คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
มันเป็นวันที่ฉันช่างไม่สดชื่นเอาเสียเลย...ความอ่อนเปลี้ยและง่วงงุน เข้าครอบงำฉัน..
ฉันขับรถจากบ้านไปโรงหล่อ ซึ่งห่างจากบ้านราว 80 กิโลเมตร เพื่อหมายใจจะไปทำงาน ฉันออกจากบ้านในเวลา 9 โมงครึ่ง ขับรถด้วยความเร็ว 80 และคอยสอดส่องสายตาระแวดระวังคอยมองสุนัขที่จะวิ่งออกมาบนถนน
ฉันมักขับรถในความเร็วที่พอจะสามารถเบรคได้อย่างปลอดภัย เมื่อเจอสุนัขวิ่งตัดหน้ารถ เช่นนี้เสมอๆ
ขณะที่กำลังใกล้ถึงทางแยกซึ่งต้องเลี้ยวรถ พลันก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันรับโทรศัพท์ เปิดลำโพงเสียงเพื่อให้พูดคุยได้โดยไม่ต้องเอามือถือโทรศัพท์ขณะขับรถ..เมื่อพูดคุยจบ ฉันก็พบว่า ฉันได้เลยจากทางแยกที่จะเลี้ยวนั่น ไปไกลเสียแล้ว
ฉันคิดว่ามันอาจจะมีเส้นทางที่เชื่อมต่อกันระหว่าง อำเภอวิเศษชัยชาญ กับ อำเภอป่าโมก จึงทนขับเรื่อยไปอีก ราวสี่ห้ากิโลเมตร ก็เห็นมีแต่ป้ายบอกทางตรงไป อำเภอผักไห่ ฉันจึงตัดสินใจเลี้ยวกลับ
ในที่สุดฉันก็มาถึงโรงหล่อเอาเกือบเที่ยง ฉันหยิบชิ้นงานที่ทำจากขี้ผึ้ง ขึ้นมาจากกระบะน้ำ นำมาตบแต่งด้วยเครื่องมือสามสี่ชิ้นที่พกพาไปจากบ้าน ร่องรอยอันเกิดจากการประกบระหว่างแม่พิมพ์สองด้าน ก่อให้เกิดริ้วรอยต่ออันเหมือนกับตะเข็บของเสื้อ และร่องรอยของคราบต่างๆ ที่ติดอยู่ตามแนวเส้นขอบตา ผม นิ้วมือ ของชิ้นงาน ฉันมีหน้าที่ ตัดออกในส่วนที่ยื่นเกินเหล่านั้นให้หมดไป แล้วใช้เครื่องมือที่ทำจากเหล็ก มาอังไฟจนร้อน แล้วปาดเกลี่ยตบแต่งร่องรอยเหล่านั้น จนกลมกลืน และมองไม่เห็น
การเป็นนักปั้นนั้น เมื่อได้เห็นหรือมีสิ่งใดที่ไม่ชอบ ไม่เหมาะไม่ควรแก่งาน ก็จะต้องตัดออก และรับแต่สิ่งที่ใช่ที่เหมาะกับงานเก็บไว้เท่านั้น การเติมเข้า-ตัดออก บ่อยๆ นี้ บางครั้งมันก็เลยเรื่อยเข้ามาถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน ฉันมักหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ฉันคิดว่าไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะกับฉันออกไปจากชีวิต เลือกเอาเฉพาะสิ่งที่พึงพอใจและเห็นว่านั่นคือความจำเป็น เข้าไว้ในชีวิตเสมอๆ
ฉันนั่งทำงานอย่างไม่มีสมาธินัก ด้วยเพราะอากาศอันร้อนอบอ้าว ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกง่วง ตกบ่าย พี่กำไล ผู้เป็นเจ้าของโรงหล่อก็มาชวนฉันไปกินข้าว เรานั่งคุยกันถึงสารทุกข์สุขดิบ ฉันเป็นคนมองโลกด้วยสายตาแห่งความฝัน ส่วนพี่กำไลมองโลกด้วยสายตาแห่งความเป็นจริงบวกกับด้วยความมีประสบการณ์ของคนที่เกิดมาก่อนอย่างผู้มีจิตใจเที่ยงธรรม
การได้สนทนาต่อกัน ทำให้ฉันรู้สึกถึงได้ว่า ช่วงเวลาแห่งการนั่งกินข้าวระหว่างเรานั้น เป็นเวลาที่มีคุณค่าทุกครั้ง แม้ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พี่กำไลก็มิได้มองข้าม
"กระเป๋าสตางค์ เขาไม่ให้ขาดไม่ให้รั่ว โบราณเขาถือ กระเป๋าสตางค์ขาด กระเป๋าสตางค์มีรูรั่ว ให้เปลี่ยน มีเงินมีทองก็รั่วไหลเก็บไว้ไม่อยู่"
พี่กำไลพูดพลางมองที่กระเป๋าผ้าใบเก่งของฉัน ที่ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนมันเพราะยังหาใบใหม่ที่ถูกใจไม่ได้... ความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ฉันอบอุ่นใจเสมอ
ในเรื่องการหล่องานของฉันนั้น ..ฉันจะนำงานที่ปั้นจากดินเผา ชิ้นใดๆ ที่ฉันเห็นว่าสวยและฉันชอบ นำไปโรงหล่อ งานของฉันจะถูกหล่อภายในจำนวนที่จำกัดเพียง สิบห้าหมายเลข และในบางแบบ เพียงเก้าหมายเลขเท่านั้น..เพื่อมิให้งานมีในจำนวนที่มากเกินไป เมื่อขายหมดหรือหล่อไปจนครบจำนวนที่ฉันกำหนดแล้ว เราก็จะทำการทำลายทุบแม่พิมพ์ที่อยู่ที่โรงหล่อเสีย เพื่อมิให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อผลงานในอนาคตที่เราไม่อาจล่วงรู้..
ฉันจะได้ไปโรงหล่อก็ต่อเมื่อมีงานได้ถูกขายไปแล้วเท่านั้น ไปเพื่อหล่องานชิ้นใหม่ขึ้นมาทดแทนงานที่ขายออกไป ฉันจึงเป็นเพียงลูกค้าคนเล็กๆ หล่องานทีละน้อยนิด เมื่อเทียบกับมูลค่างานอื่นๆ ของที่นั่น ฉันได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตอันน่ารัก ไม่คำนึงถึงมูลค่าของเมล็ดเงินที่แตกต่างที่เขาได้รับ
ทว่า..วันนี้ ฉันกลับทำงานเสร็จลงเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น เพียงสี่โมงเย็น ฉันก็เก็บเครื่องไม้เครื่องมือกลับบ้านเสียแล้ว..ฉันขับรถออกจากที่นั่นด้วยความง่วงงุน..ง่วงแสนง่วงจนเมื่อมองไปเจอปั๊มน้ำมันข้างทางฉันจึงไม่รีรอที่จะเข้าไปจอดรถ เปิดกระจกรถไว้นิดหน่อยเพื่อให้มีอากาศถ่ายเท แล้วฉันก็ผล็อยหลับไปในรถอย่างง่ายดาย
เมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน ในยามค่ำของวันนั้น เพียงแค่การที่ฉันจะได้นอนหลับพักผ่อน ก็ทำให้รู้สึกราวกับว่านั่นช่างเป็นสิ่งล้ำค่าเหลือเกินสำหรับชีวิต...สิ่งธรรมดาๆ ที่แสนมีค่ากับชีวิต ฉันตระหนักอย่างเด่นชัดในขณะที่ได้ล้มตัวลงนอน
เช้าวันต่อมา ฉันไม่สบายและปวดเมื่อยครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด รวมทั้งปวดมึนๆ ที่ศรีษะ เมื่อแรกตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ฉันก็เกือบจะเปลี่ยนใจเลื่อนการทำงานที่ยังคั่งค้างกับโรงหล่อออกไปอีกหนึ่งวัน แต่เมื่อได้ลุกขึ้นและเดินไปเดินมา อยู่ในบ้านเพียงสักครู่ ฉันก็ตัดสินใจรีดเสื้อผ้า และอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน
ฉันเลือกเส้นทางใหม่อันเป็นถนนสายเล็กๆ ขนานกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ที่ฉันไม่เคยไปมาก่อน และเพลินอยู่กับการได้มองวัดวาอารามตามสองข้างทาง จนลืมเลือนความปวดเมื่อยที่มี
เมื่อถึงโรงหล่อ ฉันประคองตัวให้นั่งตรง เพราะกายไม่สบาย และนั่งทำงาน แต่ฉันกลับประหลาดใจเล็กๆ ว่า วันนั้นทั้งวันฉันกลับมีสมาธิในการนั่งทำงานได้ดีกว่าวันเมื่อวาน..
ฉันนั่งทำงานที่เหลือจนเสร็จหมดเรียบร้อย งานทั้งหมดสำเร็จเสร็จสิ้นลง ความรู้สึกลุล่วงจากการทำงานอย่างเสร็จสิ้นเกิดขึ้นในใจ เหมือนน้ำในแก้วที่ถูกรินถ่ายเทออกไปจนหมด เหลือเพียงแก้วเปล่าๆ ซึ่งจะทำหน้าที่ รอสิ่งใหม่ๆ ที่จะมาบรรจุและคัดกรอง เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ออกจากใจในเวลาต่อๆ ไป
ก่อนที่จะทำอะไรใหม่ๆ ได้ ฉันจะต้องจัดการสะสางการงานหรือสิ่งค้างคาเดิมๆ ออกไปจากใจให้หมดก่อนเสมอ...
ฉันตระหนักว่า ชีวิตช่างคล้ายๆ กับการเดินทาง มีจุดมุ่งหมายและเราก็กำลังจะไปตามจุดมุ่งหมายนั้น แต่อาจมีการพบเจอสิ่งต่างๆ ระหว่างทางที่ทำให้เราหลงเพลิน จนหลงทาง และเสียเวลาไปกับมัน หรืออาจจะพบเจออุปสรรคต่างๆ นานา จนทำให้บางครั้งเราเกิดท้ออยากหยุดชะงัก
แต่เมื่อเราตั้งใจระลึกถึงจุดหมายหลักว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็หันมาดำเนินตามจุดหมายของตัวเอง ชีวิตและงานจึงมิได้ตกไปจากเป้าหมายที่เราวางไว้
ในแต่ละย่างก้าวที่เราเดิน ในความเป็นชีวิตนั้น...แม้มิได้มั่นคงสวยงามไปเสียทุกก้าว แต่เมื่อเราเดินผ่านมันไป และหันกลับมามองอีกที ก็พบว่า เราได้เดินผ่านมันมาไกลเสียแล้ว
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
มันเป็นวันที่ฉันช่างไม่สดชื่นเอาเสียเลย...ความอ่อนเปลี้ยและง่วงงุน เข้าครอบงำฉัน..
ฉันขับรถจากบ้านไปโรงหล่อ ซึ่งห่างจากบ้านราว 80 กิโลเมตร เพื่อหมายใจจะไปทำงาน ฉันออกจากบ้านในเวลา 9 โมงครึ่ง ขับรถด้วยความเร็ว 80 และคอยสอดส่องสายตาระแวดระวังคอยมองสุนัขที่จะวิ่งออกมาบนถนน
ฉันมักขับรถในความเร็วที่พอจะสามารถเบรคได้อย่างปลอดภัย เมื่อเจอสุนัขวิ่งตัดหน้ารถ เช่นนี้เสมอๆ
ขณะที่กำลังใกล้ถึงทางแยกซึ่งต้องเลี้ยวรถ พลันก็มีโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันรับโทรศัพท์ เปิดลำโพงเสียงเพื่อให้พูดคุยได้โดยไม่ต้องเอามือถือโทรศัพท์ขณะขับรถ..เมื่อพูดคุยจบ ฉันก็พบว่า ฉันได้เลยจากทางแยกที่จะเลี้ยวนั่น ไปไกลเสียแล้ว
ฉันคิดว่ามันอาจจะมีเส้นทางที่เชื่อมต่อกันระหว่าง อำเภอวิเศษชัยชาญ กับ อำเภอป่าโมก จึงทนขับเรื่อยไปอีก ราวสี่ห้ากิโลเมตร ก็เห็นมีแต่ป้ายบอกทางตรงไป อำเภอผักไห่ ฉันจึงตัดสินใจเลี้ยวกลับ
ในที่สุดฉันก็มาถึงโรงหล่อเอาเกือบเที่ยง ฉันหยิบชิ้นงานที่ทำจากขี้ผึ้ง ขึ้นมาจากกระบะน้ำ นำมาตบแต่งด้วยเครื่องมือสามสี่ชิ้นที่พกพาไปจากบ้าน ร่องรอยอันเกิดจากการประกบระหว่างแม่พิมพ์สองด้าน ก่อให้เกิดริ้วรอยต่ออันเหมือนกับตะเข็บของเสื้อ และร่องรอยของคราบต่างๆ ที่ติดอยู่ตามแนวเส้นขอบตา ผม นิ้วมือ ของชิ้นงาน ฉันมีหน้าที่ ตัดออกในส่วนที่ยื่นเกินเหล่านั้นให้หมดไป แล้วใช้เครื่องมือที่ทำจากเหล็ก มาอังไฟจนร้อน แล้วปาดเกลี่ยตบแต่งร่องรอยเหล่านั้น จนกลมกลืน และมองไม่เห็น
การเป็นนักปั้นนั้น เมื่อได้เห็นหรือมีสิ่งใดที่ไม่ชอบ ไม่เหมาะไม่ควรแก่งาน ก็จะต้องตัดออก และรับแต่สิ่งที่ใช่ที่เหมาะกับงานเก็บไว้เท่านั้น การเติมเข้า-ตัดออก บ่อยๆ นี้ บางครั้งมันก็เลยเรื่อยเข้ามาถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน ฉันมักหลีกเลี่ยงในสิ่งที่ฉันคิดว่าไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะกับฉันออกไปจากชีวิต เลือกเอาเฉพาะสิ่งที่พึงพอใจและเห็นว่านั่นคือความจำเป็น เข้าไว้ในชีวิตเสมอๆ
ฉันนั่งทำงานอย่างไม่มีสมาธินัก ด้วยเพราะอากาศอันร้อนอบอ้าว ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกง่วง ตกบ่าย พี่กำไล ผู้เป็นเจ้าของโรงหล่อก็มาชวนฉันไปกินข้าว เรานั่งคุยกันถึงสารทุกข์สุขดิบ ฉันเป็นคนมองโลกด้วยสายตาแห่งความฝัน ส่วนพี่กำไลมองโลกด้วยสายตาแห่งความเป็นจริงบวกกับด้วยความมีประสบการณ์ของคนที่เกิดมาก่อนอย่างผู้มีจิตใจเที่ยงธรรม
การได้สนทนาต่อกัน ทำให้ฉันรู้สึกถึงได้ว่า ช่วงเวลาแห่งการนั่งกินข้าวระหว่างเรานั้น เป็นเวลาที่มีคุณค่าทุกครั้ง แม้ด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พี่กำไลก็มิได้มองข้าม
"กระเป๋าสตางค์ เขาไม่ให้ขาดไม่ให้รั่ว โบราณเขาถือ กระเป๋าสตางค์ขาด กระเป๋าสตางค์มีรูรั่ว ให้เปลี่ยน มีเงินมีทองก็รั่วไหลเก็บไว้ไม่อยู่"
พี่กำไลพูดพลางมองที่กระเป๋าผ้าใบเก่งของฉัน ที่ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนมันเพราะยังหาใบใหม่ที่ถูกใจไม่ได้... ความห่วงใยเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ฉันอบอุ่นใจเสมอ
ในเรื่องการหล่องานของฉันนั้น ..ฉันจะนำงานที่ปั้นจากดินเผา ชิ้นใดๆ ที่ฉันเห็นว่าสวยและฉันชอบ นำไปโรงหล่อ งานของฉันจะถูกหล่อภายในจำนวนที่จำกัดเพียง สิบห้าหมายเลข และในบางแบบ เพียงเก้าหมายเลขเท่านั้น..เพื่อมิให้งานมีในจำนวนที่มากเกินไป เมื่อขายหมดหรือหล่อไปจนครบจำนวนที่ฉันกำหนดแล้ว เราก็จะทำการทำลายทุบแม่พิมพ์ที่อยู่ที่โรงหล่อเสีย เพื่อมิให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อผลงานในอนาคตที่เราไม่อาจล่วงรู้..
ฉันจะได้ไปโรงหล่อก็ต่อเมื่อมีงานได้ถูกขายไปแล้วเท่านั้น ไปเพื่อหล่องานชิ้นใหม่ขึ้นมาทดแทนงานที่ขายออกไป ฉันจึงเป็นเพียงลูกค้าคนเล็กๆ หล่องานทีละน้อยนิด เมื่อเทียบกับมูลค่างานอื่นๆ ของที่นั่น ฉันได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตอันน่ารัก ไม่คำนึงถึงมูลค่าของเมล็ดเงินที่แตกต่างที่เขาได้รับ
ทว่า..วันนี้ ฉันกลับทำงานเสร็จลงเพียงแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น เพียงสี่โมงเย็น ฉันก็เก็บเครื่องไม้เครื่องมือกลับบ้านเสียแล้ว..ฉันขับรถออกจากที่นั่นด้วยความง่วงงุน..ง่วงแสนง่วงจนเมื่อมองไปเจอปั๊มน้ำมันข้างทางฉันจึงไม่รีรอที่จะเข้าไปจอดรถ เปิดกระจกรถไว้นิดหน่อยเพื่อให้มีอากาศถ่ายเท แล้วฉันก็ผล็อยหลับไปในรถอย่างง่ายดาย
เมื่อฉันกลับมาถึงบ้าน ในยามค่ำของวันนั้น เพียงแค่การที่ฉันจะได้นอนหลับพักผ่อน ก็ทำให้รู้สึกราวกับว่านั่นช่างเป็นสิ่งล้ำค่าเหลือเกินสำหรับชีวิต...สิ่งธรรมดาๆ ที่แสนมีค่ากับชีวิต ฉันตระหนักอย่างเด่นชัดในขณะที่ได้ล้มตัวลงนอน
เช้าวันต่อมา ฉันไม่สบายและปวดเมื่อยครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด รวมทั้งปวดมึนๆ ที่ศรีษะ เมื่อแรกตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ฉันก็เกือบจะเปลี่ยนใจเลื่อนการทำงานที่ยังคั่งค้างกับโรงหล่อออกไปอีกหนึ่งวัน แต่เมื่อได้ลุกขึ้นและเดินไปเดินมา อยู่ในบ้านเพียงสักครู่ ฉันก็ตัดสินใจรีดเสื้อผ้า และอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้าน
ฉันเลือกเส้นทางใหม่อันเป็นถนนสายเล็กๆ ขนานกับถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ ที่ฉันไม่เคยไปมาก่อน และเพลินอยู่กับการได้มองวัดวาอารามตามสองข้างทาง จนลืมเลือนความปวดเมื่อยที่มี
เมื่อถึงโรงหล่อ ฉันประคองตัวให้นั่งตรง เพราะกายไม่สบาย และนั่งทำงาน แต่ฉันกลับประหลาดใจเล็กๆ ว่า วันนั้นทั้งวันฉันกลับมีสมาธิในการนั่งทำงานได้ดีกว่าวันเมื่อวาน..
ฉันนั่งทำงานที่เหลือจนเสร็จหมดเรียบร้อย งานทั้งหมดสำเร็จเสร็จสิ้นลง ความรู้สึกลุล่วงจากการทำงานอย่างเสร็จสิ้นเกิดขึ้นในใจ เหมือนน้ำในแก้วที่ถูกรินถ่ายเทออกไปจนหมด เหลือเพียงแก้วเปล่าๆ ซึ่งจะทำหน้าที่ รอสิ่งใหม่ๆ ที่จะมาบรรจุและคัดกรอง เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ออกจากใจในเวลาต่อๆ ไป
ก่อนที่จะทำอะไรใหม่ๆ ได้ ฉันจะต้องจัดการสะสางการงานหรือสิ่งค้างคาเดิมๆ ออกไปจากใจให้หมดก่อนเสมอ...
ฉันตระหนักว่า ชีวิตช่างคล้ายๆ กับการเดินทาง มีจุดมุ่งหมายและเราก็กำลังจะไปตามจุดมุ่งหมายนั้น แต่อาจมีการพบเจอสิ่งต่างๆ ระหว่างทางที่ทำให้เราหลงเพลิน จนหลงทาง และเสียเวลาไปกับมัน หรืออาจจะพบเจออุปสรรคต่างๆ นานา จนทำให้บางครั้งเราเกิดท้ออยากหยุดชะงัก
แต่เมื่อเราตั้งใจระลึกถึงจุดหมายหลักว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แล้วก็หันมาดำเนินตามจุดหมายของตัวเอง ชีวิตและงานจึงมิได้ตกไปจากเป้าหมายที่เราวางไว้
ในแต่ละย่างก้าวที่เราเดิน ในความเป็นชีวิตนั้น...แม้มิได้มั่นคงสวยงามไปเสียทุกก้าว แต่เมื่อเราเดินผ่านมันไป และหันกลับมามองอีกที ก็พบว่า เราได้เดินผ่านมันมาไกลเสียแล้ว
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews