xs
xsm
sm
md
lg

แมงมุม-ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง & เสธ.ดอลลาร์ สองปีชีวิตคู่กับธุรกิจใหม่ “แม่ค้าไก่ย่าง!” สไตล์ราชนิกุล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ห่างหายไปจากงานสังคม เลือกปรากฏตัวเฉพาะงานสำคัญในหมู่เพื่อนฝูง สำหรับ “แมงมุม-ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล รัตตกุล” สาวฮอตสุดเปรี้ยวที่คนในวงสังคมต่างรู้จักเธอดีในฐานะธิดาของ “ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล” กับ “หม่อมกมลา ยุคล ณ อยุธยา” หากแต่ชีวิตในวันนี้ของเธอไม่ได้หายไปไหน แต่กำลังสนุกกับบทบาทใหม่ทั้งการเป็นผู้จัดละคร, นักศึกษาหน้าใหม่, เจ้าของร้านอาหาร และการเป็นศรีภรรยาให้กับ “ดอลลาร์-พลตรีพัชร รัตตกุล”

วันนี้ Celeb Online มีโอกาสนั่งจับเข่าคุยอัปเดตทุกเรื่องของ “เธอ” และ “เขา” โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารไก่ย่างเสือใหญ่ by MANGMOOM ที่เจ้าตัวกำลังอินเพราะเพิ่งบุกเบิกมาสดๆ ร้อนๆ จึงทำให้การสนทนาครั้งนี้ออกรสออกชาติไม่ผิดไปจากอาหารจานแซบที่เสิร์ฟในร้านของเธอ

สาวไฮเปอร์บ้างาน
“แมงมุมเป็นคนชอบทำงาน ตอนนี้ก็มีทำแบรนด์กระเป๋า Mangmoom, ผู้จัดละครภายใต้บริษัท ศรีคำรุ้งโปรดักชั่น กำลังถ่ายทำละครแนวพีเรียดเรื่อง แหวนทองเหลือง ให้กับช่อง 8 ค่ายอาร์เอส แล้วก็กำลังถ่ายเรียลิตี้ทีวี “Family Secrets” ที่มาถ่ายทำชีวิตการทำงานของแมงมุม ร่วมกับนักธุรกิจรุ่นใหม่จากหลายๆ วงการอีก 7 ท่าน เพื่อเตรียมออกอากาศทางช่อง 9 ประมาณต้นพฤษภาคม และล่าสุด เปิดร้านอาหารไก่ย่างเสือใหญ่ by MANGMOOM” คุณแมงมุมเริ่มต้นอัปเดตงานของเธอชนิดยาวเหยียด
นอกเหนือจากงานที่รัดตัวแล้ว คุณแมงมุมยังตัดสินใจย้อนกลับไปเป็นนักศึกษาอีกครั้ง ด้วยการลงศึกษาในหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย รุ่นที่ 4 ของสถาบันพระปกเกล้า ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากเรียนรู้สิ่งที่ไม่คุ้นเคยและเปิดโลกใหม่ๆ นอกเหนือไปจากโลกภาพยนตร์ที่เติบโตมา

“เพิ่งเริ่มเรียนได้ไม่นาน หลักสูตรนี้เป็นการผสมผสานศาสตร์การบริหารและการปกครองจากภาครัฐและเอกชนหลายๆ แขนงเข้าด้วยกัน คนที่มาเรียนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องการบริหารประเทศมารวมตัวกัน ในคลาสก็มีอาจารย์พิเศษหลายๆ ท่านมาให้ความรู้ที่แตกต่างกันไปในแต่ละสัปดาห์ ตัดสินใจเรียนเพราะแมงมุมเรียนภาพยนตร์และเติบโตมาในสังคมบันเทิง แมงมุมก็อยากเรียนรู้และมีคอนเนกชันกับคนในสายงานอื่นด้วย ถือเป็นการเปิดโลกสำหรับเรา”

“จริงๆ ก่อนหน้านี้เคยไปเรียนหลักสูตรการลงทุนของ SCB มาก่อน เพราะเราไม่เคยรู้เรื่องการลงทุน ตอนนั้นแมงมุมเป็นคนเดียวที่ทำธุรกิจบันเทิง ในขณะที่คนอื่นทำอุตสาหกรรมหนักหมดเลย ทำธุรกิจแก๊ส ทำอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของโรงงาน เจ้าของบริษัทจัดหาแรงงานต่างด้าวก็มี เราได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง ทำให้เรารู้สึกสนุก ขณะเดียวกันเขามาเจอคนทำงานแบบเราก็สนุก บางทีเขาอย่างทำโฆษณา อยากหาคนมาเป็นพรีเซนเตอร์ เขาก็มาปรึกษาเรา” คุณแมงมุมเล่าย้อนไปถึงการเก็บเกี่ยวความรู้รูปแบบอื่นๆ ที่น้อยคนนักจะรู้

บุกเบิกธุรกิจร้านอาหาร
แต่สำหรับนาทีนี้ สิ่งที่สาวไฮเปอร์อย่างแมงมุมดูจะโฟกัสเป็นพิเศษ คงไม่พ้นธุรกิจร้านอาหารไก่ย่างเสือใหญ่ by MANGMOOM ที่เพิ่งมาบุกเบิกใหม่ยังซอยสุขุมวิท 49 ซึ่งเธอยอมรับว่าแรกเริ่มเดิมทีเกิดจากแรงยุและแรงเชียร์ของเพื่อนสนิทมิตรสหายรอบกาย ด้วยสไตล์การตกแต่งร้านถอดแบบมาจากคาแรกเตอร์ส่วนหนึ่งของผู้เป็นเจ้าของ จึงไม่แปลกใจที่ร้านอาหารแห่งนี้จะเต็มไปด้วยสีสันจัดจ้านเตะตาตั้งแต่หน้าร้าน มีกลิ่นอายเม็กซิกันนิดๆ ฮิปปี้หน่อยๆ แต่คงความเออร์เบิลไว้อย่างลงตัว

“อยากเปิดมาพักหนึ่งแล้ว แต่ยังหาสถานที่ไม่ได้ ถ้านับกันจริงๆ ถือว่าที่นี่เป็นสาขา 3 ของไก่ย่างเสือใหญ่ สาขาแรกอยู่ที่ซอยเสือใหญ่ รัชดา เป็นของคุณยาย (สุพิศ เศรษฐี) สาขา 2 อยู่ที่ศรีนครินทร์ เป็นของคุณแม่ และที่นี่เป็นสาขาล่าสุด ซึ่งเป็นสาขาเดียวที่เป็น by MANGMOOM คือแมงมุมตั้งใจทำแบรนดิ้งใหม่ ทำบรรยากาศให้ฮิปขึ้น เทรนดี้ขึ้น แต่คงความโคซีเป็นกันเอง สามารถมาจอยเป็นครอบครัวได้ ไม่ได้แฟชั่นจนรู้สึกอึดอัด รสชาติอาหารก็ยังคงเป็นโฮมคุกกิ้งเหมือนเดิม สูตรอาหารดั้งเดิมก็มาจากคุณยาย คือเราไม่ได้เริ่มต้นจาก 0 แม้แต่แม่ครัว พนักงาน ทุกอย่างเทรนมาจากคุณแม่และคุณยายทั้งหมด คือเราโชคดีที่ได้คุณแม่ช่วย เพียงแต่เราทำให้เป็นระบบมากขึ้น มีสเปเชียลเมนู มีโปรโมชัน เพื่อให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น”

ไม่เพียงการตกแต่งเท่านั้น แม้แต่บรรยากาศในร้าน คุณแมงมุมลงดีเทลเองว่าต้องเปิดเพลงแนวไหน เมนูในร้านก็ต้องผ่านการสกรีนจากเธอมาแล้ว เพราะเธอถือคติว่าถ้าจานไหนไม่ชอบก็คือไม่ขาย ถึงกระนั้นก็มีเมนูให้เลือกมากถึง 130 รายการ แถมท้ายด้วยสเปเชียลเมนูที่เธอครีเอตมาให้ลองความแปลกใหม่แทบทุกซีซัน

ถึงเป็นร้านอาหารเปิดใหม่ แต่บอกได้เลยว่าแบรนด์ไม่ใหม่ มีลูกค้าขาประจำสาขาที่นี่อย่าง เจี๊ยบ-โสภิตนภา ทัพพะรังสี ชุ่มภาณี, แก้ว ซาซ่า-จรีนา สิริสิงห, นานา ไรบีนา, หมอโอ๊ค-สมิทธิ์ อารยะสกุล ที่ควงคู่มาจอยกับ โอปอล์-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ รวมไปถึงเซเลบริตี้และคนในวงการบันเทิงอีกยาวเหยียด เอาเป็นว่าแค่วันแรกของการเปิดร้าน คุณแมงมุมถึงกับออกปากว่าบรรยากาศเหมือนสงครามอะไรสักอย่าง เพราะยุ่งและวุ่นจนแทบไม่เป็นอันทำอื่นใด ถึงขนาดต้องเกณฑ์สามี เพื่อนสนิท มาช่วยกันเสิร์ฟ การันตีความแรงได้จากแค่วันแรกของการโพสต์ IG ไก่ย่างเสือใหญ่ by MANGMOOM ก็ปาเข้าไป 300 กว่าฟอลโลว์แล้ว

“บรรยากาศวันแรกมันส์มากกกก (ลากเสียงยาว) ไม่คิดว่าจะยุ่งขนาดนั้น ทำทุกอย่าง เสิร์ฟอาหาร เก็บโต๊ะ ถูพื้น เก็บจาน แต่มีกลุ่มเพื่อนสนิทมาช่วยเสิร์ฟนะ คือเราบอกเลยว่ามาช่วยกันเสิร์ฟหน่อย ตอนนั้นยังไม่ได้ทำพีอาร์อย่างเป็นทางการ ทุกคนรู้จักร้านเราจากปากต่อปาก ส่วนหนึ่งก็เป็นลูกค้าประจำของไก่ย่างเสือใหญ่อยู่แล้ว หลายคนก็เห็นตั้งแต่สร้างจาก IG ส่วนตัวของแมงมุมเอง”

“แรกๆ ทุกคนที่มาช่วยกิตติมศักดิ์หมด (หัวเราะ) ไล่ไปตั้งแต่นายแบบยันดารา มีบางช่วงเพื่อนคนไหนมามีเร่งแบบว่ากินเสร็จแล้วมาช่วยกันเสิร์ฟหน่อย เร็วๆๆ... ช่วงแรกลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเพื่อน คนรู้จัก และญาติๆ แต่ก็มีส่วนที่เป็นขาจรด้วย บางคนรู้จักเราก็มีชะงักไม่กล้าสั่ง เรามารับออเดอร์ก็ว่าสั่งอาหารได้เลย เยอะๆ ก็ได้คะ”

เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่าช่วงแรกของการเปิดร้านย่อมต้องมีขรุขระบ้าง คุณแมงมุมเตรียมใจเอาไว้แล้วถึงปัญหาที่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น อาหารช้า อาหารหมด หรือเสิร์ฟผิดโต๊ะ สำหรับบางคนอาจมองว่าไม่พร้อมก็อย่าเปิดดีกว่า แต่เธอกลับมองว่า ถ้าไม่เปิดก็คงไม่มีวันพร้อมสักที ถ้าหากไม่ได้ลงมือทำเอง บริหารเอง คงไม่มีเรียนผิด รู้ถูก สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรียนรู้กันไป ค่อยๆ พัฒนากันไป ซึ่งลึกๆ เธอก็ดีใจกับพัฒนาการที่ก้าวไปในทิศทางที่ดี “ถือเป็นความรู้สึกใหม่สำหรับเรา เพราะทั้งแมงมุมและพี่ดอลลาร์ยังไม่เคยทำธุรกิจแบบนี้ การทำธุรกิจอาหารทุกอย่างเวรีดีเทล เราเจอกับผู้บริโภคแบบตัวต่อตัวเลย จริงอยู่เราเคยทำธุรกิจภาพยนตร์ ละคร และแบรนด์แฟชั่น แต่ผู้ชมและลูกค้าเขามีระยะห่างจากเราพอสมควร แต่กับธุรกิจอาหารคืออยู่ตรงหน้าเลย ยิ่งเราเป็นคนชอบทานด้วย พอมาทำเองก็อยากให้ทุกอย่างออกมาดี เราเลยลงดีเทลเอง แต่ไม่ถึงกับเครียดมาก เพราะมีคนช่วยเยอะ ช่วงแรกคุณแม่อยู่ช่วยที่ร้านทุกวัน อยู่ในครัว ดูแลตลาด คุมคุณภาพพนักงาน ส่วนพี่ดอลลาร์มาช่วยเรื่องแคชเชียร์ ดูแลลูกค้า ดูแลความสะอาด ดูการแต่งร้าน ดูแลการเสิร์ฟ”

แม้ว่าคุณยายกับคุณแม่จะทำธุรกิจร้านอาหารมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดจับธุรกิจร้านอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้มาก่อน คุณแมงมุมให้เหตุผลว่า “ถึงเป็นคนชอบกิน แต่ก็รู้สึกว่างานบริการไม่ใช่ทางของเรา เพราะรู้ตัวว่าเป็นคนใจร้อน แต่เมื่อชีวิตมาถึงจุดนี้ รู้สึกว่านี่เป็นร้านของเรา เป็นที่ทางของเรา ก็อยากทำให้ได้และต้องดีที่สุด พอลงมาทำธุรกิจนี้จริงๆ ก็ทำให้เราใจเย็นขึ้นนะ เดี๋ยวนี้เจออาหารเสิร์ฟช้าก็ไม่ว่าอะไร (หัวเราะ) อีกอย่างคือการทำธุรกิจบันเทิง เป็นงานไม่มั่นคง เพราะโปรเจกต์ไม่ได้มีทุกวัน ทำให้อยากมีธุรกิจอื่นๆ ที่มั่นคงมาช่วยเสริม จึงหันมามองธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว เนื่องจากมีความรู้และเชี่ยวชาญอยู่แล้ว คือแมงมุมไม่ได้เป็นคนคิดไกลมาก ตอนนี้เราคาดหวังแค่อยากทำตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน แต่ก็ยอมรับว่า ณ วันนี้ดีกว่าที่เราคาดไว้”

สัญชาตญาณแม่ครัวหัวป่า
เมื่อหันมาจับธุรกิจอาหารเต็มตัว อดไม่ได้ที่จะถามถึงฝีไม้ลายมือในการเข้าครัวของคุณแมงมุม ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็นคนชอบทำกับข้าวชนิดที่ว่าอวดเพื่อนได้ทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง เพราะเคยร่ำเรียนอยู่เมื่อครั้งศึกษาที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่เพื่อนๆ มักให้ทำอาหารฝรั่ง เพราะรู้ดีว่าถ้าคุณแมงมุมลงมือทำอาหารไทยจะออกรสจัดจนใครๆ ทานไม่ไหว

“เพื่อนๆ ชอบให้ทำไก่อบ ขนาดไปหัวหินไม่มีเตาอบก็ยังอยากให้ทำไก่อบ (หัวเราะ) เราก็ใช้วิธีเอากระทะสองอันมาประกบกัน เวลาทำอาหารแมงมุมมีทั้งคิดสูตรเองบ้าง เปิดหนังสือบ้าง แต่ส่วนใหญ่มาจากคุณแม่ เพราะคุณแม่เป็นคนทำอาหารอร่อยมาก ทั้งอาหารไทยและฝรั่ง เพื่อนๆ จะกรี๊ดมาก เวลาถามว่าเย็นนี้ไปกินที่ไหนดี ชอบบอกว่าบ้านแมงมุมละกัน แต่คุณแม่ก็แฮปปี้ที่จะทำให้
“อย่างเมนูของร้านที่มีตะลิงปลิงเป็นส่วนผสม เป็นเมนูที่เราครีเอตและชอบมาก แต่ว่าหาทานยาก คือเป็นคนชอบทานอาหารไทยและชอบทานรสจัดมาก ส้มตำแบบที่แมงมุมชอบคงขายที่ร้านไม่ได้ เพราะคงไม่มีใครกินได้ มันเหมือนตำพริกใส่มะละกอมากกว่า (หัวเราะ)”
แน่นอนว่าเรื่องรสชาติความอร่อยคงไม่มีใครคอนเฟิร์มได้ดีไปกว่าคนข้างกายอย่าง ดอลลาร์-พลตรีพัชร รัตตกุล ที่คอยเป็นกำลังใจและสนับสนุนเธอคนนี้ในทุกเรื่อง ไม่ว่าคุณแมงมุมจะตัดสินใจทำอะไร รวมถึงการบุกเบิกธุรกิจร้านอาหารนี้ด้วย ซึ่งถ้าวันนี้ไม่เอ่ยถึง “เขา” เลย ก็คงจะไม่ได้

วันนี้ของผู้ชายชื่อ “ดอลลาร์”
หลายคนอาจคุ้นเคยภาพของ “ดอลลาร์-พลตรีพัชร รัตตกุล” ในบทบาทของสามีที่อยู่ข้างกายศรีภรรยาอยู่เสมอ จนน้อยคนนักจะรู้ว่ายามนี้ เขากลับมารับช่วงต่อธุรกิจครอบครัวในตำแหน่ง COO ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของ หาดทิพย์ จำกัด (มหาชน) มาตั้งแต่ปี 2553 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดออกจากราชการมาทำธุรกิจแม้แต่น้อย แต่เพราะคุณพ่อ (ไพโรจน์) อายุมากแล้ว ประกอบกับการขอร้องของคุณพ่อ จึงทำให้คุณดอลลาร์ตัดสินใจหักเหเส้นทางชีวิตครั้งสำคัญ

“ลึกๆ คุณพ่ออยากให้ผมมาทำธุรกิจทางบ้านตั้งแต่ผมยศร้อยเอกแล้ว เพราะเล็งเห็นว่าเงินเดือนราชการจะไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ตอนนั้นผมเป็นนายทหารมหาดเล็กและผมรักอาชีพทหาร จึงยื้อมาเรื่อย จนอายุ 48 ปี จึงยื่นใบลาออกจากราชการ ธุรกิจของครอบครัวผมภาษาธุรกิจเรียกตัวเองว่า “บอตเลอร์” ในเมืองไทยมีบอตเลอร์อยู่ 2 เจ้าคือ ไทยน้ำทิพย์และหาดทิพย์ ซึ่งพื้นที่รับผิดชอบของเราอยู่ทางภาคใต้ 14 จังหวัด ทำให้ผมต้องออกต่างจังหวัดเป็นประจำ หน้าที่ของผมคือคอยรายงานการโอเปอเรชันทั้งหมดให้กับ CEO”

จากนายทหารมาสู่นักธุรกิจ ย่อมต้องอาศัยเวลาในการปรับตัว คุณดอลลาร์เล่าถึงความแตกต่างนี้ว่า การบริหารกองทัพมีเรื่องของวินัยเข้ามาบังคับ ทำให้จัดการง่ายกว่า แต่อย่างที่เข้าใจกัน การบริหารจัดการมีพื้นฐานเหมือนกัน คือ บริหารคน เวลา และทรัพยากรต่างๆ สิ่งที่ยากคือการบริหารคน เพราะถึงหาดทิพย์จะเป็นบริษัทเล็กๆ แต่ก็มีพนักงานเกือบ 2,000 คน สิ่งที่ต้องโฟกัสคือเมื่อเข้ามาแล้วต้องเรียนรู้ให้เร็วที่สุด

“ผมต้องเดินทางอยู่เป็นประจำ เพราะเราทำธุรกิจควรอยู่ใกล้ผู้บริโภคเพื่อจับกระแส เรียนรู้การเปลี่ยนแปลง เพราะนั่งอยู่ในออฟฟิศก็ไม่เห็นอะไร การเรียนรู้นี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา ผมจะมีการกำหนดเวลา ใน 1 ปีผมพยายามไปเยี่ยมสาขาที่มีมากกว่า 20 สาขาให้ครบทุกพื้นที่ แน่นอนว่าตลาดสำคัญๆ ก็ต้องไปบ่อยอย่างภูเก็ต หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ผมบินเยอะมาก ยิ่งกว่าสจ๊วตเสียอีก (หัวเราะ)”
เนื้องานที่แสนท้าทายใช่ว่าคุณดอลลาร์จะไม่มีเวลาให้กับครอบครัวเสียเลยทีเดียว โดยใน 1 สัปดาห์จะแบ่งออกต่างจังหวัดราว 2-3 วัน ส่วนเวลาที่เหลือจะให้กับครอบครัวและศรีภรรยามากที่สุด ที่สำคัญไม่พยายามเอางานกลับมาทำที่บ้าน หรือถ้าเครียดจริงๆ ก็ใช้วิธีอ่านหนังสือเป็นการผ่อนคลาย เพราะคุณดอลลาร์บอกว่าการอ่านหนังสือคือความสุขอย่างที่สุดก็ว่าได้
“เวลาอ่านหนังสือมันเหมือนไปอยู่ในโลกส่วนตัว ส่วนตัวผมอ่านหนังสือได้ทีละหลายๆ เล่มในช่วงเวลาเดียวกัน รู้สึกมันสะใจ ส่วนใหญ่ที่ชอบคือแนวประวัติศาสตร์ ประวัติสงคราม อัตชีวประวัติ อย่างตอนนี้ที่อ่านอยู่คือเป็นสถาปัตยกรรมสมัยราษฎร อีกอย่างเป็นคนชอบเก็บหนังสือเก่าหรือหนังสือหายากด้วย”

สองปีกับชีวิตคู่แสนสุข
อัปเดตชีวิตงาน ชีวิตส่วนตัวไปแล้ว มาถึงชีวิตคู่บ้าง งานนี้คุณแมงมุมถึงกับออกตัวว่าพูดเรื่องความรักไม่เก่ง หน้าที่นี้จึงต้องเป็นของคุณดอลลาร์ ซึ่งตอบจบในประโยคเดียวว่า “เป็นสองปีที่มีความสุขมาก”
“ผมคิดว่าเมื่อเราแต่งงานแล้ว ผมอยากให้มีชีวิตคู่อยู่ในทัศนคติที่คาดหวังเอาไว้ คือถ้าผมไม่พร้อมผมคงไม่แต่ง ซึ่งผมไม่อยากมองเห็นตัวเองมีปัญหาครอบครัวเหมือนที่คนอื่นเจอ ชีวิตแต่งงานที่ไม่ต้องโกหกกัน ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ถ้าทำได้ชีวิตก็สบายไปอีกเยอะ”
ถ้าเคยผ่านตาบทสัมภาษณ์ในวันแต่งงาน จะเห็นว่าทั้งคู่รักเด็กและอยากมีทายาทโดยเร็ว จนถึงวันนี้ความตั้งใจนี้ก็มิเปลี่ยนแปลง เพียงแต่รอสวรรค์ประทานให้ในเวลาที่เหมาะสม เพราะเป็นที่ทราบดีว่าคุณแมงมุมมีโรคประจำตัวเป็น SLE (Sytematic Lupus Erythematosus) หรือที่คนไทยมักเรียกว่าโรคพุ่มพวง) จึงเป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะด้วยวิธีธรรมชาติหรือวิธีทางวิทยาศาสตร์ แต่ทั้งคู่ไม่ได้เร่งรัดอะไร รอเพียงให้ร่างกายฝ่ายหญิงพร้อมที่สุด

“เมื่อก่อนผมไม่ได้รักเด็กขนาดนี้ แต่ติดมาจากแมงมุม เพราะแมงมุมเป็นคนรักเด็กมาก อยู่กับเด็กได้เป็นวัน ผมว่าแมงมุมควรมีอาชีพเลี้ยงเด็ก หรือครูโรงเรียนอนุบาล เพราะเขาคุมเด็กได้ เข้ากับเด็กได้ดี ซึ่งผมไม่ได้คาดหวังว่าต้องมีลูกผู้หญิงหรือผู้ชาย ถามเคยคิดไกลไปจนถึงรับเด็กมาเลี้ยงไหม ผมก็เคยคิด แต่ทั้งหมดแล้วผมยกให้เป็นการตัดสินใจของภรรยา”

ชีวิตแต่งงานตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งคู่บอกว่าดำเนินไปตามธรรมชาติ ไม่ต้องปรับตัวอะไร เพราะคบหา เรียนรู้นิสัยใจคอกันและกันมานานถึง 5 ปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ความรู้สึกที่มีให้กันในยามนี้ คือความห่วงใย และมีกันและกัน
“ที่ผ่านมาคือเราดูแลกันและกัน ปกติพี่ดอลลาร์จะตื่นสาย แมงมุมจะตื่นก่อน เราก็จะสั่งอาหารเช้าให้ ถ้าไม่รีบจะลงมือทำเอง คือพี่ดอลลาร์เป็นคนไม่ค่อยทานข้าว เราไม่ถึงกับบังคับ แต่อยากให้ทาน คือเราไปช่วยจัดระบบชีวิตให้เขา ดูแลเสื้อผ้า อาหารการกิน อย่างเวลาพี่ดอลลาร์ไปต่างจังหวัดเราก็จัดกระเป๋าให้ คือไม่ได้ดูแลเพราะเป็นหน้าที่นะ แต่เพราะธรรมชาติของเราเป็นคนทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว นิสัยแมงมุมเป็นคนชอบจัดแจง เมื่อก่อนก็ทำให้คุณพ่อ สมัยเรียนที่ออสเตรเลียกับน้องชาย (ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี) ก็ทำให้น้อง” คุณแมงมุมเล่าถึงสิ่งที่ทำเป็นกิจวัตร

ในทางกลับกันคุณดอลลาร์ก็ดูแลศรีภรรยาในอีกด้าน โดยเขาเสริมว่า “ผมเป็นคนจัดยาให้แมงมุมทุกวัน เป็นยาที่เขากินมาตั้งแต่ก่อนคบกันอีก คือโรค SLE ยังเป็นโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ ใช้วิธีรักษาตามอาการ กรณีแมงมุมคือมีปัญหาที่ไตทำให้ต้องเลี่ยงอะไรหลายอย่าง เช่น เลี่ยงกินเค็ม เลี่ยงโดนแดด ห้ามเครียด ห้ามไปทุกอย่าง แต่แมงมุมทำงานเยอะมาก ผมก็เคยห้ามนะ แต่เขาไม่เชื่อ สิ่งที่เราทำได้คือดูแลเขาให้ดีที่สุด ซึ่งโชคดีเขาเป็นคนออกกำลัง ทั้งเล่นพิลาทิส โยคะ ต่อยมวย เข้ายิม คือเขาต้องแข็งแรงถึงจะต่อสู้กับโรคได้”
แต่เรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นการขอร้องอย่างจริงจังจากฝ่ายหญิง คือขอให้คุณดอลลาร์เลิกดื่ม ซึ่งเจ้าตัวก็ทำให้แต่โดยดี แถมใช้วิธีหักดิบเสียด้วย

“ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นมนุษย์ปาร์ตี้ ดื่มเยอะ เมื่อก่อนเที่ยวทุกคืนมาตั้งแต่อายุ 19 จนถึง 49 แต่พอแมงมุมขอให้ผมเลิกดื่ม ผมก็เลิกมาได้ 2 ปีกว่าแล้ว คือปาร์ตี้เรายังไปนะ แต่ไม่ดื่ม แรกๆ เราก็รู้สึกแย่ เพราะคนอื่นรอบๆ ตัวดื่มหมดเลย แต่ผมใจแข็ง” คุณดอลลาร์เอ่ยถึงความยากในการเลิกดื่ม ในขณะที่แมงมุมเองก็ดื่มและปาร์ตี้น้อยลง

“แมงมุมอาจจะมีดื่มบ้าง ยิ่งเราทำร้านอาหารด้วย แต่ก็น้อยกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะเราอยากตื่นเช้าไปออกกำลังกาย หรือต้องตื่นเช้าไปทำงาน อาจเพราะชีวิตแต่งงานก็อยากดูแลกันและกันให้มากขึ้น และด้วยอายุทำให้เริ่มเบื่อเลยปาร์ตี้น้อยลง” แมงมุมเล่าถึงสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปาร์ตี้น้อยลง

พึ่ง Gadget เป็นสื่อรัก
แม้ทั้งคู่จะเอ่ยปากว่าการใช้ชีวิตคู่ไม่ได้ต้องปรับตัวอะไร แต่การเปลี่ยนแปลงนั่นย่อมเกิดขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะกับฝ่ายชาย จากแต่ก่อนที่ไม่เคยสนใจ แต่เพราะฝ่ายหญิงเป็นคนชอบเสาะหาของอร่อย จึงกลายเป็นว่าผันตัวเองไปเป็นนักชิมโดยปริยาย แถมยังไฮเทค ใช้อุปกรณ์สื่อสารเป็นสื่อรักไปโดยไม่รู้ตัว

“เมื่อก่อนห้างสรรพสินค้าผมไม่เข้า เพราะใส่เครื่องแบบเหมือนกันทุกวัน ร้านอาหารผมก็ไม่เน้น แต่แมงมุมเป็นคนชอบเสาะหาของอร่อยทาน กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ในโทรศัพท์ของผมจะมีบันทึกอาหารร้านอร่อย จัดเป็นกรุ๊ป ใส่ไว้ในลิสต์ทุกจังหวัดเลย ภูเก็ต หัวหิน ปาย ฮ่องกง ส่วนใหญ่เป็นร้านที่เราเคยไปกินแล้วประทับใจ ไปถึงร้านรู้เลยต้องสั่งอะไร”

“อีกอย่างผมเดินทางเยอะ แมงมุมก็งานเยอะ ทำให้ไม่ค่อยมีเวลา เราใช้วิธีลิงก์ปฏิทินในมือถือของผมกับของเขา เราจะรู้ตารางของกันและกัน เพราะถ้าจะเดินทางต่างประเทศด้วยกัน เราต้องวางแผนพอสมควร แต่ถ้ากรณีมีข้อจำกัดเรื่องเวลามากๆ ก็เอาง่ายๆ อย่างไปทะเลใกล้ๆ เพราะเราเป็นคนชอบทะเล ขอแค่ให้ได้ไปอยู่ชายหาดก็มีความสุขแล้ว” คุณดอลลาร์เล่าถึงวิธีที่ลงตัวในการควงคู่ไปเที่ยวของพวกเขา
สำหรับคู่ที่ชอบเที่ยวอย่างพวกเขา ถามว่ามีทริปเซอร์ไพรส์ไหม ทั้งคู่ตอบได้ทันทีว่า “เกาหลี” โดยคุณแมงมุมเล่าว่ามีช่วงหนึ่งพวกเราซีรีส์เกาหลีมาก ทั้งที่ไม่เคยชอบดูมาก่อนเลย แต่พอดีเรื่องนี้เนื้อหาเล่าถึงชีวิตเชฟ ในฉากจึงเต็มไปด้วยอาหารสารพัดอย่าง จนในที่สุดคุณดอลลาร์ก็เซอร์ไพรส์ด้วยการจัดทริปไปเกาหลีด้วยกัน

“จะเรียกว่าเป็นทัวร์กินก็ได้นะ ตอนนั้นมีอารมณ์ว่าอาหารต้องอร่อยแน่ๆ เลย ทั้งที่ตอนไปเที่ยวก็ไม่ใช่โอกาสพิเศษอะไรของเราสองคนเลย แค่รู้สึกว่าอยากไป เป็นทริปที่สนุกมาก เราไปแบบไม่รู้จักสถานที่ไหนเป็นพิเศษ ไปถึงก็ไปหากันเอง ไปเดินตลาดโต้รุ่งของเขาด้วย”
“ตอนนั้นเข้าใจเลยว่าทำไมซีรีส์เกาหลีถึงสามารถทำให้คนไทยติดได้ เขาสามารถทำให้คนดูอินไปกับตัวละครได้ ด้วยบทของเขาเข้มข้น เข้าถึงได้ง่าย เข้าใจง่าย ให้รายละเอียดเยอะ มันมีความน่ารักและหลายรสชาติ ถามว่าแมงมุมจะมีโอกาสมาทำละครสมัยใหม่แนวโรแมนติกกุ๊กกิ๊กบ้างไหม ก็คงไม่ใช่สไตล์เรา คือแมงมุมเป็นคนชอบบทประพันธ์ย้อนยุคหรือแนวพีเรียด และเรามีบทประพันธ์ดีๆ อีกหลายเรื่องที่ยังไม่เคยทำ ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของที่บ้านอยู่แล้ว เรามองว่าการทำแนวพีเรียดผู้ชมจะได้ทั้งความบันเทิงและความรู้ไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะแง่ไหน ณ เวลานี้ก็คงอยากนำผลงานเหล่านี้มาทำก่อน”

“แต่ถ้าอนาคตมีโปรเจกต์ให้เราทำละครสมัยใหม่ ก็ไม่ได้ปฏิเสธ คือเราไม่ได้ปิดกั้นตัวเองว่าต้องทำแต่ละครพีเรียด ถ้ามีโอกาสก็อยากทำละครสมัยใหม่แนวสะท้อนสังคมอย่างที่คุณพ่อเคยทำ เพราะเราสนใจและถนัดแนวนี้ด้วย อีกอย่างอยากให้ผู้ชมได้ข้อคิดจากการชมด้วย” แมงมุมกล่าวถึงวิสัยทัศน์การทำงานบันเทิงที่ตนถนัดเป็นการทิ้งท้าย ::Text by FLASH
กำลังโหลดความคิดเห็น