อ)
“แคทได้ดูแลคุณพ่อแบบเต็มๆ อยู่ปีครึ่ง มันทำให้เรารู้เลยว่าเวลามันไม่รอใครจริงๆ และเวลาไม่เคยพอหรอก เวลามันไม่เคยพอจริงๆ (ย้ำอีกครั้งแฝงแววตาเศร้าๆ) จนถึงทุกวันนี้เรายังมีความรู้สึกว่าเวลาที่พ่ออยู่กับลูกมันสั้นเกิน มันสั้นเกินจริงๆ... อย่างบางทีเราทำงานจนถึง 4 ทุ่ม ปกติอาจจะคิดว่าดึกละ กลับบ้านนอน แต่พอคุณพ่อป่วยอยู่โรงพยาบาลปุ๊บ 4 ทุ่มเราก็จะขับรถไปนอนโรงพยาบาลเลย มันจะมากกว่าเดิม เราจะต้องใกล้ชิดกับพ่อให้มากที่สุด เป็นโชคดีด้วยค่ะที่ได้อยู่กับคุณพ่อในช่วงสุดท้าย เป็นช่วงที่งานเราค่อนข้างเบาด้วยตอนนั้น ไม่รู้เพราะอะไร อาจจะด้วยโชคชะตาด้วยมั้งคะที่ทำให้เราได้มีโอกาสได้อยู่กับคุณพ่อเต็มที่”
เธอยิ้มปิดประโยคด้วยรอยยิ้มที่มีแววเศร้าเจือปนอยู่ ก่อนเริ่มทำลายความเงียบอีกครั้งด้วยเรื่องราวที่น่าฟังที่สุดเรื่องหนึ่งเท่าที่เคยสัมภาษณ์มา
“ถ้าให้นึกถึงคุณพ่อ ก็จะมีแต่ความทรงจำดีๆ ตอนคุณพ่อป่วย เคยตัดผมให้คุณพ่อด้วย เอาบัตตาเลียนมาไถให้เลยค่ะ (ยิ้ม) มีความรู้สึกว่ารกตาเหลือเกินพ่อ ผมยาวแล้ว ไม่มีใครตัดให้ มาเดี๋ยวลูกตัดให้ ก็ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ แค่คิดว่าอยากให้พ่อหล่อก็เลยทำ (หัวเราะเบาๆ กับตัวเอง)
เวลานึกถึงคุณพ่อ จะนึกถึงเรื่องตลกๆ ของคุณพ่อค่ะ ส่วนใหญ่เป็นความทรงจำจากช่วงเด็กๆ มากกว่า แต่ช่วงป่วยๆ ก็มีอะไรขำๆ อยู่เรื่อยนะ แต่มันก็ไม่ได้ขำแบบนั้นน่ะค่ะ ด้วยความที่มะเร็งมันกดสมองของคุณพ่อ ก็เลยทำให้นิสัยของคุณพ่อเปลี่ยนไป เขาจะเป็นเด็กขึ้นมาก อารมณ์จะหงุดหงิดแปรปรวน แต่เราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจเขาค่ะ
อาจจะฝากคนที่ดูแลใครสักคนที่เรารักที่กำลังป่วยอยู่ (น้ำเสียงของเธอเริ่มมีแววสั่นเครือ) เราต้องใจเย็นมาก แล้วก็เข้าใจเขา หมอก็บอกไปแล้วว่าคุณพ่ออาจจะเปลี่ยนไป ทั้งอารมณ์ ทั้งนิสัย เป็นเพราะมะเร็ง มันไม่ใช่เพราะตัวคุณพ่อ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพ่อจะทำอะไร เราก็จะแบบ เอาเหอะ ขำๆ ไปนะ ไม่เป็นไร (ยิ้มปลงๆ) หรือบางทีพ่อก็จะอารมณ์หงุดหงิด โหวกเหวกโวยวาย เราก็จะคิดว่าเต็มที่เลยพ่อ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเขารู้ตัวหรือเปล่า เราก็เลยต้องใจเย็นมากๆ (ลากเสียง) บอกได้อย่างเดียวค่ะว่า คนดูแลต้องอย่าท้อ ต้องใจเย็นแล้วก็คิดเสมอว่าเวลาที่จะอยู่กับเขา เวลาที่เขาจะอยู่กับเรามันน้อยแล้ว
พอเจออะไรแบบนี้ มันทำให้มุมมองชีวิตเราเปลี่ยนไปเยอะนะ มันทำให้เรานิ่งขึ้นเยอะแล้วก็เหมือนปลง พอมันเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเอง มันอธิบายไม่ได้หรอกจนกว่าจะเจอกับตัวเอง บางคนอาจจะบอกว่าเห็นใจ-เสียใจด้วย อันนั้นเราก็ขอบคุณค่ะ รู้ว่าเขาเห็นใจเราแน่ๆ แต่ถ้าใครไม่เจอกับตัวเองมันไม่เข้าใจความรู้สึกหรอก มันจะเป็นความรู้สึกที่...”
สีหน้าและแววตาของเธอบ่งบอกถึงบางคำพูดที่บรรยายออกมาไม่ได้จริงๆ ถึงตอนนี้ ต่อให้มีมรสุมแบบไหนพัดพาเข้ามาให้เธอต้องล้มเซหรือเป๋ไปอีก แคทบอกเลยว่า “วู้... จิ๊บจ๊อยมาก ผ่านเรื่องนั้นมาได้ หนักสุดในชีวิตแล้ว”
---ล้อมกรอบ---
ฟิตแอนด์เฟิร์มแบบ “สปอร์ตเกิร์ล”
ทำได้แค่มีวินัย... แคทบอกเอาไว้อย่างนั้น สำหรับสาวๆ ที่อยากมีหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม อายุเป็นเพียงตัวเลขเหมือนอย่างเธอคนนี้ บอกเลยว่า “ขี้เกียจไม่ได้” และบรรทัดต่อจากนี้คือวิธีดูแลหุ่นของเธอ
“เห็นคอมเมนต์ใน IG มีแต่คนมาถามว่าจะผอมยังไง บอกได้แค่ว่าต้องขยันค่ะ โชคดีตรงที่ว่าเราเป็นคนที่ออกกำลังกายมานานมากแล้ว แล้วก็มีพื้นฐานของความเป็นนักกีฬามาอยู่แล้ว เคยเล่นยิมนาสติก, วอลเลย์บอล, ฟุตบอล, ว่ายน้ำ, บาสเกตบอล ฯลฯ เล่นหลายอย่างมากตั้งแต่เด็กเลย หุ่นเราก็เลยคงที่เพราะว่าเราเป็นอย่างนี้มานานแล้ว
แต่ถ้าใครอยากจะหุ่นดีๆ หุ่นเฟิร์มๆ ก็ไม่สายเกินไปนะ ถ้าถามแคท แต่มันอยู่ที่วินัย อยู่ที่ความขยันของเรา ไม่มีใครเอาร่างกายของเราไปออกกำลังกายให้เราได้หรอก เราต้องทำของเราเอง
ช่วงนี้แคทเล่นพิลาทิสค่ะ เป็นการออกกำลังกายต้านสปริง ช่วยเรื่องการสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง แต่ไม่เพาะกายให้ใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อเราจะเรียวแต่แข็งแรงและเฟิร์ม ส่วนเรื่องอาหารเราก็คุมอยู่แล้ว ทานมังสวิรัติอย่างเดียวเลย ไม่ได้มีความรู้สึกอยากทานเนื้อสัตว์แล้ว เลยอยากทำบุญไปด้วย แต่จริงๆ แล้วหุ่นจะเฟิร์มมั้ย มันไม่ได้อยู่ที่ทานมังฯ หรือไม่ทานมังฯ นะ เราจะทานไก่หรือปลาก็ได้ แต่เราต้องไม่ทอดปลา ไม่ทอดไก่ เราจะทานแบบ Healthy จะนึ่ง อบ มากกว่า ทานผักผลไม้ หลีกเลี่ยงกะทิ แต่ถ้าใครอดไม่ไหวจริงๆ ชอบทานของหวาน อาจจะแก้อยากด้วยการทานซักคำนึงให้หายอยากแล้วก็พอ
พยายามไม่ทานของมันของทอด แต่ถ้าอยู่กองถ่ายอาจจะลำบาก คงต้องหยวนๆ นิดนึง เราก็ต้องดูเรื่องอาหารการกินของเรา แคทเชื่อว่าทุกคนรู้ว่าอะไร Healthy อะไรไม่ Healthy แต่มันอยู่ที่การเลือกว่าเราจะเลือกกินอะไร มีระเบียบวินัยอย่างเดียวก็พอค่ะ นอกนั้นจะออกกำลังกายอะไรก็แล้วแต่ชอบเลย มันแล้วแต่บุคลิก แล้วแต่หุ่นของแต่ละคนด้วย บางคนบ่นว่าอยากจะเอวเล็ก แต่บางทีเราต้องดูหุ่นพื้นฐานของเราด้วย ไม่ใช่ว่าทุกคนจะหุ่นเหมือนกัน อย่างแคทก็ไม่ได้หุ่นเหมือน Cameron Diaz เพราะคนนั้นเขาจะหุ่นออกบอย คือเป็นคนที่ไม่ได้มีอกเอวสะโพก เป็นคนหุ่นตรงๆ หุ่นนักกีฬาเหมือนผู้ชาย
เพราะฉะนั้น เราก็ต้องดูร่างกายของเราเหมือนกัน ขอให้แข็งแรง ขอให้เฟิร์ม แค่นั้น ไม่ได้หวังว่าฉันจะต้องเอวเล็ก ต้องสะโพกอย่างนี้ๆ นะ เราต้องดูพื้นฐานหุ่นของเราด้วย ขอให้ออกกำลังกายเพื่อหุ่นเฟิร์มดีกว่าค่ะ เพราะถ้าคนอื่นมาบังคับว่าคุณต้องเล่นอันนี้นะ ต้องชอบอันนี้ เล่นให้ตายเถอะ รู้สึกไม่สนุก แล้วสักวันเราก็ต้องเลิกเล่น เพราะฉะนั้น เลือกเล่นในสิ่งที่เราสนุกกับมันดีกว่า”
ถามอีกนิดว่าทุกวันนี้เธอใช้เวลาไปกับการออกกำลังกายมากขนาดไหน คาดว่าหุ่นดีขนาดนี้คงต้องใช้เวลาวันละหลายชั่วโมง แต่คำตอบที่ได้กลับกลายเป็น “ยังไม่มีเวลานอนเลยค่ะตอนนี้ (หัวเราะ) เลยไม่ได้ออกกำลังกาย แต่การไปคอนเสิร์ต ไปงานจ้างอะไรแบบนี้ จะกลายเป็นการออกกำลังกายของเราไปในตัวเลยค่ะ เพราะเราเต้นตลอดเลย ถามว่าได้จัดเวลาเพื่อไปออกกำลังกายมั้ย ไม่มีแน่นอนค่ะ เพราะเราตื่นตีห้า กลับถึงบ้านเที่ยงคืน ไม่มีเวลาจริงๆ”
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: ปวริศร์ แพงราช
ขอบคุณภาพบางส่วน: นิตยสาร Playboy Thailand, อินสตาแกรม @katreeya_e, แฟนเพจ “Katreeya English”
ขอบคุณสถานที่: ร้านอาหาร "Italian Proudfa Restaurant (Town in Town)"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@astv_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754