แม้จะไม่โด่งดังมีชื่อเสียงในแวดวงสังคมไฮโซเหมือนคนอื่นแต่ นพพล เตชะพันธ์งาม เจเนอเรชันที่ 2 ของธุรกิจผลิตที่นอนและเครื่องนอนแบรนด์ “สปริงเมท” และ “เซเนเทล” ก็ถือเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีบทบาทน่าจับตามองคนหนึ่ง ที่องค์กรช่วยเหลือสังคมของสหรัฐอเมริกา "เน็กซ์ซัส" จัดให้เขาติด 1 ใน 30 นักธุรกิจรุ่นเยาว์ผู้มั่งคั่งของเมืองไทย
ต้น-นพพล เป็นลูกชายคนโตของ สมชาย-รัตนา เตชะพันธ์งาม ปัจจุบันนั่งเก้าอี้รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท สมพลเบดดิ้ง แอนด์ แมทเทรส อินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตเครื่องนอน Springmate
หนุ่มนัยน์ตาหยีหน้าใสที่รับหน้าที่เชื่อมต่อธุรกิจที่นอนแบรนด์ดังของครอบครัวเล่าว่า หลังจบมัธยมปลายเขาถูกส่งไปร่ำเรียนที่ประเทศอังกฤษ โดยจบปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาฟิสิกส์-ทฤษฎีฟิสิกส์ คณะวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ และอนุปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เมื่อกลับถึงไทยก็มาเริ่มงานแรกที่บริษัทในตำแหน่งพัฒนาธุรกิจและภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์
กว่า 10 ปีที่เข้ามาทำงาน เขาพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานทุกอย่าง เพื่อให้รู้เท่าทันถึงปัญหาต่างๆ และยังถูกท้าทายกับยุคที่เศรษฐกิจซบเซาจากผลกระทบปัญหาทางการเมืองไทยอีกด้วย แต่ด้วยวิสัยทัศน์บวกกับความทะเยอทะยานในการทำงาน ทำให้เขาฝ่าฟันอุปสรรคมาได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถขยายองค์กร โดยเพิ่มแบรนด์สินค้าคุณภาพใหม่ “สปริงเมท” เจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์โดยผ่านกลุ่มโรงแรมรีสอร์ทชื่อดังอย่างซิกเซ้นท์ โรงแรม และโรงพยาบาลชื่อดังมากมาย ซึ่งเขาเองยอมรับว่าส่วนหนึ่งมาจากพนักงานที่อยู่กันมานาน ทำให้รู้ใจกัน สามารถขยายตลาดได้เร็ว
อย่างไรก็ตามในฐานะผู้บริหารอายุน้อย หนุ่มต้นยอมรับว่าการทำงานที่ผ่านมาก็มีปัญหาบ้างเล็กน้อย นั่นอาจเป็นเพราะประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ยังน้อยนักเมื่อเทียบกับผู้บริหารขององค์กรอื่นๆ ดังนั้นเขาจึงหาเวลาเปิดโลกทัศน์ให้ตัวเองตลอดเวลาด้วยการหาความรู้เพิ่มเติม อีกทั้งหาทางเรียนรู้คนบนโลกใบนี้ด้วยการพบปะผู้คนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเขาอีกด้วย โดยปลายปีที่ผ่านมา “ต้น” ไปสมัครและได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของ เน็กซ์ซัสประเทศไทย (Nexus Thailand) เพื่อเรียนรู้การช่วยสังคมผ่านธุรกิจที่ทำอยู่
“เน็กซ์ซัส” เป็นองค์กรช่วยเหลือสังคมของสหรัฐอเมริกา สมาชิกจะต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ มีธุรกิจส่วนตัวและต้องพื้นฐานเป็นที่ยอมรับในสังคม ต้องเป็นนักลงทุนผู้มั่งคั่งรุ่นใหม่ที่มีทรัพย์สินคิดเป็นเงินไทยไม่ต้ำกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป และต้องมีจิตอาสาเพื่อสังคม ปัจจุบันเน็กซ์ซัสมีสมาชิกมากกว่า 2,000 คนจาก 60 ประเทศทั่วโลก
“เน็กซ์ซัสไทยแลนด์เพิ่งก่อตั้งเมื่อปีที่ผ่านมาครับ ของไทยมีสมาชิกประมาณ 30คน ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่อยากช่วยเหลือสังคม จะมีการประชุมกันทุกเดือน อัพเดทความเคลื่อนไหวของแต่ละคนว่าอยากทำอะไรที่เป็นการช่วยเหลือสังคม ซึ่งการช่วยสังคมตรงนี้ ไม่ใช่เอาเงินไปช่วยอย่างเดียวนะครับ แต่เขาจะให้เราคิดว่าธุรกิจที่เราทำอยู่จะทำอะไรที่ช่วยให้เกิดประโยชน์กับสังคมได้บ้าง อย่างล่าสุด สำหรับ “สปริงเมท” เอง เราก็มีการจัดโปรโมชั่นคืนกำไรให้สู่สังคม โดยเรามีการบริจาคที่นอนปิกนิก 1 ชิ้นให้กับผู้ยากไร้เมื่อมีผู้ซื้อที่นอนกับเรา 1 ที่ครับ” ต้นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ต้น บอกว่า เรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมเป็นประเด็นที่เขาให้ความสนใจ โดยหลังจากที่ได้อ่านบทความของ “เจฟฟรี่ ซาคส์” นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่เขียนถึงการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อลดความไม่เท่าเทียมกันในสังคมเมื่อกว่า 12 ปีที่แล้ว เขาได้ย้อนมองสภาพสังคมรอบข้างว่ามีความไม่เท่าเทียมกันมากขนาดไหน
"ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่นะครับ ผมอยากเห็นความเสมอภาคให้ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่มีการแบ่งแยกซึ่งเรื่องแรกไม่ยาก เพราะบริษัทมีกองทุนเงินสำรองเลี้ยงชีพ ประกันสุขภาพ ประกันสังคมให้พนักงานทุกคนอยู่แล้ว แต่เรื่องการจะปรับทัศนคติ ไม่ให้มีการแบ่งแยก ให้คน 2 กลุ่มที่มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่ต่างกันรวมกันเป็นเนื้อเดียวกันได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ ผมรู้สึกเป็นสิ่งท้าทายมาก ผมต้องเรียนรู้ว่าเขาชอบอะไรเราก็จัดให้ อย่างปีใหม่จัดงานสังสรรค์มีการแสดงให้ทุกคนมีส่วนร่วม ทุกคนก็สนุกสนานร่วมมือกันดีมาก ทุกคนที่นี่อยู่กันอย่างครอบครัวเดียวกันมีอะไรก็ช่วยเหลือกัน”
ทายาทเครื่องนอนดัง นพพล เตชะพันธ์งาม ยังกล่าวทิ้งท้ายถึงมุมมองในการช่วยเหลือสังคมของเขาว่า ไม่จำเป็นต้องร่ำรวย ไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจดังเพียงแค่คิดว่าจะทำอะไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาตินั้น ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว