คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
บ้าน..
เธอสบายดีไหม
"ฉันสบายดี"
ย่างเข้าฤดูฝนแล้ว ต้นไม้ที่บ้านของเธอคงเขียวชอุ่มไปหมด ฝนตกก็ไม่ต้องรดน้ำให้ต้นไม้เล็กๆ ที่ยังต้องการการดูแลในทุกๆ วันอีก ฉันรู้ว่าเธอปลูกต้นไม้ แบบดูแลแค่ในระยะแรกๆ พอต้นไม้แข็งแรง
เธอก็จะปล่อย..ต้นไหนรอดก็เติบโตให้ร่มเงา ต้นไหนตายก็ตายไป ไม้จำพวกที่ต้องการการดูแลทนุถนอมจำพวกใส่ปุ๋ย ให้น้ำ เก็บหนอนให้ในทุกๆ วัน จึงอยู่ไม่ได้ในบ้านของเธอ
ก็เหมือนอย่างคนแหละ..พูดสื่อความกันเข้าอกเข้าใจแล้วก็แล้วกัน มีมิตรภาพต่อกันไปนานแสนนานไม่ต้องมาคอยบอกพร่ำเพรื่อในทุกๆ วัน
เธอขี้เบื่อ..ฉันรู้หรอก
ฝนตก..ข้างนอกเปียกปอน แต่ฉันอยู่ข้างในตู้ กับดอกไม้แห้งและกล่องชา ยังมีใบชาเก่าอยู่ในนั้น..มันยังหอมนะ แม้จะจางไป
(จดหมายถึงตัวเองในวันฝนพรำ)
มืดค่ำแล้ว ฉันยังขับรถอยู่บนถนนสายที่ไม่เคยรู้จัก มันเป็นถนนสายที่อยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อตอนขามา ฉันขับมันไปจากสถานีรถไฟสายสุพรรณ มุ่งหน้าไปยังวัดทับกระดาน ในอำเภอสองพี่น้อง ที่สถานีรถไฟสายสุพรรณดูเก่าและคลาสสิคมาก เหมือนกับฉากเก่าๆ ในหนัง
ฉัน ชอบชานชาลาเดิมๆ นั้น ชอบรางรถไฟ เพียงแค่เห็นชานชาลาก็นึกเห็นภาพเจ้าพนักงานแต่งชุดสีกากียืนทำงานอยู่
ฉันชอบชื่อสถานี ซึ่งเป็นตำบลหรืออำเภอที่ฉันไม่รู้จัก ฉันสนใจในชื่อเหล่านั้น และอยากไปให้ถึงเพื่อค้นหา เรื่องราวง่ายๆ ของความเป็นชนบทกับสิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น หรือรอยยิ้มหรือสำเนียงของคนที่นั่น ฉันชอบเหลือเกินที่จะไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น
ฉันขับรถเลยเรื่อยและเที่ยวไปหลายต่อหลายที่จนเวลาล่วงเลยและหลงทาง จนมืดค่ำ เพียงมองดูที่หลักกิโลเมตรแม้ยังไม่ถึงหลักร้อยกิโลกว่าจะถึงบ้าน แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกว่าช่างแสนไกลเหลือเกิน ช่วงเวลาแบบนี้ มันได้ทำให้ฉันตระหนักในตัวเองอย่างแจ่มชัดว่า ฉันเป็นคนรักบ้านมาก ถนนทั้งสายนั้นช่างแสนว้าเหว่และเปลี่ยวเปล่า ความมืดทำให้ฉันรู้สึกถึงภัยอันตราย และอยากกลับไปให้ถึงบ้านโดยเร็วอย่างจับใจ
ฉันขับรถไปก็ได้คิดไป..ในระยะหลังๆ นี้ ฉันไม่ค่อยได้ไปไหนไกลๆ นัก ยิ่งไปไหนข้ามคืนนี่ยิ่งไม่ได้ไป แม้ในงานแสดงที่ฉันมีโอกาสเข้าร่วมแสดงผลงานด้วย ฉันก็ยังไม่ได้ไป งานแล้วงานเล่า วันแล้ววันเล่า คงมีแต่งานของฉันที่ตั้งแสดงอยู่ ราวกับเป็นตัวแทนของฉัน และฉันก็พอใจเช่นนั้น..
ฉันเกิดความรู้สึกเช่นนี้ มาตั้งแต่หลายต่อหลายปีผ่านมาแล้ว จนเคยคิดถึงการแสดงงานของตัวเองว่า
ถ้าฉันจะต้องแสดงงาน ฉันอยากจัดมัน ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ฉันจะยกบรรยากาศที่บ้านของฉัน ไปไว้ ณ ที่นั่น พร้อมๆ กับชิ้นงานต่างๆ ที่ถูกจัดวางไว้ โดยไม่มีฉันไปยืนอยู่ ไม่มีการเชิญแขก ไม่มีงานเลี้ยง
ฉันเพียงแค่อยากให้ใครก็ตามที่เดินผ่านมาแล้ว ฉงนสนใจ กับบรรยากาศเหล่านั้น ให้เขาเข้ามาเดินชม เดินมอง เดินค้นหา จนอิ่มใจแล้วจะคิดอะไรต่อก็แล้วแต่ใจของเขา ฉันอยากให้เขารู้สึกแปลกใหม่กับห้วงเวลาประหลาดที่บังเอิญไปได้พบ ช่วงเวลาอันเหมือนจะร้างว้าง แต่อบอุ่น และอบอวลไปด้วยความโรแมนติก
ฉันอยากให้คนที่ผ่านเข้ามาได้คิด ได้ค้นหาและได้อยู่กับตัวของเขาเอง...โอฉันช่างคิดอะไรประหลาดๆ เช่นนี้หนอ
มีอย่างที่ไหนการแสดงงานที่ไม่พบตัวเจ้าของผลงาน แต่ฉันก็คิดเอาไว้อย่างนี้มานานแล้วและไม่เปลี่ยน รอเพียงวันใดที่ใจฉันพร้อม อยากแสดง..และงานของฉันพร้อม วันหนึ่งวันนั้นฉันจะจัดงานเช่นนี้ขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง
"งานศิลปะของคนที่ไม่อยากจากบ้าน"
ล่าสุด..ฉันได้รับโทรศัพท์จากมิตรผู้พี่ที่แสนรักและเคารพ เธอเป็นผู้อุทิศตัวเพื่อเด็กๆและสังคมมาโดยตลอด เธอโทรมาชวนฉันให้ไปร่วมบุญในงานบวชพระหมู่ ลูกๆ กำพร้าของเธอ ในจังหวัดอื่น ฉันรับฟังคำชวนแล้วก็บอกกับเธอว่า ฉันไปไม่ได้ ฉันห่วงบ้าน ฉันห่วงแมว น้ำเสียงของเธอที่ตอบกลับมาว่า "ไม่เป็นไร" นั้น เศร้าจนฉันรับรู้ได้ แต่เธอก็รักและเข้าใจ เกินกว่าที่จะมีคำว่า "โกรธ" เกิดขึ้นกับฉัน
ฉันรำพึงกับตัวเองในวันที่นั่งมองยอดไม้เขียวชอุ่มที่ปกคลุมอยู่รอบๆ บ้าน..
ฤดูฝนเช่นนี้ใบไม้เขียวสดชื่นและสะอาดสะอ้านด้วยฝนชะล้าง อากาศก็ช่างสดชื่นนักหนา แว่บหนึ่งใจฉันคิดไปถึงเรื่องราวของ "แม่กาหลง" ที่วัดอัมพวัน คิดถึงคำเล่าลือในการรักบ้านหวงบ้านของแม่กาหลง ที่แม้จะตายดวงวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว ก็ยังมาสิงสู่อยู่ในบ้านของตัวเอง จนใครๆ ก็อยู่อาศัยต่อไม่ได้ จนญาติต้องยกมอบบ้านหลังนั้นไปถวายพระที่วัด..ฉันหวังว่าฉันคงไม่เป็นไปถึงขนาดนั้น
ฉันรักที่มันให้ร่มเงาแก่ฉัน ให้ความอบอุ่นปลอดภัยกับฉัน ในวันที่ฝนตกแดดออก ให้ความเป็นส่วนตัวอย่างที่สุดแก่ฉัน บ้านคืออาณาจักรของฉัน ที่ไม่ว่าจะเดิน จะนั่ง จะกิน จะนอน ฉันรู้สึกว่าเราเป็นส่วนเดียวกัน
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
บ้าน..
เธอสบายดีไหม
"ฉันสบายดี"
ย่างเข้าฤดูฝนแล้ว ต้นไม้ที่บ้านของเธอคงเขียวชอุ่มไปหมด ฝนตกก็ไม่ต้องรดน้ำให้ต้นไม้เล็กๆ ที่ยังต้องการการดูแลในทุกๆ วันอีก ฉันรู้ว่าเธอปลูกต้นไม้ แบบดูแลแค่ในระยะแรกๆ พอต้นไม้แข็งแรง
เธอก็จะปล่อย..ต้นไหนรอดก็เติบโตให้ร่มเงา ต้นไหนตายก็ตายไป ไม้จำพวกที่ต้องการการดูแลทนุถนอมจำพวกใส่ปุ๋ย ให้น้ำ เก็บหนอนให้ในทุกๆ วัน จึงอยู่ไม่ได้ในบ้านของเธอ
ก็เหมือนอย่างคนแหละ..พูดสื่อความกันเข้าอกเข้าใจแล้วก็แล้วกัน มีมิตรภาพต่อกันไปนานแสนนานไม่ต้องมาคอยบอกพร่ำเพรื่อในทุกๆ วัน
เธอขี้เบื่อ..ฉันรู้หรอก
ฝนตก..ข้างนอกเปียกปอน แต่ฉันอยู่ข้างในตู้ กับดอกไม้แห้งและกล่องชา ยังมีใบชาเก่าอยู่ในนั้น..มันยังหอมนะ แม้จะจางไป
(จดหมายถึงตัวเองในวันฝนพรำ)
มืดค่ำแล้ว ฉันยังขับรถอยู่บนถนนสายที่ไม่เคยรู้จัก มันเป็นถนนสายที่อยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อตอนขามา ฉันขับมันไปจากสถานีรถไฟสายสุพรรณ มุ่งหน้าไปยังวัดทับกระดาน ในอำเภอสองพี่น้อง ที่สถานีรถไฟสายสุพรรณดูเก่าและคลาสสิคมาก เหมือนกับฉากเก่าๆ ในหนัง
ฉัน ชอบชานชาลาเดิมๆ นั้น ชอบรางรถไฟ เพียงแค่เห็นชานชาลาก็นึกเห็นภาพเจ้าพนักงานแต่งชุดสีกากียืนทำงานอยู่
ฉันชอบชื่อสถานี ซึ่งเป็นตำบลหรืออำเภอที่ฉันไม่รู้จัก ฉันสนใจในชื่อเหล่านั้น และอยากไปให้ถึงเพื่อค้นหา เรื่องราวง่ายๆ ของความเป็นชนบทกับสิ่งเดิมๆ ที่มีอยู่ในแต่ละท้องถิ่น หรือรอยยิ้มหรือสำเนียงของคนที่นั่น ฉันชอบเหลือเกินที่จะไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้น
ฉันขับรถเลยเรื่อยและเที่ยวไปหลายต่อหลายที่จนเวลาล่วงเลยและหลงทาง จนมืดค่ำ เพียงมองดูที่หลักกิโลเมตรแม้ยังไม่ถึงหลักร้อยกิโลกว่าจะถึงบ้าน แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกว่าช่างแสนไกลเหลือเกิน ช่วงเวลาแบบนี้ มันได้ทำให้ฉันตระหนักในตัวเองอย่างแจ่มชัดว่า ฉันเป็นคนรักบ้านมาก ถนนทั้งสายนั้นช่างแสนว้าเหว่และเปลี่ยวเปล่า ความมืดทำให้ฉันรู้สึกถึงภัยอันตราย และอยากกลับไปให้ถึงบ้านโดยเร็วอย่างจับใจ
ฉันขับรถไปก็ได้คิดไป..ในระยะหลังๆ นี้ ฉันไม่ค่อยได้ไปไหนไกลๆ นัก ยิ่งไปไหนข้ามคืนนี่ยิ่งไม่ได้ไป แม้ในงานแสดงที่ฉันมีโอกาสเข้าร่วมแสดงผลงานด้วย ฉันก็ยังไม่ได้ไป งานแล้วงานเล่า วันแล้ววันเล่า คงมีแต่งานของฉันที่ตั้งแสดงอยู่ ราวกับเป็นตัวแทนของฉัน และฉันก็พอใจเช่นนั้น..
ฉันเกิดความรู้สึกเช่นนี้ มาตั้งแต่หลายต่อหลายปีผ่านมาแล้ว จนเคยคิดถึงการแสดงงานของตัวเองว่า
ถ้าฉันจะต้องแสดงงาน ฉันอยากจัดมัน ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ฉันจะยกบรรยากาศที่บ้านของฉัน ไปไว้ ณ ที่นั่น พร้อมๆ กับชิ้นงานต่างๆ ที่ถูกจัดวางไว้ โดยไม่มีฉันไปยืนอยู่ ไม่มีการเชิญแขก ไม่มีงานเลี้ยง
ฉันเพียงแค่อยากให้ใครก็ตามที่เดินผ่านมาแล้ว ฉงนสนใจ กับบรรยากาศเหล่านั้น ให้เขาเข้ามาเดินชม เดินมอง เดินค้นหา จนอิ่มใจแล้วจะคิดอะไรต่อก็แล้วแต่ใจของเขา ฉันอยากให้เขารู้สึกแปลกใหม่กับห้วงเวลาประหลาดที่บังเอิญไปได้พบ ช่วงเวลาอันเหมือนจะร้างว้าง แต่อบอุ่น และอบอวลไปด้วยความโรแมนติก
ฉันอยากให้คนที่ผ่านเข้ามาได้คิด ได้ค้นหาและได้อยู่กับตัวของเขาเอง...โอฉันช่างคิดอะไรประหลาดๆ เช่นนี้หนอ
มีอย่างที่ไหนการแสดงงานที่ไม่พบตัวเจ้าของผลงาน แต่ฉันก็คิดเอาไว้อย่างนี้มานานแล้วและไม่เปลี่ยน รอเพียงวันใดที่ใจฉันพร้อม อยากแสดง..และงานของฉันพร้อม วันหนึ่งวันนั้นฉันจะจัดงานเช่นนี้ขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่ง
"งานศิลปะของคนที่ไม่อยากจากบ้าน"
ล่าสุด..ฉันได้รับโทรศัพท์จากมิตรผู้พี่ที่แสนรักและเคารพ เธอเป็นผู้อุทิศตัวเพื่อเด็กๆและสังคมมาโดยตลอด เธอโทรมาชวนฉันให้ไปร่วมบุญในงานบวชพระหมู่ ลูกๆ กำพร้าของเธอ ในจังหวัดอื่น ฉันรับฟังคำชวนแล้วก็บอกกับเธอว่า ฉันไปไม่ได้ ฉันห่วงบ้าน ฉันห่วงแมว น้ำเสียงของเธอที่ตอบกลับมาว่า "ไม่เป็นไร" นั้น เศร้าจนฉันรับรู้ได้ แต่เธอก็รักและเข้าใจ เกินกว่าที่จะมีคำว่า "โกรธ" เกิดขึ้นกับฉัน
ฉันรำพึงกับตัวเองในวันที่นั่งมองยอดไม้เขียวชอุ่มที่ปกคลุมอยู่รอบๆ บ้าน..
ฤดูฝนเช่นนี้ใบไม้เขียวสดชื่นและสะอาดสะอ้านด้วยฝนชะล้าง อากาศก็ช่างสดชื่นนักหนา แว่บหนึ่งใจฉันคิดไปถึงเรื่องราวของ "แม่กาหลง" ที่วัดอัมพวัน คิดถึงคำเล่าลือในการรักบ้านหวงบ้านของแม่กาหลง ที่แม้จะตายดวงวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว ก็ยังมาสิงสู่อยู่ในบ้านของตัวเอง จนใครๆ ก็อยู่อาศัยต่อไม่ได้ จนญาติต้องยกมอบบ้านหลังนั้นไปถวายพระที่วัด..ฉันหวังว่าฉันคงไม่เป็นไปถึงขนาดนั้น
ฉันรักที่มันให้ร่มเงาแก่ฉัน ให้ความอบอุ่นปลอดภัยกับฉัน ในวันที่ฝนตกแดดออก ให้ความเป็นส่วนตัวอย่างที่สุดแก่ฉัน บ้านคืออาณาจักรของฉัน ที่ไม่ว่าจะเดิน จะนั่ง จะกิน จะนอน ฉันรู้สึกว่าเราเป็นส่วนเดียวกัน
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews