คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
หลังเทศกาลสงกรานต์ที่มีอากาศร้อนระอุ ได้ผ่านพ้นไป ฉันเริ่มทำการจัดบ้านใหม่อีกครั้ง..
ในการจัดบ้านของฉัน พบสิ่งของกระจุกกระจิกหลายสิ่งหลายอย่างที่เมื่อหยิบขึ้นมามองแล้วก็ถามตัวเองว่า จะยังคงใช้ประโยชน์อะไรจากมันอยู่หรือไม่...และตอบตัวเองด้วยคำว่า "ทิ้งนะ..?? " อยู่หลายต่อหลายครั้ง
ฉันหยิบมันขึ้นมาทีละอย่างสองอย่างจากในตู้.. แล้วเดินเอาออกไปวางไว้ที่นอกชาน มีตั้งแต่ตุ๊กตาผ้าที่เก่าและขาด เชิงเทียน ที่ปักธูปที่ซื้อมาแล้วก็ไมเคยได้ใช้ กล่องโลหะเล็กๆ ที่ชอบเก็บไว้ เศษกระดาษที่ปรากฏลายมือเขียนเป็นตัวอักษรสื่อความ..สร้อยคอของ “สำลี” สุนัขแสนรักของฉันซึ่งได้จากไปแล้ว สบู่ก้อนที่เคยใช้ถูตัวตอนอาบน้ำให้สำลี ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยที่เคยใช้เช็ดหน้าเช็ดตัวให้สำลีตอนที่ป่วยหนัก สายจูง
โดยเฉพาะสร้อยหนังที่เคยห้อยคอสำลีอยู่เป็นประจำนั้น ยังคงมีกลิ่นยังคงมีกลิ่นอับๆ เหมือนกับผ้าที่ตากค้างคืน ฝังอยู่ในสร้อยนั้น แต่สิ่งของอะไรที่เกี่ยวกับสำลีนั้น ฉันจะไม่มีทางเอาไปทิ้งเป็นอันขาด ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผงะเล็กน้อยเมื่อตอนที่เปิดตู้มา แล้วพบว่ากลิ่นอันอับชื้นนั้นได้ปะทะเข้ากับจมูกก็ตาม..
ฉันหวนนึกถึงย่า..ตอนที่ย่าได้จากไปแล้วนั้น ฉันได้ไปหยิบห่อของๆย่า ซึ่งไม่ใช่สิ่งของมีค่าอันใด เป็นของจำพวกกระเป๋าถัก จดหมายจากเพื่อน..และจดหมายจากลูก..หนังสือธรรมะเล่มน้อย..สมุดจดหลักฐานการบริจาคเงินทำบุญ..สมุดจดจำนวนเงินที่ให้คนยืมไป..รูปถ่าย..ใบเกิดของลูก สร้อยแสตนเลสและพระห้อยคอ กรรไกรตัดผมและใบมีดโกน..
ย่าได้ห่อสิ่งของเหล่านี้ไว้ในกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วมัดด้วยเชือกฟาง ซ้ำยังมีเศษกระดาษแผ่นน้อยที่เขียนไว้ด้วยลายมือของย่าสำทับไว้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า "ใครอย่าเอาของฉันไปทิ้งนะ"
สิ่งของเหล่านี้ของย่าได้ถูกวางอยู่ในมุมเก็บของสัพเพเหระ อยู่ในมุมหนึ่งที่ข้างบ้านของพ่อ มานานหลายปีนับแต่ย่าจากไป..และคงวางอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเมื่อฉันกลับมา สิ่งของเหล่านั้นจึงได้ถูกนำมาเก็บไว้ที่บ้านของฉัน..และฉันไม่ได้ทิ้งของของย่าเลยแม้เพียงอย่างเดียว
การจัดบ้าน เป็นกิจวัตรที่ฉันต้องทำอยู่บ่อยๆ เสมอๆ..เพราะการหยิบจับสิ่งของในแต่ละวัน บ้างก็ผิดที่ผิดทาง ข้าวของที่เคยวางอยู่ในครัวข้างล่างก็ระเห็ดมาอยู่ข้างบน..ข้าวของจากข้างบนก็ลงไปอยู่ข้างล่าง
โต๊ะนั่งกินกาแฟเต็มไปด้วยข้าวของที่กองสุมจนไม่เหลือพื้นที่ใช้สอยอันเป็นจุดประสงค์ดั้งเดิมของมัน..
บ้านของฉันเป็นบ้านไม้ผสมคอนกรีต ห้องนอนของฉันเป็นห้องไม้ที่ทาด้วยสีรักษาเนื้อไม้สีดำ เตียงนอนนั้นก็เป็นของย่า..ฉันพบมันเป็นกองไม้ที่ถูกมัดรวมกันอยู่ที่บ้านของพ่อ มันเป็นเตียงไม้ที่ถอดออกและประกอบใหม่ได้ ฉันเคยเห็นมันตั้งแต่เป็นเด็ก..
ในตอนนั้นมันเป็นเตียงที่ไม่มีใครนอน ย่ากับฉันและหลานซึ่งเป็นลูกของอาอีกสองคน มักปูเสื่อแล้วกางมุ้งนอนกันอยู่บนพื้นบ้าน
อาเล่าว่าย่าซื้อเตียงนี้ไว้จากเรือที่ล่องมาขายเตียงที่ริมชายท่าน้ำหน้าบ้าน บ้านของของย่าอยู่ริมน้ำ การซื้อของตั้งแต่กับข้าว จนกระทั่งไม้สำหรับปลูกบ้านนั้นก็ซื้อและขนส่งกันผ่านทางแม่น้ำทั้งสิ้น
ฉันเคยได้ฟังเพื่อนของย่าคนหนึ่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เล่าให้ฟังถึงการไปเฝ้าดักรอแผ่นไม้ที่ผูกเป็นแพล่องมาจาก เมืองสรรคบุรี จ.ชัยนาท มาตามลำน้ำน้อย มายังคนที่ซื้อแผ่นไม้เหล่านั้น และต้องไปนั่งเฝ้าดักรอกันอยู่ที่ริมน้ำ เมื่อไม้ลอยมาถึงหน้าท่าน้ำของตนเอง...ก็ว่ายน้ำไปลากไม้นั้นเข้ามา
ฉันยังจำได้ถึงภาพในวันหนึ่งของตนเองในวัยเด็กที่ต้องนั่งเรือไปโรงเรียน ชั้นเตรียม ป.1 ขณะทีกำลังรอเรือโรงเรียนที่จะผ่านมารับในตอนเช้านั้น ฉันเห็นบ้านของญาติใกล้ๆ กัน ทำการฆ่าควาย ฉันยืนมองด้วยความหวาดกลัว เมื่อเรือมาถึง ฉันจึงก้าวพลาดตกลงไปในน้ำ และต้องไปโรงเรียนทั้งชุดนักเรียนที่เปียกปอน...
การจัดบ้านของฉัน..หาได้เป็นไปรวดเร็วดังใจนึกไม่ เพราะในขณะที่หยิบจับสิ่งของสิ่งหนึ่งขึ้นมา ก็มีเรื่องราวของของสิ่งนั้นให้ได้คิดเสมอ และบ่อยครั้งที่ต้องหักเหไปค้นหาเรื่องราวของสิ่งของเหล่านั้น จนเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน เหลียวมาดูนาฬิกาอีกทีก็เป็นเวลาเย็นเสียแล้ว
นั่นเป็นบรรยากาศในการจัดบ้านของฉัน..
บางขณะ..ที่ฉันต้องออกคำสั่งกับตัวเองว่า "หยิบของบนโต๊ะนี้ ออกไปวางข้างนอกให้หมด แล้วเอากะละมังใส่น้ำกับผ้าขี้ริ้วมา"
การออกคำสั่งกับตัวเอง แล้วทำตามเช่นนี้ ช่วยให้การจัดบ้านของฉันรวดเร็วขึ้นมาได้บ้าง
การได้ปัดฝุ่นและทำความสะอาดข้าวของต่างๆ อันเป็นของของย่า..ทำให้ฉันหวนคิดถึงย่า...
ย่าเป็นผู้หญิงร่างสูงโปร่งนุ่งโจงกระเบนและกินหมาก ย่าเป็นคนสวยและมีความละเอียดละออ แบบคนโบราณ มักมีเพื่อนๆ ของย่าพากันพายเรือข้ามน้ำมาให้ย่าตัดผมและกันคิ้วให้อยู่เสมอ นั่นเป็นภาพที่ฉันเห็นเป็นประจำในวัยเด็ก
ส่วนปู่ หรือ "ก๋ง" ของฉันนั้นเป็นคนจีน ก๋งมากับเรือขายข้าวล่องผ่านแม่น้ำหน้าบ้านและได้มาพบย่า ด้วยคงเคยทำบุญร่วมกันมา ก๋งกับย่าจึงได้มาเป็นคู่ครองอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน
ก๋งเป็นคนจีนที่ขยันและซื่อสัตย์ ยามใดที่ไม่ได้ออกไปกับเรือ ก็ไม่เคยหยุดนิ่งหรืออยู่กับบ้านเฉยๆ..ในฤดูไหนมีอะไร ก๋งก็จะค้าขายสิ่งนั้น เมื่อขายหมดก็ซื้อของที่มีในทีหนึ่ง กลับมาขายในอีกที่หนึ่งซึ่งไม่มีของสิ่งนั้นๆ เสมอๆ
ก๋งเดินหาบของใส่กระชุไปขายยังต่างอำเภอไกลๆ..และเดินไปไกลถึงในตัวเมือง เมื่อถึงหน้าไหว้เจ้า ก๋งก็เอาไก่ใส่กระชุหาบไปขาย บางฤดูก็เที่ยวออกรับซื้อนุ่นเก่าๆ จากตามบ้านเรือน ไปขายอีกต่อหนึ่ง
ก๋งเคยพบสร้อยคอทองคำที่ถูกยัดซ่อนไว้ข้างในหมอนนุ่นที่ซื้อมา ด้วยความเป็นคนซื่อสัตย์ ก๋งนำสร้อยคอทองคำที่เจอในหมอนนั้น ไปส่งคืนยังเจ้าของบ้าน..
ในสมัยที่ก๋งยังอยู่นั้น พ่อและอา จะมีของกินดีๆ จากกรุงเทพฯ แตกต่างจากบ้านอื่นๆ เสมอ เป็นต้นว่ากุนเชียงอย่างดีพวงโตๆ..จากย่านคนจีนที่กรุงเทพฯ น้ำตาลปึกเป็นปี๊บๆ ที่ซื้อหามากักตุนไว้ ย่าจึงมีน้ำตาลทำขนมให้ลูกๆ กินและแจกจ่ายไม่ได้ขาด หมากเป็นทะลายๆ..ฯลฯ
ผ้าถุงผ้านุ่งของย่านั้น มักเป็นผ้าตกกรอ ใหม่เอี่ยม เวลาเดินจะมีเสียงดังพึ่บพั่บๆ อันเกิดจากความใหม่ของผ้าที่เสียดสีกันให้ได้ยินเสมอ พ่อและอาของฉันเติบโตมาท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ ที่ก๋งสรรหามาไว้ให้
แต่ก๋งเป็นคนที่ออกเดินทางบ่อยๆ ..ก๋งมักออกไปกับเรือค้าข้าวเป็นเวลานาน มีเรื่องเล่าจากอาของฉันว่า ก๋งติดฝิ่น..และเมื่อกลับมาบ้านก็ยังชอบไปสูบฝิ่นที่โรงฝิ่นในตลาดอยู่เสมอๆ
"เขาว่าสูบแล้วเขาขยัน...อาว่า" นั่นเป็นสิ่งซึ่งอาได้ยิน ก๋งพูดตอนที่อาเป็นเด็กๆ..
ทว่าก๋งของฉันมีอายุที่ไม่ยืนยาวนัก เพียงราวห้าสิบปี ก๋งก็จากไปด้วยการกินยาตาย..เพราะติดโรคร้าย ที่คาดว่าจะมาจากการเที่ยวหญิงโสเภณี
โรคร้ายนั้นทุกข์ทรมานและรักษาไม่หาย ก๋งมีแผลพุพองเต็มไปหมดทั้งลำตัว และเก็บตัวอยู่แต่ในกระท่อมหลังบ้าน..
การรักษาโรคสมัยนั้นได้แต่เพียงกินยาหม้อ หาหมอพระ..หมอผี จนกระทั่งวันหนึ่ง อาได้ยินก๋งบอกกับชายหนุ่มข้างบ้านคนหนึ่งว่า
"พรุ่งนี้ตอนสายๆ...ลื้อมาอุ้มอั๊วะออกไปด้วยนะ" และโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่ออานำอาหารไปให้ ก็พบว่า ก๋งได้ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายจากโรคอันทุกข์ทรมานไปเสียแล้ว..
ก๋งจากไปตั้งแต่พ่อเพิ่งเริ่มหนุ่ม..เรื่องราวของก๋ง เป็นเรื่องที่ถูกปิดบัง ย่าไม่ได้บอกพ่อ ซึ่งไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ ฉันได้มารับรู้เรื่องของก๋ง ก็จากอา น้องสาวของพ่อผู้ซึ่งอยู่กับบ้านมาตลอด..
ตอนเป็นเด็กฉันเคยถามเรื่องก๋งกับพ่อ ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรมากมายนัก..ส่วนย่าก็ไม่เคยพูดถึงก๋งให้ฉันได้ยินเลยแม้แต่น้อยนิด...
ในทุกวันนี้เมื่อฉันได้มีโอกาสผ่านไปยังตึกเก่าๆ โกดังเก่าๆ ร้านรวงเก่าแก่ หรือโรงแรมเก่าๆ ในย่านของคนจีนที่กรุงเทพฯ ฉันก็มักจะคิดไปถึงก๋งเสมอ.. ว่าก๋งอาจเคยมาที่นี่ หรือก๋งคงเคยผ่านมาแถวนี้
แม้ฉันจะไม่เคยได้พบหน้าก๋ง..ผู้ซึ่งเป็นชายชาวจีนที่ล่องเรือมาจากเมืองจีน แต่ฉันก็รู้สึกรักและผูกพันธ์ รู้สึกเศร้าใจในชะตากรรมของก๋ง ที่ฉันได้รับรู้เป็นยิ่งนัก...
และก็เป็นเรื่องแปลก ฉันซึ่งเป็นผู้หญิงแต่กลับมีความสนอกสนใจ ในเรื่องของการสูบฝิ่น มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องของก๋ง
เมื่อแรกที่ฉันได้เห็นเสื่อสูบฝิ่น ซึ่งสานจากแผ่นไม้ไผ่อันแบนบาง ด้วยความประณีต ฉันจับใจในความงามของเสื่อผืนนั้นเป็นยิ่งนัก
นอกจากนั้นฉันยังชอบที่สูบฝิ่น ฉันชอบเพราะว่ามันสวย..ฉันมองว่ามันเป็นเครื่องมือสูบสิ่งอันเป็นภัยต่อร่างกายที่ช่างสวยงามเหลือเกิน ราวกับจะปกปิดบิดเบือนในพิษร้ายของมันด้วยความงามนั้น...
ที่สูบฝิ่นบางอันเป็นรูปผีเสื้อ บางอันก็เป็นรูปดอกไม้ รูปทรงเป็นกิ่งก้านยาว และเรียวบางดังรูปทรงของนางหงส์
และในช่วงเป็นวัยรุ่นฉันก็ไปยืนมองเทวรูปเชี่ยวกาง ที่มีปากเป็นสีดำด้วยรอยป้ายจากฝิ่น ในการแก้บนของคนโบราณ
ฉันไปยืนมองเทวรูปที่บานประตูวัดบวรนิเวศน์วิหาร ด้วยความรู้สึกหลงใหล...
ลึกไปกว่านั้นฉันยังมีความสนใจในเรื่องราวของหญิงโสเภณีโบราณ..ฉันมักค้นหาเรื่องราวของพวกเธอมาอ่านเป็นความรู้เสมอๆ
ยิ่งค้นเจอเรื่องราวเก่าๆ ลงไปมากเท่าไร นั่นกลับเป็นของใหม่ที่ตื่นเต้นในการได้รับรู้สำหรับฉันเสมอ..ฉันคิดว่าเรื่องราวของพวกเธอมันเป็นเสมือนเรื่องราวอันมีมนต์เสน่ห์ที่แฝงไปด้วยการบดบังของม่านหมอกสีเทาจางๆ เป็นความมีเสน่ห์อันแฝงไปด้วยยาพิษ
ในขณะเดียวกันฉันกลับไม่ชอบที่จะรับรู้เรื่องราวตามความเป็นจริงของหญิงโสเภณีในยุคปัจจุบัน ฉันเคยไปเดินดูหญิงโสเภณีตามถนนหนทางต่างๆ..ฉันพบว่าตัวเองรู้สึกเศร้าและรันทด และฉันไม่มีความฝันเกี่ยวกับพวกเธอเอาเสียเลย.
ฉันชอบเพียงที่จะแค่นึกฝัน ค้นหาชีวิตและความเป็นอยู่ สนใจในอากับกิริยาของหญิงโสเภณีโบราณที่อ่านพบเพียงเท่านั้น
ฉันคิดถึงงานปั้นของตัวเองในอดีตที่เคยปั้นผ่านมาหลายต่อหลายชิ้น ในงานปั้นที่ปรากฏเป็นที่สูบฝิ่นและโสเภณี หนึ่งในที่สูบฝิ่นอันที่ฉันชอบที่สุด ฉันได้ปิดทองเปลวที่ปาก และบนดอกไม้ที่ทัดหูในงานชิ้นนั้น แล้วมอบมันให้กับงานประมูลหารายได้เพื่อสร้างวัดไทยในต่างประเทศ โดยมีหนุ่มไฮโซผู้หนึ่งเป็นผุ้ประมูลได้ไป
ฉันรู้สึกดีใจและมีความสุขมาก ที่มีคนชอบมัน และมันยังเป็นหนทางให้ฉันได้มีโอกาสทำบุญทำกุศลอีกด้วย
ฉันปั้นที่สูบฝิ่นเหล่านั้นขึ้นมาโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาสูบกันอย่างไร เวลานั้นฉันยังอยู่ที่เชียงใหม่ ฉันไปเดินหาดูที่สูบฝิ่นในร้านขายของเก่าย่านถนนลอยเคราะห์ เมื่อฉันเห็น ฉันหยิบมันขึ้นมาดูแล้วสอบถามขอความรู้จากเจ้าของร้าน ฉันนำเอาคำบอกเล่าจากเจ้าของร้านนั้นมาทำเป็นงาน
หญิงสาวกับที่สูบฝิ่นในแบบของฉัน ฉันขุดด้านในจนเป็นท่อกลวง เพื่อเป็นทางเดินระบายของอากาศ ปั้นกระเปาะเล็กๆ..เพื่อเอาไว้ใส่เครื่องยา..และจุดไฟ..
สองวันในการจัดบ้านหลังสงกรานต์ของฉัน..เป็นสองวันที่ได้หยิบจับสิ่งของแต่ละอย่างขึ้นมา แล้วเห็นไปถึงเรื่องราวของมัน..เรื่องของย่า..เรื่องของก๋ง
ในสิ่งของแต่ละอย่างนั้นมีที่มาความเป็นไปของมันซ่อนอยู่เสมอ.. ฉันได้ใคร่ครวญถึงความสนใจในสิ่งลึกลับที่ตนเองไม่เคยได้สัมผัส ทั้งฝิ่นและโสเภณี และมันยังคงเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันสนใจได้เสมอ..ตราบใดที่ฉันยังไม่รู้จักมัน
บางที...บางที และบางที การถูกต้องห้ามสำหรับอะไรบางอย่าง กลับเป็นชนวนให้เรากลับอยากรู้อยากเห็นในสิ่งเหล่านั้น...
ภาพถ่ายโดย : มณีดิน และเกรียงไกร ไวยกิจ
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
หลังเทศกาลสงกรานต์ที่มีอากาศร้อนระอุ ได้ผ่านพ้นไป ฉันเริ่มทำการจัดบ้านใหม่อีกครั้ง..
ในการจัดบ้านของฉัน พบสิ่งของกระจุกกระจิกหลายสิ่งหลายอย่างที่เมื่อหยิบขึ้นมามองแล้วก็ถามตัวเองว่า จะยังคงใช้ประโยชน์อะไรจากมันอยู่หรือไม่...และตอบตัวเองด้วยคำว่า "ทิ้งนะ..?? " อยู่หลายต่อหลายครั้ง
ฉันหยิบมันขึ้นมาทีละอย่างสองอย่างจากในตู้.. แล้วเดินเอาออกไปวางไว้ที่นอกชาน มีตั้งแต่ตุ๊กตาผ้าที่เก่าและขาด เชิงเทียน ที่ปักธูปที่ซื้อมาแล้วก็ไมเคยได้ใช้ กล่องโลหะเล็กๆ ที่ชอบเก็บไว้ เศษกระดาษที่ปรากฏลายมือเขียนเป็นตัวอักษรสื่อความ..สร้อยคอของ “สำลี” สุนัขแสนรักของฉันซึ่งได้จากไปแล้ว สบู่ก้อนที่เคยใช้ถูตัวตอนอาบน้ำให้สำลี ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยที่เคยใช้เช็ดหน้าเช็ดตัวให้สำลีตอนที่ป่วยหนัก สายจูง
โดยเฉพาะสร้อยหนังที่เคยห้อยคอสำลีอยู่เป็นประจำนั้น ยังคงมีกลิ่นยังคงมีกลิ่นอับๆ เหมือนกับผ้าที่ตากค้างคืน ฝังอยู่ในสร้อยนั้น แต่สิ่งของอะไรที่เกี่ยวกับสำลีนั้น ฉันจะไม่มีทางเอาไปทิ้งเป็นอันขาด ถึงแม้ว่ามันจะทำให้ผงะเล็กน้อยเมื่อตอนที่เปิดตู้มา แล้วพบว่ากลิ่นอันอับชื้นนั้นได้ปะทะเข้ากับจมูกก็ตาม..
ฉันหวนนึกถึงย่า..ตอนที่ย่าได้จากไปแล้วนั้น ฉันได้ไปหยิบห่อของๆย่า ซึ่งไม่ใช่สิ่งของมีค่าอันใด เป็นของจำพวกกระเป๋าถัก จดหมายจากเพื่อน..และจดหมายจากลูก..หนังสือธรรมะเล่มน้อย..สมุดจดหลักฐานการบริจาคเงินทำบุญ..สมุดจดจำนวนเงินที่ให้คนยืมไป..รูปถ่าย..ใบเกิดของลูก สร้อยแสตนเลสและพระห้อยคอ กรรไกรตัดผมและใบมีดโกน..
ย่าได้ห่อสิ่งของเหล่านี้ไว้ในกระดาษหนังสือพิมพ์แล้วมัดด้วยเชือกฟาง ซ้ำยังมีเศษกระดาษแผ่นน้อยที่เขียนไว้ด้วยลายมือของย่าสำทับไว้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า "ใครอย่าเอาของฉันไปทิ้งนะ"
สิ่งของเหล่านี้ของย่าได้ถูกวางอยู่ในมุมเก็บของสัพเพเหระ อยู่ในมุมหนึ่งที่ข้างบ้านของพ่อ มานานหลายปีนับแต่ย่าจากไป..และคงวางอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเมื่อฉันกลับมา สิ่งของเหล่านั้นจึงได้ถูกนำมาเก็บไว้ที่บ้านของฉัน..และฉันไม่ได้ทิ้งของของย่าเลยแม้เพียงอย่างเดียว
การจัดบ้าน เป็นกิจวัตรที่ฉันต้องทำอยู่บ่อยๆ เสมอๆ..เพราะการหยิบจับสิ่งของในแต่ละวัน บ้างก็ผิดที่ผิดทาง ข้าวของที่เคยวางอยู่ในครัวข้างล่างก็ระเห็ดมาอยู่ข้างบน..ข้าวของจากข้างบนก็ลงไปอยู่ข้างล่าง
โต๊ะนั่งกินกาแฟเต็มไปด้วยข้าวของที่กองสุมจนไม่เหลือพื้นที่ใช้สอยอันเป็นจุดประสงค์ดั้งเดิมของมัน..
บ้านของฉันเป็นบ้านไม้ผสมคอนกรีต ห้องนอนของฉันเป็นห้องไม้ที่ทาด้วยสีรักษาเนื้อไม้สีดำ เตียงนอนนั้นก็เป็นของย่า..ฉันพบมันเป็นกองไม้ที่ถูกมัดรวมกันอยู่ที่บ้านของพ่อ มันเป็นเตียงไม้ที่ถอดออกและประกอบใหม่ได้ ฉันเคยเห็นมันตั้งแต่เป็นเด็ก..
ในตอนนั้นมันเป็นเตียงที่ไม่มีใครนอน ย่ากับฉันและหลานซึ่งเป็นลูกของอาอีกสองคน มักปูเสื่อแล้วกางมุ้งนอนกันอยู่บนพื้นบ้าน
อาเล่าว่าย่าซื้อเตียงนี้ไว้จากเรือที่ล่องมาขายเตียงที่ริมชายท่าน้ำหน้าบ้าน บ้านของของย่าอยู่ริมน้ำ การซื้อของตั้งแต่กับข้าว จนกระทั่งไม้สำหรับปลูกบ้านนั้นก็ซื้อและขนส่งกันผ่านทางแม่น้ำทั้งสิ้น
ฉันเคยได้ฟังเพื่อนของย่าคนหนึ่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่ เล่าให้ฟังถึงการไปเฝ้าดักรอแผ่นไม้ที่ผูกเป็นแพล่องมาจาก เมืองสรรคบุรี จ.ชัยนาท มาตามลำน้ำน้อย มายังคนที่ซื้อแผ่นไม้เหล่านั้น และต้องไปนั่งเฝ้าดักรอกันอยู่ที่ริมน้ำ เมื่อไม้ลอยมาถึงหน้าท่าน้ำของตนเอง...ก็ว่ายน้ำไปลากไม้นั้นเข้ามา
ฉันยังจำได้ถึงภาพในวันหนึ่งของตนเองในวัยเด็กที่ต้องนั่งเรือไปโรงเรียน ชั้นเตรียม ป.1 ขณะทีกำลังรอเรือโรงเรียนที่จะผ่านมารับในตอนเช้านั้น ฉันเห็นบ้านของญาติใกล้ๆ กัน ทำการฆ่าควาย ฉันยืนมองด้วยความหวาดกลัว เมื่อเรือมาถึง ฉันจึงก้าวพลาดตกลงไปในน้ำ และต้องไปโรงเรียนทั้งชุดนักเรียนที่เปียกปอน...
การจัดบ้านของฉัน..หาได้เป็นไปรวดเร็วดังใจนึกไม่ เพราะในขณะที่หยิบจับสิ่งของสิ่งหนึ่งขึ้นมา ก็มีเรื่องราวของของสิ่งนั้นให้ได้คิดเสมอ และบ่อยครั้งที่ต้องหักเหไปค้นหาเรื่องราวของสิ่งของเหล่านั้น จนเวลาผ่านไปครึ่งค่อนวัน เหลียวมาดูนาฬิกาอีกทีก็เป็นเวลาเย็นเสียแล้ว
นั่นเป็นบรรยากาศในการจัดบ้านของฉัน..
บางขณะ..ที่ฉันต้องออกคำสั่งกับตัวเองว่า "หยิบของบนโต๊ะนี้ ออกไปวางข้างนอกให้หมด แล้วเอากะละมังใส่น้ำกับผ้าขี้ริ้วมา"
การออกคำสั่งกับตัวเอง แล้วทำตามเช่นนี้ ช่วยให้การจัดบ้านของฉันรวดเร็วขึ้นมาได้บ้าง
การได้ปัดฝุ่นและทำความสะอาดข้าวของต่างๆ อันเป็นของของย่า..ทำให้ฉันหวนคิดถึงย่า...
ย่าเป็นผู้หญิงร่างสูงโปร่งนุ่งโจงกระเบนและกินหมาก ย่าเป็นคนสวยและมีความละเอียดละออ แบบคนโบราณ มักมีเพื่อนๆ ของย่าพากันพายเรือข้ามน้ำมาให้ย่าตัดผมและกันคิ้วให้อยู่เสมอ นั่นเป็นภาพที่ฉันเห็นเป็นประจำในวัยเด็ก
ส่วนปู่ หรือ "ก๋ง" ของฉันนั้นเป็นคนจีน ก๋งมากับเรือขายข้าวล่องผ่านแม่น้ำหน้าบ้านและได้มาพบย่า ด้วยคงเคยทำบุญร่วมกันมา ก๋งกับย่าจึงได้มาเป็นคู่ครองอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกัน
ก๋งเป็นคนจีนที่ขยันและซื่อสัตย์ ยามใดที่ไม่ได้ออกไปกับเรือ ก็ไม่เคยหยุดนิ่งหรืออยู่กับบ้านเฉยๆ..ในฤดูไหนมีอะไร ก๋งก็จะค้าขายสิ่งนั้น เมื่อขายหมดก็ซื้อของที่มีในทีหนึ่ง กลับมาขายในอีกที่หนึ่งซึ่งไม่มีของสิ่งนั้นๆ เสมอๆ
ก๋งเดินหาบของใส่กระชุไปขายยังต่างอำเภอไกลๆ..และเดินไปไกลถึงในตัวเมือง เมื่อถึงหน้าไหว้เจ้า ก๋งก็เอาไก่ใส่กระชุหาบไปขาย บางฤดูก็เที่ยวออกรับซื้อนุ่นเก่าๆ จากตามบ้านเรือน ไปขายอีกต่อหนึ่ง
ก๋งเคยพบสร้อยคอทองคำที่ถูกยัดซ่อนไว้ข้างในหมอนนุ่นที่ซื้อมา ด้วยความเป็นคนซื่อสัตย์ ก๋งนำสร้อยคอทองคำที่เจอในหมอนนั้น ไปส่งคืนยังเจ้าของบ้าน..
ในสมัยที่ก๋งยังอยู่นั้น พ่อและอา จะมีของกินดีๆ จากกรุงเทพฯ แตกต่างจากบ้านอื่นๆ เสมอ เป็นต้นว่ากุนเชียงอย่างดีพวงโตๆ..จากย่านคนจีนที่กรุงเทพฯ น้ำตาลปึกเป็นปี๊บๆ ที่ซื้อหามากักตุนไว้ ย่าจึงมีน้ำตาลทำขนมให้ลูกๆ กินและแจกจ่ายไม่ได้ขาด หมากเป็นทะลายๆ..ฯลฯ
ผ้าถุงผ้านุ่งของย่านั้น มักเป็นผ้าตกกรอ ใหม่เอี่ยม เวลาเดินจะมีเสียงดังพึ่บพั่บๆ อันเกิดจากความใหม่ของผ้าที่เสียดสีกันให้ได้ยินเสมอ พ่อและอาของฉันเติบโตมาท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์ ที่ก๋งสรรหามาไว้ให้
แต่ก๋งเป็นคนที่ออกเดินทางบ่อยๆ ..ก๋งมักออกไปกับเรือค้าข้าวเป็นเวลานาน มีเรื่องเล่าจากอาของฉันว่า ก๋งติดฝิ่น..และเมื่อกลับมาบ้านก็ยังชอบไปสูบฝิ่นที่โรงฝิ่นในตลาดอยู่เสมอๆ
"เขาว่าสูบแล้วเขาขยัน...อาว่า" นั่นเป็นสิ่งซึ่งอาได้ยิน ก๋งพูดตอนที่อาเป็นเด็กๆ..
ทว่าก๋งของฉันมีอายุที่ไม่ยืนยาวนัก เพียงราวห้าสิบปี ก๋งก็จากไปด้วยการกินยาตาย..เพราะติดโรคร้าย ที่คาดว่าจะมาจากการเที่ยวหญิงโสเภณี
โรคร้ายนั้นทุกข์ทรมานและรักษาไม่หาย ก๋งมีแผลพุพองเต็มไปหมดทั้งลำตัว และเก็บตัวอยู่แต่ในกระท่อมหลังบ้าน..
การรักษาโรคสมัยนั้นได้แต่เพียงกินยาหม้อ หาหมอพระ..หมอผี จนกระทั่งวันหนึ่ง อาได้ยินก๋งบอกกับชายหนุ่มข้างบ้านคนหนึ่งว่า
"พรุ่งนี้ตอนสายๆ...ลื้อมาอุ้มอั๊วะออกไปด้วยนะ" และโดยที่ไม่มีใครคาดคิด ในเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่ออานำอาหารไปให้ ก็พบว่า ก๋งได้ดื่มยาพิษฆ่าตัวตายจากโรคอันทุกข์ทรมานไปเสียแล้ว..
ก๋งจากไปตั้งแต่พ่อเพิ่งเริ่มหนุ่ม..เรื่องราวของก๋ง เป็นเรื่องที่ถูกปิดบัง ย่าไม่ได้บอกพ่อ ซึ่งไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ ฉันได้มารับรู้เรื่องของก๋ง ก็จากอา น้องสาวของพ่อผู้ซึ่งอยู่กับบ้านมาตลอด..
ตอนเป็นเด็กฉันเคยถามเรื่องก๋งกับพ่อ ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไรมากมายนัก..ส่วนย่าก็ไม่เคยพูดถึงก๋งให้ฉันได้ยินเลยแม้แต่น้อยนิด...
ในทุกวันนี้เมื่อฉันได้มีโอกาสผ่านไปยังตึกเก่าๆ โกดังเก่าๆ ร้านรวงเก่าแก่ หรือโรงแรมเก่าๆ ในย่านของคนจีนที่กรุงเทพฯ ฉันก็มักจะคิดไปถึงก๋งเสมอ.. ว่าก๋งอาจเคยมาที่นี่ หรือก๋งคงเคยผ่านมาแถวนี้
แม้ฉันจะไม่เคยได้พบหน้าก๋ง..ผู้ซึ่งเป็นชายชาวจีนที่ล่องเรือมาจากเมืองจีน แต่ฉันก็รู้สึกรักและผูกพันธ์ รู้สึกเศร้าใจในชะตากรรมของก๋ง ที่ฉันได้รับรู้เป็นยิ่งนัก...
และก็เป็นเรื่องแปลก ฉันซึ่งเป็นผู้หญิงแต่กลับมีความสนอกสนใจ ในเรื่องของการสูบฝิ่น มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ยังไม่รู้เรื่องของก๋ง
เมื่อแรกที่ฉันได้เห็นเสื่อสูบฝิ่น ซึ่งสานจากแผ่นไม้ไผ่อันแบนบาง ด้วยความประณีต ฉันจับใจในความงามของเสื่อผืนนั้นเป็นยิ่งนัก
นอกจากนั้นฉันยังชอบที่สูบฝิ่น ฉันชอบเพราะว่ามันสวย..ฉันมองว่ามันเป็นเครื่องมือสูบสิ่งอันเป็นภัยต่อร่างกายที่ช่างสวยงามเหลือเกิน ราวกับจะปกปิดบิดเบือนในพิษร้ายของมันด้วยความงามนั้น...
ที่สูบฝิ่นบางอันเป็นรูปผีเสื้อ บางอันก็เป็นรูปดอกไม้ รูปทรงเป็นกิ่งก้านยาว และเรียวบางดังรูปทรงของนางหงส์
และในช่วงเป็นวัยรุ่นฉันก็ไปยืนมองเทวรูปเชี่ยวกาง ที่มีปากเป็นสีดำด้วยรอยป้ายจากฝิ่น ในการแก้บนของคนโบราณ
ฉันไปยืนมองเทวรูปที่บานประตูวัดบวรนิเวศน์วิหาร ด้วยความรู้สึกหลงใหล...
ลึกไปกว่านั้นฉันยังมีความสนใจในเรื่องราวของหญิงโสเภณีโบราณ..ฉันมักค้นหาเรื่องราวของพวกเธอมาอ่านเป็นความรู้เสมอๆ
ยิ่งค้นเจอเรื่องราวเก่าๆ ลงไปมากเท่าไร นั่นกลับเป็นของใหม่ที่ตื่นเต้นในการได้รับรู้สำหรับฉันเสมอ..ฉันคิดว่าเรื่องราวของพวกเธอมันเป็นเสมือนเรื่องราวอันมีมนต์เสน่ห์ที่แฝงไปด้วยการบดบังของม่านหมอกสีเทาจางๆ เป็นความมีเสน่ห์อันแฝงไปด้วยยาพิษ
ในขณะเดียวกันฉันกลับไม่ชอบที่จะรับรู้เรื่องราวตามความเป็นจริงของหญิงโสเภณีในยุคปัจจุบัน ฉันเคยไปเดินดูหญิงโสเภณีตามถนนหนทางต่างๆ..ฉันพบว่าตัวเองรู้สึกเศร้าและรันทด และฉันไม่มีความฝันเกี่ยวกับพวกเธอเอาเสียเลย.
ฉันชอบเพียงที่จะแค่นึกฝัน ค้นหาชีวิตและความเป็นอยู่ สนใจในอากับกิริยาของหญิงโสเภณีโบราณที่อ่านพบเพียงเท่านั้น
ฉันคิดถึงงานปั้นของตัวเองในอดีตที่เคยปั้นผ่านมาหลายต่อหลายชิ้น ในงานปั้นที่ปรากฏเป็นที่สูบฝิ่นและโสเภณี หนึ่งในที่สูบฝิ่นอันที่ฉันชอบที่สุด ฉันได้ปิดทองเปลวที่ปาก และบนดอกไม้ที่ทัดหูในงานชิ้นนั้น แล้วมอบมันให้กับงานประมูลหารายได้เพื่อสร้างวัดไทยในต่างประเทศ โดยมีหนุ่มไฮโซผู้หนึ่งเป็นผุ้ประมูลได้ไป
ฉันรู้สึกดีใจและมีความสุขมาก ที่มีคนชอบมัน และมันยังเป็นหนทางให้ฉันได้มีโอกาสทำบุญทำกุศลอีกด้วย
ฉันปั้นที่สูบฝิ่นเหล่านั้นขึ้นมาโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาสูบกันอย่างไร เวลานั้นฉันยังอยู่ที่เชียงใหม่ ฉันไปเดินหาดูที่สูบฝิ่นในร้านขายของเก่าย่านถนนลอยเคราะห์ เมื่อฉันเห็น ฉันหยิบมันขึ้นมาดูแล้วสอบถามขอความรู้จากเจ้าของร้าน ฉันนำเอาคำบอกเล่าจากเจ้าของร้านนั้นมาทำเป็นงาน
หญิงสาวกับที่สูบฝิ่นในแบบของฉัน ฉันขุดด้านในจนเป็นท่อกลวง เพื่อเป็นทางเดินระบายของอากาศ ปั้นกระเปาะเล็กๆ..เพื่อเอาไว้ใส่เครื่องยา..และจุดไฟ..
สองวันในการจัดบ้านหลังสงกรานต์ของฉัน..เป็นสองวันที่ได้หยิบจับสิ่งของแต่ละอย่างขึ้นมา แล้วเห็นไปถึงเรื่องราวของมัน..เรื่องของย่า..เรื่องของก๋ง
ในสิ่งของแต่ละอย่างนั้นมีที่มาความเป็นไปของมันซ่อนอยู่เสมอ.. ฉันได้ใคร่ครวญถึงความสนใจในสิ่งลึกลับที่ตนเองไม่เคยได้สัมผัส ทั้งฝิ่นและโสเภณี และมันยังคงเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันสนใจได้เสมอ..ตราบใดที่ฉันยังไม่รู้จักมัน
บางที...บางที และบางที การถูกต้องห้ามสำหรับอะไรบางอย่าง กลับเป็นชนวนให้เรากลับอยากรู้อยากเห็นในสิ่งเหล่านั้น...
ภาพถ่ายโดย : มณีดิน และเกรียงไกร ไวยกิจ
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews