xs
xsm
sm
md
lg

สุรภี กรรณสูต 47 ปีกับภารกิจทูตวัฒนธรรมไทย-อังกฤษ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>“แม้เราจะอยู่ต่างประเทศแต่เราไม่เคยลืมเมืองไทย เรารักเมืองไทย ยิ่งกว่าคนบางคนที่ลืมบุญคุณประเทศไทยซะอีก” ประโยคหนึ่งในบทสนทนาที่เราได้พูดคุยกับ “สุรภี กรรณสูต” น้องสาวต่างมารดาของ “สุรางค์ เปรมปรีดิ์” อดีตเจ้าแม่ช่อง 7 สี ซึ่งตลอดกว่า 40 ปีที่เธอไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดน ไม่ว่าสิ่งไหนที่สามารถทำเพื่อประเทศไทยได้ เธอยินดีทำโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย!

สำหรับ “สุรภี” หรือ “มุทิตา กรรณสูต” เราอาจไม่ค่อยคุ้นหน้าค่าตาเธอ หากแต่ถ้าเป็นคนไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษนั้น ทุกคนจะรู้จักเธอเป็นอย่างดี เพราะเธอเป็นคนไทยในยุคแรกๆ ที่ไปใช้ชีวิตบุกเบิกทำธุรกิจอยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารไทย “สยาม” ค่ายมวยไทย และแหล่งแฮงเอาต์ของคนทำงานในสไตล์ไทยๆ เรียกได้ว่าเธอคือเจ้าแม่แบงค็อกประจำลอนดอนเลยทีเดียว จนกระทั่งปัจจุบันเธอก็ยังทำร้านอาหารชื่อ “นาวาไทย” และร้าน “Hamilton Arms” เป็นแหล่งสังสรรค์พบปะทั้งคนไทยและต่างชาติ

เธอยังเป็นผู้ที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยก่อตั้งมูลนิธิ “มุทิตา” จดทะเบียนที่ประเทศสหราชอาณาจักร เพื่อช่วยเหลือปกป้องสิทธิของเยาวชนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กผู้หญิงในเขตชนบทของไทยเพื่อแก้ปัญหาโสเภณีเด็ก นอกจากนี้ยังดำรงตำแหน่งประธานสมาคมธุรกิจไทยในสหราชอาณาจักร และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันสินค้าจากประเทศไทย เนื่องจากทำงานด้านการกุศลอยู่เสมอ จึงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์อีกด้วย

การกลับมาเยือนบ้านเกิดของเธอในครั้งนี้ เธอให้เกียรติกับ Celeb Online มาเล่าถึงความรักชาติ ภารกิจเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้คนต่างชาติรู้จัก และการเป็นผู้สนับสนุนในการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ จากธรรมะให้กับเพื่อนร่วมโลก อีกทั้งยังพาลูกสาวทั้ง 2 คนที่ช่วยเหลือคุณแม่เสมอในทุกๆ เรื่องมาพูดคุยถึงอุดมการณ์ในการทำงานเพื่อสังคมกับเราด้วย

แนะนำเมืองไทยให้คนรู้จัก
จุดเริ่มต้นที่เธอเริ่มไปใช้ชีวิตต่างแดนนั้นเริ่มตั้งแต่ตอนอายุ 30 ด้วยเหตุผลทางสุขภาพ นำไปสู่การเป็นทูตวัฒนธรรมที่อยากให้ใครๆ รู้จักประเทศไทย และเป็นผู้สร้างคอมมูนิตี้ของคนไทยในลอนดอนให้ช่วยเหลือเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน
“ตอนนั้นไม่สบายเป็นโรคทาลัสซีเมีย ซึ่งหมอบอกว่าต้องไปอยู่ประเทศที่อากาศหนาวเย็น คุณพ่อคุณแม่ก็ส่งไปอยู่ที่อังกฤษ แล้วเราก็ได้เจอคนหลากหลายมาก เขามาถามเราว่าเรามาจากไหน พอเราบอกเมืองไทย ก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ตรงนั้นเป็นจุดแรกที่คิดว่าจะทำอย่างไรให้คนรู้จักเมืองไทย เมื่อก่อนที่ประเทศอังกฤษยังไม่มีอะไรมาก เราก็เลยเปิดร้านอาหารไทย ชื่อ “สยาม” แล้วก็รับพวกนักเรียนนาฏศิลป์มาทำงานพิเศษ มีโชว์แสดงนาฏศิลป์ไทยเพราะต้องการให้ฝรั่งได้เห็นว่าศิลปะไทยเป็นอย่างไร นอกจากนั้นก็ทำค่ายมวยด้วย ทำทุกอย่างที่เป็นศิลปะของไทย ซึ่งก็ได้ผลเพราะคนค่อยๆ รู้จักเมืองไทยมากขึ้น

นอกจากนั้นเราก็ทำมูลนิธิมุทิตา เป็นมูลนิธิที่จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเด็กไม่ให้ตกเป็นโสเภณี หลายๆ ครั้งเราจัดอีเวนต์เพื่อระดมเงิน จัดขายสินค้าไทยๆ ซึ่งก็มีคนต่างชาติมาเที่ยวงาน อีกอย่างนึงเรามีเพื่อนฝรั่งเยอะ เขาก็จะมาถามเราเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย เราก็จะเล่าให้เขามีทัศนคติที่ดีกับประเทศเรา เล่าเรื่องในหลวงให้เขาฟังเขาก็จะซาบซึ้งไปกับเราด้วย หรืออย่างเวลาเขาจะไปเที่ยวเมืองไทยเขาก็จะขอคำแนะนำว่าไปที่ไหนดีเราก็จะจดให้เขา พอกลับมาเขาก็จะมาขอบคุณและเล่าเรื่องความประทับใจของเขาให้ฟัง...

จะว่าไปการได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษสอนอะไรเราหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การสู้ชีวิต ถ้าเราอยู่เมืองไทยเราก็เป็นคุณหนู ทำอะไรไม่เป็น แต่คนอังกฤษเป็นคนที่ทำทุกอย่างเอง มหาเศรษฐีก็ต้องล้างรถเอง เขาไม่มีระดับชนชั้น ซึ่งสิ่งนั้นดีมาก เพราะทำให้เราเป็นคนไม่ขี้เกียจ”

รักเธอประเทศไทย
ซึ่งสิ่งที่เธอทำทั้งหมดนั้นเธอพูดกับเราอย่างเต็มปากว่า “ดิฉันรักประเทศไทย” แม้จะไม่ได้อยู่ประเทศไทย เนื่องจากสุขภาพ แต่ไม่เคยลืมเมืองไทย!

“เรารักเมืองไทย ยิ่งกว่าคนที่ลืมเมืองไทยซะอีก บางคนอยู่เมืองไทย ไม่ได้รักเมืองไทยเลย โกงกิน คอร์รัปชัน แต่พวกเราที่อยู่อังกฤษกลับรักเมืองไทยมากกว่าเขาอีก

แม่รักประเทศไทยมาก และรู้สึกว่าประเทศไทยมีอะไรดีๆ เยอะ แต่คนไทยไม่ซาบซึ้งเลย อาจเป็นเพราะคนไทยคิดว่าประเทศเราไม่เคยเป็นขี้ข้าใคร ก็เลยทำให้ทะนงตัวว่าชั้นยิ่งใหญ่และกร่าง ที่จริงไม่สมควรที่จะทำอย่างนั้น เราควรที่จะทำงานหนักเพื่อรักษาเกียรติเอาไว้ แม่ว่าถ้าคนรู้จักระบบ ไม่มีการโกงกิน ประเทศไทยจะเจริญมาก เพราะทรัพยากรเราพร้อมมาก ประเทศไทยดีที่สุดแล้ว เรามีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรามีความเป็นอยู่ที่สบาย เราควรดีใจแล้ว”

เมื่อประกาศตัวแล้วว่ารักประเทศไทยที่สุด ฉะนั้นหลายๆ ครั้งเธอมักคิดจัดกิจกรรมในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยและประเทศไทยในยามเดือดร้อน

“ตอนที่เมืองไทยฟองสบู่แตก เราก็คิดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้นอย่างไรดีก็เลยจัดงานชื่อ อะเมซิ่งไทยแลนด์ ขึ้นที่อังกฤษ ให้คนไทยจากประเทศไทยมาเปิดบูทขายของโดยที่เราไม่เก็บค่าใช้จ่ายเลย ซึ่งมีหลายคนมา แล้วเขาก็ขอบคุณที่เราได้จัดงานนี้ เพราะทำให้เขาขายสินค้าได้ ฟีดแบ็กดีมาก มีฝรั่งมาเที่ยวงานอะเมซิ่งไทยแลนด์เป็นหมื่นคนเลย จากนั้นก็จัดกิจกรรมเรื่อยๆ เพราะอยากให้คนรู้จักเมืองไทย ซึ่งก็ได้ผลมาก”

รู้จักกับธรรมะ
ก่อนหน้านี้คุณสุรภีพูดอย่างตรงไปตรงมาเลยว่าเธอเป็นคนหนึ่งที่ไม่สนใจในพระพุทธศาสนา เพราะเคยมีเรื่องฝังใจเกี่ยวกับการประพฤติตัวของพระสงฆ์บางรูปที่ทำตัวไม่น่าศรัทธา จนมาเจอกับพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีจนทำให้เธอเปลี่ยนความคิดและหันมาสนับสนุนพระพุทธศาสนาอย่างเต็มกำลัง นั่นก็คือ หลวงพ่อชา สุภัทโท

“ตอน 7 ขวบ เคยเห็นพระจับมือผู้หญิงก็เลยฝังอยู่ในหัว จนกระทั่งพบหลวงพ่อชา ตอนท่านมาเผยเผ่ศาสนาที่อังกฤษ ท่านเป็นพระรูปเดียวที่สอนแล้วเราเชื่อท่าน เพราะท่านมีวิธีการสอนในแบบที่เราไม่สามารถเถียงได้ ท่านเป็นพระที่สอนฝรั่งด้วยภาษาไทย ซึ่งวิธีการสอนของท่านเป็นวิธีที่ฉลาดมาก จากนั้นเราก็ขอเป็นโยมอุปัฏฐาก ร่วมทำบุญที่วัดในลอนดอนกับท่าน

เราเริ่มอินกับธรรมะตอนอายุ 45 ปี ฝึกไปเรื่อยๆ เพราะถ้าเราปฏิบัติเข้าใจแล้วเราจะมีปัญญา ถ้าเรามีปัญญาก็จะไม่มีอะไรมาทำร้ายเราได้ การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ใจเรา เราจะสวยหรือไม่สวย เรารู้ เราไม่จำเป็นต้องนุ่งขาวห่มขาว เพียงแต่เราฝึกใจของเรา ใจเราสำคัญที่สุด บางคนแต่งตัวสวยแต่ใจแย่ ก็มีเยอะแยะไป

ธรรมะดีกับตัวเราคือ ทำให้เราไม่ใจร้อน ทำให้เรามีเหตุผลก่อนที่เราจะโกรธใคร มีสตินึกก่อนว่าทำไมเราถึงโกรธ พอไม่ใจร้อนก็ทำให้เรามีปัญญา ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่เป็นอย่างนั้น เราเป็นคนที่สปอลย์มาก เป็นคุณหนูเอาแต่ใจ จนพอมาเจอธรรมะ ได้ฝึกปฏิบัติก็ใจเย็นลง การปฏิบัติของเราก็คือ การตามอารมณ์ให้ทัน การมีสติ ระลึกรู้ความรู้สึก”

ครั้งหนึ่งในชีวิตกับเรื่องมหัศจรรย์
มีเรื่องเล่าประหลาดครั้งหนึ่งในชีวิตของ สุรภี กรรณสูต ที่ตัวเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับเธอ ซึ่งเรื่องแปลกประหลาดเหล่านั้นเกิดขึ้นในขณะที่เธอเป็นโรคมะเร็ง และแพทย์บอกว่า เธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 5 ปีเท่านั้น!
“เรื่องนั้นนานมาก ตอนนั้นป่วยหนักหมอบอกว่าอยู่ได้อีกไม่นาน ซึ่งเราก็ทำทุกอย่างเพื่อรักษาตัวทั้งทางกาย และทางใจ จนบางครั้งเรารู้สึกว่าเราเห็นอะไรที่คนอื่นไม่เห็น

ครั้งหนึ่ง ขณะเปิดร้านค้าในอังกฤษ เราเห็นวิญญาณฝรั่งแก่ๆ ไปที่นั่นมากมายทุกวัน นิมนต์พระมาสวดก็หายไปบ้าง ที่ยังอยู่ก็ไม่กลัวใดๆ เหมือนชินไปแล้ว แต่ก็มีเหตุการณ์อีกว่าภรรยาของเพื่อนของคุณแม่ตายด้วยโรคมะเร็งไม่นาน เพื่อนคุณแม่คนนั้นก็อยากกราบพระทางชิตเฮิสต์ วัดไทยสาขาหลวงปู่ชาในอังกฤษ ที่เราไปทำบุญเสมอ คืนนั้นพอนอนปั๊บ จิตเราออกจากร่าง และเห็นหญิงฝรั่งผมทองยาวเคลียบ่ามาบอกว่า เธอคือผู้ที่สามีต้องการจะไปวัดนั้น แต่วิญญาณนั้นขอร้องคุณสุรภีว่า อย่าพาสามีของเธอไป เพราะหากสามีได้ปฏิบัติธรรม ก็จะปล่อยดวงวิญญาณได้สำเร็จ และเธอไม่ต้องการไปเกิดใหม่ แต่ยังอยากอยู่ใกล้ๆ สามี พอตอนเช้าเลยเล่าให้แม่ฟัง ซึ่งลักษณะของคนที่เราเห็น ตรงกับลักษณะของภรรยาของเพื่อนคุณแม่ที่ตายจริงๆ ทั้งที่เราไม่เคยเห็นเขามาก่อน

แล้วก็เล่าเรื่องการถอดจิตให้หลวงปู่ชาฟัง ท่านบอกให้ลืมให้หมด เพราะไม่ใช่การปฏิบัติที่ถูกต้อง เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องนี้ หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆ ปฏิบัติธรรมจากหลวงปู่ชา แล้วก็ไม่เห็นเรื่องแปลกๆ แบบนั้นอีกเลย แล้วก็น่าแปลกที่อาการของโรคมะเร็งที่เราทนอยู่ก็ดีขึ้นด้วย เรื่องนี้แล้วแต่วิจารณญาณแต่ละคนนะคะ”

โครงการธรรมสถานเฉลิมพระเกียรติพระราม 9
สุรภีในวัย 77 ปี เธออุทิศตัวเองเพื่องานด้านการกุศลและงานด้านพระพุทธศาสนา แม้จะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ และกลับมาเมืองไทยเพียงปีละ 2 ครั้งเท่านั้น

“เมื่อก่อนเวลากลับมาเมืองไทย เราจะไปตามป่า ตามเขา หาโรงเรียนที่ลำบากแล้วช่วยบริจาคสิ่งของจำเป็น หรือไม่ก็ช่วยเขาสอนหนังสือ ซึ่งทำอย่างนี้มาเป็น 20 ปีแล้ว ส่วนปีนี้มีโอกาสมาที่ธรรมสถานเฉลิมพระเกียรติพระราม 9 พบกับ พระราชญาณกวี (สุวิทย์ ปิยวิชโช) ป.ธ.9 ซึ่งท่านเป็นคนเขียนหนังสือเก่ง เรารู้สึกเสียดายที่ท่านเขียนหนังสือเก่งแต่ไม่ได้เผยแผ่ จึงเสนอตัวว่าเราจะแปลหนังสือเป็นภาษาอังกฤษให้ โดยทำเป็นซีดีให้เอ (ลูกสาว) เป็นคนอ่าน แล้วก็จัดพิมพ์ออกมาด้วย

นอกจากนี้ คิดว่าอีก 2 ปีจะเข้าอาเซียนแล้ว แต่เรื่องภาษาอังกฤษบ้านเรายังไม่พัฒนาเท่าไหร่นัก ก็เลยเสนอว่าจะมาสอนภาษาอังกฤษให้เป็นคอร์ส 3 สัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะให้ลูกสาวมาช่วยสอนแทน ในช่วงที่แม่ไม่อยู่ นอกจากนั้นก็ยังช่วยงานหลายๆ อย่างของที่วัดด้วย

แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ที่กลับมาอยู่เมืองไทย แต่อย่าให้เสียประโยชน์ ทำอะไร ช่วยเหลือใครได้ตรงไหนก็ทำไป ต่อให้เรามีเวลาแค่วันเดียวก็อย่าให้เสียประโยชน์ รู้มั้ยเรามีความฝันนะ คิดไว้ว่าเราอยากจะมีเกาะสักเกาะ ซึ่งทุกคนที่อยู่ในเกาะต้องเป็นคนดี จิตใจดี รักประเทศที่ตัวอยู่ มีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่มีการอิจฉาริษยา ไม่โกหก ไม่คดโกง แต่มันก็คงเป็นแค่ความฝันนะ (หัวเราะ)”
จากการอุทิศตนช่วยเหลือธรรมสถานเฉลิมพระเกียรติพระราม 9 พระราชญาณกวีจึงฝากคำนิยมไว้ให้คุณสุรภีไว้ถึงการเป็นทูตวัฒนธรรมของเธอด้วย

จากใจอดีตคุณหนู ที่ต้องเลี้ยงลูกไม่ให้เป็นคุณหนู!
พูดอย่างเต็มปากเลยว่าถ้าไม่มาอังกฤษสุรภีก็คงเป็นคุณหนูผู้ทำอะไรไม่เป็นอยู่ที่เมืองไทย แต่เมื่อชีวิตถูกขีดมาให้เธอต้องลุย และสู้ชีวิต ซึ่งเธอก็ค้นพบว่าสิ่งเหล่านั้นกลับเป็นสิ่งดีที่ทำให้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นมา ฉะนั้น เมื่อเธอมีลูก เธอจึงไม่สปอยล์ให้ลูกเป็นคุณหนู!
“เราเลี้ยงลูกแบบไม่ให้ฟุ้งเฟ้อ ทุกอย่างต้องทำเอง จะไปไหนก็ขึ้นรถเมล์ นั่งรถไฟไป ให้ช่วยเหลือตัวเองมากๆ ไม่ให้เป็นคุณหนู ให้มีจิตใจที่เผื่อแผ่คน ช่วยเหลือสังคม เราพยายามดึงเขามาทางธรรมะ เขาก็มีใจ ให้ช่วยอะไรเขาก็ช่วย”

ระหว่างนั้นเองมินนี่ลูกสาวคนโตได้ยินเรื่องการเลี้ยงลูกของแม่ จึงแอบแซวขึ้นมาว่า “ตอนแรกมินนี่อยู่สหรัฐอเมริกา แล้วจะย้ายมาอยู่อังกฤษกับคุณแม่ ตอนแรกคิดว่าสบายล่ะ มาอยู่กับคุณแม่จะได้ไม่ต้องทำอะไรเลย (หัวเราะ) ที่ไหนได้พอไปอยู่อังกฤษ โดนแม่สั่งให้ล้างห้องน้ำ อึ้งเลย!! แต่ยอมรับจริงๆ ว่าคุณแม่เป็นผู้หญิงที่เก่งมาก”

นอกจากนี้ยังมีคำสอนดีๆ ที่คุณสุรภีใช้เลี้ยงดูลูกทั้งสอง และยังนำไปใช้กับการเลี้ยงหลานชาย ทิม ที่กำลังศึกษาอยู่ที่อังกฤษและพักอยู่กับคุณยายอีกด้วย
“เราสอนลูกๆ ว่าถ้าคนจะเป็นนายคนต้องทำทุกอย่างให้เป็น ฉะนั้น เราจะให้เขาฝึกทำทุกอย่างเอง เราเคยเป็นคุณหนูมาก่อน แต่เมื่อเรามาทำงานร้านอาหาร ต้องทำเองทุกอย่างทั้งแต่เสิร์ฟอาหาร ล้างจาน ล้างห้องน้ำ เมื่อเราทำแบบนี้ได้แสดงว่าเราต้องเก่งนะ และสิ่งสำคัญที่สุดที่เราสอนลูก และสอนกระทั่งหลานก็คือ “ไม่ว่าเราจะขึ้นสูงเท่าไหร่ เรายิ่งต้องเหยียบเท้าให้ต่ำเท่านั้น” สอนเขาตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าฉันขึ้นไปสูงลิบลับแต่เท้าไม่ติดดินแล้ว นี่คือความคิดของแม่ที่สอนลูกและหลานด้วย”

โอบอุ้ม (กรรณสูต) จูตระกูล

ลูกสาวคนโตของ “สุรภี กรรณสูต” แม้ว่าจะเกิดที่เมืองไทย แต่การใช้ชีวิตส่วนใหญ่ “คุณมินนี่-โอบอุ้ม (กรรณสูต) จูตระกูล” ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ ตั้งแต่เรียนจบจากประเทศสหรัฐอเมริกา และมาใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จนคนที่อยู่ในอังกฤษคุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้ เพราะเธอมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารจนเคยไปออกรายการ “เอสเซนเชียลไทยอินกริเดียน” ซึ่งเป็นรายการคล้ายๆ รายการ หมึกแดง ของบ้านเรา จนใครๆ พากันตั้งฉายาให้เธอว่า “เชฟมินนี่ ซี”

“ช่วงนั้นเธอก็ลงมือสอนฝรั่งทำอาหารไทยด้วยตัวเอง เพราะคิดว่าเราสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีและง่ายกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์ ความรู้ของเราได้จากการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก นิยามคำว่าเชฟไม่ได้เป็นได้เพียงชั่วข้ามคืน ก่อนจะมาเป็นเชฟ ก็จะต้องเป็นหัวหน้าในครัวก่อน เพราะถ้าเราไม่เข้าใจเพื่อนร่วมงาน ก็จะทำงานลำบาก ที่เรามายืนจุดนี้ได้เพราะรักในอาชีพที่ทำ ได้ดูแลซึ่งกันและกัน”

จนกระทั่งกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทย ด้วยความชอบทางด้านการทำอาหารนั่นเองทำให้เธอเปิดร้านอาหารสไตล์ออร์แกนิก อยู่ที่สุขุมวิทซอย 33/1 ควบคู่ไปกับการทำงานประจำในตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ “ควินเทสเซ็นเชียลลี” (Quintessentially) กลุ่มบริษัทการบริการจัดการระดับสิทธิพิเศษเฉพาะบุคคลจากประเทศอังกฤษ มีเครือข่ายด้านไลฟ์สไตล์ครอบคลุมกว่า 48 เมืองหลักทั่วโลก เพื่อนำเสนอประสบการณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร เติมเต็มความต้องการของสมาชิกระดับไฮเอนด์

“ควินเทสเซ็นเชียลลีเป็นงานบริการ จัดการทุกอย่างให้ลงตัวแทนลูกค้าที่ไม่อยากเสียเวลาจัดการเอง เพราะเวลาของเขามีค่า เหมือนเป็นเลขาส่วนตัว เราไปช่วยงานเลขาอีกที ทำความต้องการให้ลูกค้าได้ในสิ่งที่ต้องการ”
งานทั้งสองอย่างที่เธอทำและรักนั้นเป็นสไตล์ในการใช้ชีวิตที่เธอบอกว่าชีวิตคือศิลปะ ไม่มีผิดไม่มีถูก ถ้าเราไม่เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด ถือว่าโง่ เจ็บแล้วไม่จำ แค่เพียงเราเรียนรู้สิ่งที่ผิดพลาด และเปิดใจรับสิ่งใหม่อยู่เสมอ ก็จะไม่มีใครตามเราได้ทัน นั่นคือข้อคิดง่ายๆ ในการใช้ชีวิตของเธอ

เกิดแก้ว (กรรณสูต) เจริญยิ่ง

ลูกสาวคนเล็กผู้มีความอ่อนโยนและใจบุญ “เกิดแก้ว (กรรณสูต) ยิ่งเจริญ” หรือ “เอ” เธอตรงข้ามกับพี่สาวอยู่หลายอย่าง โดยคุณเอกำเนิดขึ้นที่ประเทศสหราชอาณาจักร แต่เธอกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทย ด้วยการเป็นครูอยู่ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง อำเภอดอยตุง จังหวัดเชียงราย เพื่อที่จะช่วยสอนหนังสือให้กับเด็กบนภูเขา และดูแลงานพัฒนาการศึกษาในระบบ นอกจากนี้เธอยังยินดีที่จะช่วยสานต่องานที่คุณแม่ดำริไว้อีกด้วย

“ปกติทำงานอยู่ที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง บางครั้งก็จะขึ้นไปสอนหนังสือเด็กบนดอยตุง แต่ช่วงนี้ก็จะมีงานที่สานต่อจากคุณแม่ คืองานสอนหนังสือที่ธรรมะสถานเฉลิมพระเกียรติพระราม 9 จะเน้นสอนภาษาอังกฤษ คนที่รู้จักกันเขาเห็นว่าเออ่านหนังสือเก่งก็จะชวนให้มาสอนเด็กที่นี่ ซึ่งก็เป็นความยินดีของเราที่อยากจะช่วยเหลือสังคมอยู่แล้ว”

ส่วนในเรื่องไลฟ์สไตล์นั้นเธอเป็นคนเรียบง่ายสบายๆ ซึ่งอาจจะแตกต่างกับพี่สาว (มินนี่) ที่มีความคล่องแคล่วปราดเปรียว และข้อคิดในการใช้ชีวิตที่ได้มาจากคุณแม่ก็คงจะเป็นเรื่องความรักเมืองไทย รักบ้านเมือง ฉะนั้นเธอจึงอุทิศชีวิตให้กับงานที่ให้ความช่วยเหลือและทำความดีกลับคืนสู่แผ่นดิน ::Text by FLASH




>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น