หากมองผ่านผลงานในวงการบันเทิงมุมมองเดียวที่ผู้คนมีต่อเธอคงจะมองเห็นแต่ตัวตนของความเป็นนางร้ายสุดเซ็กซี่
ช่วงชีวิตหนึ่งในวงการบันเทิงของชลลี่ - ชล วรานนท์ในฐานะพิธีกรและนักแสดงขาประจำบทนางร้ายตัวอิจฉา แม้ว่าเธอจะเคยได้ตัดสินใจออกจากวงการเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศนานถึง 3 ปี ผ่าฟันอุปสรรค์กับชีวิตต่างแดนตัวคนเดียว
มาถึงวันนี้...ในวันที่เธอกลับมาสู่วงการเต็มตัวอีกครั้ง บางสื่อลือกันว่า เธอกลับมาทวงบัลลังก์เซ็กซี่สตาร์ของวงการ และผลงานการกลับมาครั้งนี้ของเธอที่เพิ่มดีกรีความเซ็กซี่ถึงขีดสุด กับแฟชั่นเซตชุดว่ายน้ำในนิตยสารmars ฉบับประจำเดือนเมษายานี้
ทีมงาน M-lite นัดพูดคุยกับเธอถึงการกลับมาครั้งนี้ เธอเล่าด้วยสุ่มเสียงของนักพูดที่น่าฟังถึงช่วงเวลาที่ห่างหาย และเหตุใดเธอจึงเลือกจะพักงานจากวงการไป
บอกเลยว่า แม้มองผ่านจอสี่เหลี่ยมหลายคนจะมองเห็นเธอเป็นนางร้าย หากแต่ตัวตนที่เราสัมผัสได้นั้น หากเธอเป็นจะนางร้ายก็คงเป็นนางร้ายผู้น่ารักอย่างแน่นอน
ก้าวแรกสู่วงการ
บททดสอบแรกๆ กับอาชีพในสายงานบันเทิงของเธอนั้น มองย้อนกลับไป เธอเริ่มต้นจากการเป็นวีเจที่สยามสแควร์ เซ็นเตอร์พอยต์ มันเป็นงานของวัยรุ่นคนหนึ่งที่คิดจะทำเป็นงานอดิเรกด้วยความสนใจ ทว่ากลับสามารถสร้างรายได้ที่ดีทั้งยังปูทางเข้าสู่วงการให้แก่เธอได้อีกด้วย
“หลังจากเป็นวีเจอยู่ที่สยามฯก็มีคนเริ่มเห็นหน้าเห็นตา จากนั้นก็เริ่มได้ถ่ายแบบลงหนังสือวัยรุ่น แล้วก็ได้ไปแคสต์หนังโฆษณา จนกระทั่งได้เล่น หนังเรื่อง สวยลากไส้ และ 4 แพร่ง จากนั้นก็ได้มาเล่นละครกับช่อง 3 ให้กับพี่คิง - สมจริง ศรีสุภาพ จากพิธีกรก็เลยเริ่มมาเป็นนักแสดงด้วย”
ชีวิตการทำงานในวงการช่วงนั้น เธอเผยว่า เต็มไปด้วยความสนุก ความแปลกใหม่ และหลายเรื่องราวที่ให้ได้เรียนรู้ เป็นชีวิตของเด็กวัยรุ่นตอนต้นที่เพิ่งเข้าวงการ
“มันก็มีเรื่องราวความสนุกสนานมากมาย มีเรื่องราวที่ต้องเรียนรู้เป็นบทเรียนบ้าง โลกมันกว้างแล้วก็ใหม่มากสำหรับเรา บางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรมันคืออะไร แต่มันก็เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขดี”
ทว่าการเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยในช่วงชีวิตมหาวิทยาลัยที่เธอศึกษาอยู่ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้เธอต้องทำงานหนัก และใช้ชีวิตที่ค่อนข้างหนักหน่วงถึงขั้นที่ว่า ต้องเข้านอนตี 3 ตื่นมาเรียน 7 โมงเช้า กลับไปนอนเอาแรงช่วงกลางวันแล้วไปกลับเรียนต่อ
“ช่วงปี 3 - 4 ก็หนักเหมือนกัน เพราะทำพิธีกรรายการคลับเอ็กซ์เป็นรายการสด จัดตอนตี 1 - 2 เสร็จ 8 - 9 โมงก็ต้องมาเรียนแล้ว กลางวันก็ต้องกลับบ้านมานอน เวลามันก็จะสวนๆ กับเพื่อนๆ หน่อย แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ได้ฝ่าฟันอุปสรรค์หลายอย่าง ซึ่งผลออกมาก็แฮปปี้ดี การเรียนผลออกมาโอเคเลย ไม่ได้ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง งานก็ยังไปได้ดีอยู่ ก็ค่อนข้างมีความสุขกับทุกอย่างในตอนนั้น”
แต่แล้วชีวิตในวงการที่ดูมีความสุขของเธอก็ต้องสะดุดลงด้วยเรื่องที่เธอรู้อยู่ในใจแล้วว่า มันก็ต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง ทว่าเธอก็ยิ้มรับและพร้อมเผชิญกับสิ่งที่ต้องเจออย่างไม่มีทางเลือก
ความฝันของคุณแม่
“อย่างแรกคือมันก็เป็นความฝันของแม่ด้วยที่อยากจะให้เราไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่เราเด็กๆแล้ว” เธอตอบด้วยน้ำเสียงปกติ พร้อมไล่เรียงคำตอบเป็นข้อๆ อย่างมีเหตุผล “ความจริงจะเรียนในเมืองไทยก็ได้แหละ แต่เขาอยากให้ชลไปฝึกการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง...อยู่เมืองไทยต่อให้ย้ายไปจังหวัดอื่นก็ไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เพราะยังอยู่ใกล้ที่บ้าน เขาก็อยากให้เราไปฝึกต่อสู้กับความลำบากเอง อีกอย่างที่สำคัญคืออยากให้ไปเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ ซึ่งก็คุยกับคุณแม่แล้ว...ถ้าเป็นสิ่งที่แม่ปรารถนา เราก็พร้อมยินดีที่จะไป”
ความเสียดายต่อช่วงเวลานั้น เธอปรึกษาพี่ๆ หลายคนในวงการ ชีวิตในวงการช่วงนั้นเป็นช่วงที่หลายสิ่งหลายอย่างกำลังจะเข้ามา อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านพ้นทุกอย่างมาได้ เธอก็เผยว่า มันคุ้นค่ากับเวลาที่เสียไป
“เสียดายมากเลยค่ะ กำลังสนุกกับงาน ทุกอย่างไปได้ดี ทุกอย่างสวยงามกับตัวเรานะ คือมันก็ทำใจลำบาก”
ชีวิตผู้หญิงตัวคนเดียว ณ ต่างแดน แม้จะเป็นสิ่งที่พ่อแม่อยากให้ลูกลองไปเผชิญชีวิต แต่จะบอกว่าไม่เป็นห่วงเลยก็คงจะไม่ได้ หากแต่ก็เคยมีคำกล่าว แม่นกจะสอนลูกนกให้บินได้ ก็ต้องตัดสินใจผลักลูกนกให้ตกจากกิ่งไม้
“พ่อแม่ก็เป็นห่วงลูกทุกคน” เธอเอ่ย “แต่คงจะต้องเชื่อใจลูก เพราะเขาก็ปล่อยให้ลูกออกมาเผชิญโลกคนเดียวแล้ว เขาต้องไว้ใจ และเชื่อว่าเราจะเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้องได้ด้วยตัวเอง”
โดยการใช้ชีวิตตลอดมาตั้งแต่เด็ก เธอเผยว่าพ่อแม่มักจะมีกรอบให้แก่เธอ แต่เป็นกรอบกว้างๆ ที่ให้อิสระอย่างเต็มที่ กรอบนั้นมีเพียงว่า อย่าทำให้ใครเดือดร้อน
“กรอบที่กว้างๆ คืออะไรที่เดือดร้อนผู้อื่น เดือดร้อนตัวเอง เดือดร้อนคนรอบข้างก็จะทำไม่ได้ ต้องคิดใหม่” เธอเผยพร้อมพูดถึงเรื่องการเข้าวงการว่า แม่ของเธอไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงด้วยเหตุผลที่ว่า อยากให้เรียนต่อ
“ความจริงชลก็อยู่กับคุณแม่ค่ะ ตอนแรกจริงๆ เลยก็ไม่อยากให้เข้าวงการนะ อยากให้ทำเป็นงานอดิเรกมากกว่า แต่ปรากฏว่าทำไปทำมา มันเริ่มรู้สึกว่า เรามีความแพชชั่นกับการทำงานตรงนี้ เรามีความสุขกับการทำงาน กับทีมงาน การทำงานหน้ากล้อง แล้วมันก็สร้างรายได้ให้เราแบบจริงจังด้วย จากงานอดิเรกก็เลยพยายามคุยกับที่บ้านว่า เราชอบตรงนี้ เราอยากยึดมันเป็นอาชีพของเรานะ เขาก็เข้าใจ”
ในส่วนของการใช้ชีวิตในวงการนั้น แม่ของเธอก็มีคำแนะนำอยู่เพียงสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “อย่าเหลิง” ซึ่งเธอก็ยึดถือปฏิบัติเสมอมา เพราะการทำงานในวงการ ทุกคนจะมาดูแลเธอในฐานะคนที่อยู่เบื้องหน้าอย่างดี ทว่าทีมงานทั้งหมดนั้นถือเป็นคนทำงานเหมือนกัน เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เธอเผยว่า อย่าเหลิง เป็นคำที่เข้าใจง่ายในการวางตัวที่แม่บอกกับเธอ
“แม่บอกเสมอว่า 'อย่าเหลิง' เพราะว่าเวลาเราทำงานในวงการ ทุกคนก็จะมาดูแลเราหมด เอาโน่นเอานี่มาให้กิน เราก็จะรู้สึกลอยตัว มีคนมาเอาใจ แต่แม่บอกว่า เรามีอาชีพของเรา คนอื่นเขาก็มีอาชีพของเขา เราก็ต้องเคารพเขา ให้เกียติเขา เช่นเดียวกับที่เขาให้เกียรติเราด้วย
“คำเดียวว่า 'อย่าเหลิง' มันน่าจะครอบคลุมทุกอย่าง เหมือนกับดังไม่ดังไม่รู้ แต่ไปทำงานเราก็ต้องไปตรงเวลา เพราะคนอื่นก็ต้องมานั่งรอเรา มันก็ไม่แฟล์สำหรับคนอื่น คนเบื้องหลังหรือคนที่ทำงานกับเราก็อยากได้รับการปฏิบัติที่ปกติ การเป็นนักแสดงหรือพิธีกรมันไม่ได้เป็นพระเจ้า ก็ยังเป็นคนเหมือนคนอื่น ไม่มีเขาก็ไม่เรา ไม่มีเราก็ไม่มีเขา มันก็ต้องอยู่ด้วยกันให้เกียรติกัน”
การเดินทางไกลของชีวิต
แผ่นดินใหญ่แห่งการเรียนต่อที่หนึ่งของโลกคือ สหรัฐอเมริกา โดยคณะที่เธอเลือกเรียนคือ Multimedie communications Academy of art University, San francisco เป็นหลักสูตรด้านนิเทศศาสตร์ การสื่อสาร งานบรอดแคสติ้ง ทีวีโปรดักชัน จะว่าไปแล้ว การไปเรียนครั้งนี้ส่วนหนึ่งก็เหมือนการบ่มเพาะตัวเองโดยมีสัญญาของการจะหวนคืนสู่วงการวางไว้เบื้องหน้า
“เป็นการเรียนด้านทำข่าว ทำรายการ เป็นพิธีกรผู้ประกาศ ก็ตรงสายกับที่เราทำงานอยู่เลย ก็คือด้านนิเทศฯของที่โน่น ก็ต่อเนื่องมาจากตอนเรียนจุฬาฯก็เรียนนิเทศฯนี่แหละ อยู่ในฟิวเดียวกัน”
สิ่งที่เธอไปเจอในการเรียนนิเทศศาสตร์ของสหรัฐอเมริกานั้นคือ ความตั้งใจและเต็มที่ของทุกคน ทั้งครูผู้สอน ทั้งนักเรียน ใส่กันเต็มที่ แม้ภาษาอังกฤษจะเป็นเรื่องที่เธอหวั่นใจในตอนแรก ทว่ากลับไม่เป็นปัญหา เพราะสิ่งสำคัญสำหรับงานนิเทศศาสตร์ของที่นี่คือ ไอเดีย
“มันดูสนุกสนานแต่ทุกคนตั้งใจเรียนมากเลย ทุกคนมีความตั้งใจกันมาก ซึ่งความยากในการเรียน ตอนแรกก็จะกลัวในเรื่องของภาษาอังกฤษเพราะไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา เราจะทันเขามั้ย? แต่ว่าพอเราเรียนไปสักพัก เราก็รู้แล้วว่า มันไม่ใช่ปัญหาเลย ที่โน่นมันอยู่ที่ไอเดีย ความตั้งใจ ความคิดสร้างสรรค์”
ความแตกต่างของการเรียนการสอนนิเทศศาสตร์ในเมืองไทยกับที่อเมริกานั้น เธอเผยว่า แตกต่างกันมาก ขณะช่วงที่ยังเรียนอยู่เมืองไทย ครึ่งเทอมอาจสั่งงาน 1 ชิ้น หรือ 2 - 3อาทิตย์ต่อชิ้น แต่ที่นั่นทุกวิชาสั่งงานทุกอาทิตย์
“อาทิตย์หนึ่งต้องทำรายการ 2 รายการ โห! แล้วต้องตัดต่อเอง ถ่ายเอง เขียนบทเอง ช่วงแรกมันคนเดียวทำเองทั้งหมด ตัดกันหัวบาน ไม่ต้องนอนกัน เขาให้งานหนักมาก จากตอนแรกที่ตั้งใจเรียนเร็วๆ อัดแบบปีครึ่งแล้วกลับมาทำงานต่อ ตอนหลังก็คุยกับแม่ ปีครึ่งอาจจะหนักเกินไปสำหรับเรา ไม่มีเวลามีชีวิตเลย ก็เลยบอกแม่ว่า ขอกระเถิบออกมาได้มั้ย? อีกเทอมหนึ่ง ทุกอย่างมันจะได้เบาลง แม่ก็โอเค จากปีครึ่งเป็นอีกปี ก็ค่อยยังชั่วขึ้น แต่ก็หนักจริง ระบบการศึกษาที่โน่น ทุกคนเต็มที่ ทั้งอาจารย์และนักเรียน เราก็เลยสนุกมากตอนเรียนที่โน่น”
ด้วยความหลากหลายของวัฒนธรรมแบบนานาชาติในห้องเรียนที่อเมริกา ก็ทำให้ไอเดียที่ออกมาจากผลงานเต็มไปด้วยความหลากหลาย เธอเผยว่า เป็นผลงานที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นทางไอเดีย
“อเมริกามันเป็นไดเวอร์ซิตี้มันมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เด็กที่มาเรียนก็มีทั้งเอเชีย เกาหลี ญี่ปุ่น มีลาวด้วย ไต้หวัน ฝรั่ง มีหลายๆ ชาติ พอเขาทำงานออกมา ผลงานมันก็จะแตกต่างไปตามวิสัยทัศน์ของแต่ละวัฒนธรรม เราได้เห็นไอเดียใหม่ๆ อะไรเยอะแยะเลย”
สิ่งหนึ่งที่เธอประทับใจจากการเรียนที่อะคาเดมี ออฟ อาร์ต ซึ่งชื่อนั่นมีความหมายว่า วิทยาลัยศิลปะ ก็คือการสอนให้มีความเป็นนักการตลาดควบคู่ไปกับการเป็นศิลปินด้วย แม้จะเป็นสิ่งที่ขัดกันอยู่ในทีแต่ก็เป็นสิ่งที่เธอเห็นว่า เป็นประโยชน์ต่อชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงมาก
“สิ่งที่ประทับใจที่โน่นน่าจะเป็นสิ่งที่เขาสอนชลไว้อย่างหนึ่ง เขาสอนว่า การอยู่มหาวิทยาลัยอาร์ต แน่นอนทุกคนมาเรียนได้สกิล ทักษะ ฝีมือ แต่คุณจะมีสกิลหรือฝีมืออย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องรู้จักทำตัวให้อยู่ในตลาดได้ด้วย เพราะไม่งั้นคุณมีฝีมือแต่ไม่รู้จักทำผลงานตัวเองให้สามารถสร้างรายได้ให้แก่คุณได้ มันก็อาจจะไม่เกิดผลสำเร็จจากการที่เราเรียนมา คุณเป็นอาร์ติสท์ได้ แต่คุณก็ต้องรู้จักวิธีที่จะทำการตลาดให้แก่ตัวเองด้วย”
ในด้านของความเป็นอยู่ เธออาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง โดยที่ซานฟรานซิสโกนั้น มีการคมนาคมที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีรถอย่างเมืองอื่นๆ อุปสรรคโดยทั่วไปของชีวิตอย่าง การต้องซักผ้าเอง ทำอาหารเอง ขึ้นรถเมล์เอง การใช้ชีวิตด้วยตัวเองนั้นคือความท้าทายใหม่ในชีวิตการเรียนต่อที่ทำให้เธอรู้สึกคิดถึงบ้าน การอยู่เมืองไทย การอยู่ที่บ้านกับครอบครัวเป็นเหมือนสวรรค์
อีกสิ่งที่เธอรู้สึกแปลกคือ วัฒนธรรมของคนในซาน ฟรานซิสโกที่มีอัธยาศัยดีมาก หากนั่งเล่นอยู่ในร้านกาแฟคนเดียว ก็จะมีคนมาคุยด้วยทักทายเป็นเรื่องปกติ
“คนที่นั่นอัธยาศัยดีมากค่ะ สมมติเราขึ้นลิฟต์ก็สามารถทักทายกันได้เลย ฮัลโหล วันนี้อากาศดีเนอะ หรือวันนี้ไปนั่งสตาร์บัค มีคนมานั่งข้างคุณ เขาจะถามคุณเลย มาที่นี่บ่อยมั้ย? แล้วก็คุยกันได้ ตอนแรกๆ เราก็งง ไอ้บ้า มาคุยกับเราทำไม โจคจิตหรือเปล่า? เป็นคนแปลกหน้า แต่ปรากฏว่า ไม่นะ เขาก็เป็นกันหมด ยิ่งซานฟรานซิสโกเป็นเมืองที่ชิล เป็นเมืองท่องเที่ยว มีทะเลด้วย ทุกคนเฟรนด์ลี่กันมาก บางทีก็ได้เพื่อนเป็นคนขายสตาร์บัคก็มี เขาก็จะแถมๆ กาแฟเพิ่มให้”
มุมมองที่เปลี่ยนไป
สิ่งที่เธอเรียนมาจากอเมริกานั้น โดยมากแล้วเป็นงานเบื้องหลัง แน่นอนว่าการเรียนครั้งนี้ให้คำตอบหลายอย่างกับข้อสงสัยจากที่เธอทำงานเบื้องหน้ามาตลอด เธอเอ่ยว่า ความรู้จากงานเบื้องหลังนั้นมีส่วนพัฒนาการทำงานเบื้องหน้าด้วย สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนในด้านของการทำงานคือ ความอยากที่จะเป็นมืออาชีพมากขึ้น มันเป็นมุมมองต่อการทำงานที่เกิดขึ้นใหม่สำหรับเธอ
“เปลี่ยนมากค่ะ จากเมื่อก่อนที่อาจจะมองอะไรเพียงแค่ด้านเดียว อาจจะเพราะทำแต่เบื้องหน้า ยังไม่เห็นด้านอื่นๆ แต่พอเราได้ไปเรียนด้วย ทำงานเบื้องหลังด้วย ทัศนคติต่อคนรอบข้าง ทัศนคติต่อคนอื่นๆ ในการทำงานของเราก็เปลี่ยนไป”
เธอเล่าเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า จากแต่ก่อนที่เธอทำงานหน้ากล้อง พูดๆ แสดงๆ ให้แค่ให้มันผ่านไป เธอทำแบบนั้นไมได้อีกแล้ว เพราะเธออยากจะทำให้มันออกมาดีขึ้นด้วยความเป็นมืออาชีพ
“การเป็นพิธีกรเราก็ต้องฝึกฝนให้มันดีขึ้นไปเรื่อยๆ ให้มันมีความเป็นมืออาชีพ ถ้าเราจะแสดง ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่เก่งมากนัก แต่เราก็ต้องใส่ความตั้งใจเข้าไปกับมัน เราต้องศึกษามันก่อน เรียกว่าทัศนคติที่เปลี่ยนไปคือ เราอยากมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น ซึ่งก็ต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ทีมงานเบื้องหลังเรานี่แหละที่จะมีส่วนช่วยผลักดันให้เรามีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะเขารู้เห็นมาเยอะกว่าเรา”
เธอเทียบตัวเองตอนนี้กับสมัยก่อนอย่างเห็นภาพ สมัยก่อนนั้นเมื่อเธอทำหน้าที่พิธีกร เพียงพูดแล้ว ทีมงานบอกว่า ผ่าน เธอก็จะโล่งอก ดีใจที่ผ่านๆไปได้ แต่กับตอนนี้ แม้ทีมงานบอกว่า ผ่านแล้ว หากเธอยังรู้สึกไม่มั่นใจกับงานที่ออกไป เธอก็ยังจะขอทำอีกครั้ง เพื่อให้งานออกมามีคุณภาพมากที่สุด
“เราอยากจะให้มันเป๊ะขึ้น” เธอเอ่ย
ทั้งนี้ ในอีกมุมหนึ่งของการทำงาน เธอก็รู้ว่าอายุที่มากขึ้น ทำให้ทีมงานบางคนเป็นรุ่นน้องเธอแล้วด้วยซ้ำ เธอก็บอกว่า แม้จะอายุน้อยกว่า แต่หากเธอทำผิดพลาดก็ต้องบอก “แต่ก่อนเราเรียกทุกคนว่าพี่ แต่ตอนนี้ทีมงานบางคนก็เป็นน้องเราบ้างแล้ว เราก็จะบอกน้องว่า 'ไม่ต้องเกรงใจเรานะ ถ้าพี่ผิดต้องบอกพี่ให้พี่แก้ อย่าปล่อยผ่าน' บอกเขาเลยเพื่อให้งานเราออกมาดีที่สุด”
ผลงานในตอนนี้ของเธอนั้นก็มีทั้งงานละคร และพิธีกร รวมไปถึงงานเบื้องหลังในฐานะโปรดิวเซอร์ โดยเร็วๆ นี้กำลังจะมีผลงานการแสดงในซิทคอม ครัวซอง ทำนองรักทางช่อง 3 พร้อมกับจัดรายการวิทยุ คอนเน็กต์ประเทศไทยที่สถานีครอบครัวข่าวเอฟเอ็ม 106 ทั้งยังมีเป็นพิธีกรทางช่องเคเบิลต่างๆ รวมไปถึงงานเบื้องหลังอีกด้วย
การกลับคืนสู่วงการครั้งนี้ เธอบอกเลยว่า ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องตัดสินใจหนักหนาอะไร เพราะลึกๆแล้ว เธอก็ชอบและรักในการทำงานในวงการอยู่เสมอ
“อย่างที่บอก เราก็อยากกลับมาอยู่แล้ว แต่ถ้ากลับมาทุกอย่างของชลก็เหมือนต้องเริ่มที่ศูนย์ใหม่ เพราะเราไม่ได้หายไปไม่กี่เดือน เราหายไปเป็นปี กระแสเอยอะไรเอยก็ออกจะดูเงียบไป ฉะนั้น เราก็ต้องทำใจ เราจะต้องสตาร์ทจากศูนย์ แต่การสตาร์ทจากศูนย์มองในแง่ดี เราก็ได้ความเป็นเราจริงๆ เราได้ทำงานอย่างที่เราอยากทำมากขึ้น”
เมื่อถามว่า เสียเปรียบคนอื่นในวงการหรือเปล่า? แม้เธอจะเผยว่า เสียดายแต่ก็ไม่คิดว่าเสียเปรียบคนอื่น หากนำเส้นทางชีวิตของเธอไปเทียบกับคนอื่น เธอเห็นว่าคงเทียบกันไม่ได้ เพราะแต่ละคนก็มีเส้นทางชีวิตที่เก็บเกี่ยวออกมาเป็นประสบการณ์เฉพาะของแต่ละคน
“ชีวิตมันก็คือชีวิตแหละ มันไม่มีเสียเปรียบหรอก เพราะคนอื่นที่อยู่ที่นี่ เขาก็แฮปปี้กับการทำงาน ทำงานต่อไปก็ได้เรียนรู้ต่อไปเหมือนกัน ส่วนเราช่วงเวลาที่หายไป เราก็ได้พักผ่อน ได้ไปเที่ยวในหลายๆ เมือง เราได้ประสบการณ์อีกแบบหนึ่ง เราได้ความรู้กลับมาซึ่งมันเปรียบเทียบกับคนอื่นไม่ได้ว่า ใครจะได้เปรียบกว่าใคร เพราะแต่ละคนก็ได้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวเองทั้งนั้น มันเป็นประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน”
การกลับมาใน 2 บทบาทของคนทำงานที่อยู่ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เธอเผยว่า ตัวเองมีความชอบในงานทั้งหมดของวงการบันเทิงที่เกี่ยวโยงกัน อนาคตจึงไม่แน่ว่าจะไปทางไหน หากวันหนึ่งทางใดทางหนึ่งของชีวิตจำเป็นต้องถ่ายเทเวลารับผิดชอบ เธอก็ต้องเสียสละงานอีกด้านหนึ่งไป
“ก็อยากจะทำทั้ง 2 อย่างค่ะ เพราะตอนนี้ชลก็ทำเบื้องหลังอยู่ที่แกรมมี่ด้วย ก็ทำเป็นกึ่งๆ เบื้องหลังอยู่ มาร์เกตติ้งหน่อยๆ ชลชอบทั้ง 2 ด้าน เหมือนงานในวงการมันก็เป็นงานที่เรารัก แล้วงานที่เราทำอยู่ตอนนี้มันก็เป็นงานที่ท้าทาย สนุก ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ไม่ได้กะว่าจะไปทางใดทางหนึ่ง แต่ว่า อนาคตก็ไม่รู้นะ ว่าอันไหนมันจะมามากกว่ากัน วันหนึ่งอันไหนมันยิ่งใหญ่กว่า มันก็ต้องมีการเสียสละอีกอันหนึ่ง แต่ชลก็ยังไม่รู้อนาคตมันจะไปไม่ถึงตรงนั้น”
ความฝันของนางร้าย
บทร้ายเป็นบทที่เธอได้รับมาโดยตลอด อาจเพราะโชคชะตาหรือรูปหน้าที่สามารถสวมบทตัวอิจฉาได้อย่างเหมาะสม เมื่อทีมงาน m-lite ถามถึงเหตุผลที่รับแต่บทนางร้าย เธอตอบติดตลกว่า
“เพราะชีวิตจริงเป็นคนดีเลยอยากเล่นบทที่ตรงข้ามกับตัวเอง” เธอตอบพร้อมหัวเราะก่อนเฉลยว่า พูดเล่น “ไม่รู้สิ ความจริงก็ไม่ได้ชอบเล่นร้ายหรือชอบเล่นบทไหนตายตัว ผู้ใหญ่อาจจะมองว่าเราเล่นตัวร้ายจะเหมาะกว่า”
อย่างไรก็ตาม ในฐานะนางร้ายประจำจอเธอก็เผยว่า การเล่นเป็นตัวร้ายก็มีความสนุกอยู่
“มันสนุกดี โอเค ชีวิตของคนบางคนอาจจะมีความร้ายแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่ชีวิตเรา เราก็สนุกดีที่ได้เล่นเป็นอีกคนหนึ่ง เราไม่ได้ทำแบบนี้ในชีวิตจริง ชีวิตจริงเราก็เป็นคนปกติที่ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่ถ้าวันหนึ่งเราได้เป็นคนที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น มันก็สนุกดีนะ แล้วมันก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนจริงๆ ด้วยเพราะเราทำในละคร”
เมื่อรับแต่บทร้ายมาหลายครั้ง หากจะบอกว่าเป็นบทที่เธอถนัด เธอเห็นว่า คงมาจากการได้รับโอกาสหลายครั้ง เพราะการแสดงเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการฝึกฝน
“อาจจะเพราะเล่นมา 2 - 3เรื่อง ก็ค่อนข้างจะซึมซับ แต่มันคือการแสดงซึ่งท้ายที่สุด มันต้องใช้การฝึกฝน มันไม่มีถนัดเฉพาะทาง เล่นบทไหนก็คือบทนั้น แต่ละบทแต่ละตัวละครมันก็แตกต่างกัน”
ขนบของการเป็นนางร้าย หากเป็นปกติที่ได้ดูละครไทย ฉากของความโกรธอิจฉา สีหน้าบิดเบี้ยว คิ้วผูกเกร็งเขม่งเกรียว การแสดงในแบบของนางร้ายที่คุ้นตา เธอเผยว่า แม้จะรับบทร้ายมาตลอด แต่การแสดงอย่างเป็นแบบแผนนั้นไม่ได้มีหลักตายตัว
“ถ้าจะให้ตอบว่า ต้องทำเสียงอย่างนี้ ทำตาโตอะไรอย่างงี้ คงตอบไม่ได้ อาจารย์แอ็กติ้งคงจะว่าแน่ เพราะมันผิดหลัก ตามหลักจริงๆ แล้ว การแสดงมันคือความเชื่อ มันจะต้องเล่นเพราะเราเชื่อ การที่เรารู้สึกเกลียดใครจริงๆ เราเป็นยังไง มันก็ออกมาอย่างนั้น เวลาเราเกลียดใครมันก็จะเกร็ง มันก็จะโกรธไปหมด มันเป็นแบบนั้น คือพูดไม่ได้ว่าเราจะต้องทำร่างกายให้เป็นยังไง มันจะออกไปเองมากกว่า เออ อันนี้ก๊อบเขามาพูดนะ(หัวเราะ)”
เมื่อถามว่า มีบทบาทแบบไหนที่เธอสนใจเป็นพิเศษ เธอตอบตรงๆ ว่า เล่นบทอะไรก็ได้ แต่เมื่อมาสายตัวร้ายแล้ว โดยปกติเธอจะเป็นเล่นตัวร้ายแบบการ์ตูน คุณหญิงขี้อิจฉาที่ดูเปิ่น เธอจึงบอกว่า อยากเล่นบทร้ายที่จริงจังบ้าง
“ก็มีบทที่อยากเล่นนะค่ะ แต่จริงๆ เล่นบทอะไรก็ได้ ตอนนี้ชลมาสายตัวร้าย ปกติจะเป็นตัวร้ายแบบการ์ตูน คุณหญิงติ๊งต๊อง เปิ่นๆ ถ้าอยากจะเล่นได้ก็อยากจะเล่นฉีกแนวไปเป็นร้ายแบบร้ายจริงจัง แต่ไม่จำเป็นต้องตบตีอะไรนะ ร้ายเหมือนคนปกติเขาร้ายกัน ภายนอกอาจจะดูเป็นคนดีแต่จริงๆ แล้วร้าย”
ในส่วนของอนาคตการทำงานในวงการ 2 - 3 ปีข้างหน้าเธอตั้งเป้าว่าจะพัฒนาฝีมือตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของพิธีกร นักแสดง หรือด้านอื่นๆ
“อยากให้เรามีความเป็นมีอาชีพมากขึ้น อยากให้ทำผลงานมาแล้วเป็นที่พอใจของทุกๆ คน ไม่ว่าจะเป็นทีมงานคนไทย ผู้ชมผู้ฟังอะไรแบบนี้ทุกๆ คน ให้เป็นที่ยอมรับนั่นคือเป้าหมายแรก เป้าหมายที่สอง วันหนึ่งก็อยากจะมีรายการเป็นของตัวเอง”
โดยรายการในความฝันของนั้น เธอเผยว่า คำตอบอาจฟังดูเหมือนนางเอก หากแต่มันเป็นรายการแบบเดียวกับที่เธอเคยทำเมื่อก่อนออกจากวงการ และเป็นรายการที่เธอรักมาก
“ตอบแล้วก็ดูนางเอกนะ (หัวเราะ) แต่ก็อยากทำรายการเพื่อสังคม อยากทำรายการแบบที่เราเคยทำสมัยก่อน รายการ คลับเอ็กซ์ มันเป็นรายการที่มันได้พูดคุย ได้เฮียลริ่ง - เยียวยาช่วยเหลือคนอื่นให้เขาหาทางออกให้ได้ ในวันที่เขามืดแปดด้าน”
ความฝันนี้เธอต้องเก็บไว้ก่อน แต่เมื่อย้อนนึกถึงรายการคลับเอ็กซ์ รายการที่ว่าด้วยปัญหาสังคมในมุมมองของจิตแพทย์ เธอบอกว่า ช่วงรายการเลิกนั้น เธอเสียใจจนร้องไห้ออกมาเพราะชอบรายการนั้นมาก
“เป็นรายการสัมภาษณ์สด แล้วก็มีโฟนอินของน้องๆ คุณพ่อ คุณแม่ที่เขามีปัญหา หาทางออกกับปัญหาชีวิตไม่ได้ บางคนจากรายการนี้เรายังติดต่อพูดคุยกันอยู่เลยนะ คือเราก็ไม่เรียกเขาว่าแฟนคลับหรอก เขาก็เหมือนเพื่อนหรือน้องเราคนหนึ่ง”
ในรายการทีวีตอนนั้นผู้ร่วมรายการบางคนมีอาการเจ็บป่วย อยากได้กำลังใจจากเธอ เมื่อเธอให้กลับไปในตอนนั้น พอถึงทุกวันนี้ผู้ร่วมรายการบางคนแต่งงานมีลูกแล้ว เธอพูดเล่นๆ ว่า แซงหน้าเธอไปแล้วด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดทำให้เห็นว่า สิ่งที่เธอทำในวันนั้นมันส่งผลดีให้เห็นในวันนี้เพียงใด
“จากที่วันนั้นเราให้กำลังใจพูดคุย ให้คุณหมอจิตแพทย์หาทางออกให้เขา เขาสามารถดำเนินชีวิตจากนั้นต่อมาได้ ตอนนั้นมันเหมือนได้ช่วยคน ช่วยสังคมไปด้วย เพราะชลเชื่อว่า ในสังคมบางคนมีปัญหาแต่ไม่รู้จะหาทางออกยังไง ไม่คิดว่าถึงขั้นจะต้องไปถึงโรงพยาบาลหรือเปล่า ก็อยากจะได้พื้นที่หนึ่งที่จะมารับฟัง หาโซลูชันที่จะออกจากปัญหา สิ่งที่ได้เรียนรู้จากรายการนี้คือการไปพบจิตแพทย์ไม่ใช่เรื่องผิดปกติมันเป็นเรื่องที่ถ้าคุณรู้สึกว่า คุณจะต้องไปคุณก็ต้องไป เพราะว่ามันจะได้ช่วย ไม่ใช่ว่าคุณไปคุยกับจิตแพทย์แล้วคุณบ้า ไม่ใช่ มันก็เป็นการหาคำตอบอย่างหนึ่งให้แก่ตัวเอง”
ในความทรงจำถึงรายการคลับเอ็กซ์ เธอยังจำได้ว่า แม้ต้องทำงานหนักตี 1 - 2 ตั้งแต่จันทร์ - ศุกน์ เธอก็ยังทำได้ เพราะนอกจากช่วยเหลือคนอื่น เธอรู้สึกมันยังช่วยบำบัดตัวเธอเองด้วย
“ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นโรคจิตนะ แต่มันทำให้เรามีสติมากขึ้น แม้กระทั่งแม่ของเราเอง เพราะแม่ก็ดูรายการเรา เราสังเกตเลย เอ..!ทำไมดูเข้าใจเรามากขึ้น ตอนแรกเขาก็จะเข้มงวดหน่อย เฮี้ยบๆ หน่อย ตอนหลังเขาก็จะอ๋อ! เข้าใจ แล้วก็ทะเลาะกันน้อยลงด้วย”
ทวงคืนตำแหน่งเซ็กซี่สตาร์!??
งานถ่ายแบบเซ็กซี่คือการฉายภาพเรือนร่างในฐานะนางแบบสื่อสารออกมาเป็นภาพที่สวยงาม ด้วยองค์ประกอบของการถ่ายภาพกับการโพสท่าให้สรีระที่สวยงาม หลังจากห่างหายจากงานแนวนี้ไป 3 ปี เธอเผยว่า ยังคงมีความรู้สึกเกร็งๆ อยู่บ้าง
“บรรยากาศการทำงาน ทีมงานน่ารักทุกคนมีพยายามช่วยแนะนำในการถ่าย เพราะนานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้ถ่ายแฟชั่นซัมเมอร์แบบนี้ ตัวชลเองอาจจะเกร็งๆ หน่อยในช่วงแรก แต่ได้ทีมงานที่ดี ชลก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นในตอนหลังๆ ทุกคนเป็นกันเองมากๆ”
กับผลงานที่ออกมานั้น เธอก็รู้สึกภูมิใจเพราะมันสวย แม้ว่าจะไม่ได้สวยในอุดมคติอย่างนางแบบก็ตาม เพราะรูปร่างของเธอเองก็เป็นสรีระอย่างผู้หญิงทั่วไปเท่านั้น
“ก็สวยค่ะ ไม่ได้หมายความว่าตัวเองสวย แต่หมายถึงภาพที่ถ่ายออกมา ทุกคนช่วยกันจัดองค์ประกอบให้มันออกมาแล้วดูดี รู้สึกว่ามันออกมาดีตามที่เราหวังแล้ว มันก็ไม่ใช่หุ่นนางแบบ เป็นสรีระผู้หญิงปกติ เราก็รู้สึกพอใจกับผลที่ออกมาและขอบคุณพี่ๆ ทีมงานทุกคนด้วย”
เมื่อถามถึงความคาดหวัง เธอเอ่ยว่า งานถ่ายแบบครั้งนี้เป็นการกลับมาถ่ายแบบเซ็กซี่ครั้งแรกในรอบหลายปี ตั้งแต่เธอไปเรียนและกลับมา เธอจึงอยากให้ผลงานครั้งนี้อยู่ในกระแส แต่หากไม่ถึงขั้นนั้น เพียงแค่คนได้ดูแล้วรู้สึกชอบผลงานของเธอก็เพียงพอแล้ว
“ตื่นเต้นมากๆ หวังว่าผู้อ่านทุกๆ คนจะชอบ อยากจะซื้อหนังสือ แชร์กันในโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็คาดหวังว่ามันจะอยู่ในกระแส หวังว่าคนจะชอบมันก็พอแล้ว”
เมื่อพูดถึงมาดเซ็กซี่ ดาราสาวหลายคนจับจองภาพลักษณ์นี้ไว้อย่างมั่นคง ยิ่งกล้าโชว์ ยิ่งเป็นที่พูดถึง การกลับมาครั้งนี้ของเธอที่จะทวงคืนบัลลังก์เซ็กซี่สตาร์ เธอตอบด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีว่า ไม่ได้ถึงขั้นนั้น เพราะเธอมองว่าการถ่ายแบบเซ็กซี่นั้นเป็นมุมหนึ่งของผู้หญิงที่ทุกคนต้องมี และเธอก็เลือกที่จะถ่ายทอดมันมีออกมาเป็นผลงานอย่างหนึ่ง
“ความจริงก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลับมาทวงบัลลังก์เซ็กซี่เหมือนในข่าวนะ มันก็เป็นงานชิ้นหนึ่งและเป็นมุมหนึ่งของผู้หญิง เพราะผู้หญิงทุกคนก็จะมีความเซ็กซี่ในตัว ตอนนี้เป็นช่วงซัมเมอร์ มันก็จะเป็นอีกมุมหนึ่งในการถ่ายทอดผลงานความเป็นผู้หญิง”
ยามว่างสร้างแรงบันดาลใจ
“ชอบเล่นกีฬา ท่องเที่ยว กับวาดรูปค่ะ” เธอเอ่ยถึงงานอดิเรก 3 อย่างในชีวิต และใครเลยจะเชื่อว่า นางร้ายอย่างเธอจะชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก และวาดเก่งถึงขั้นชนะเลิศจนมีชื่อประกาศหน้าเสาธงโรงเรียนมาแล้ว
“ก็วาดมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็มีหยุดเป็นบางช่วงเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็กลับมาวาดรูปอีกแล้วแหละ ตั้งแต่เด็กๆ จะไปประกวดวาดรูปที่นั่นที่นี่ ได้รางวัลด้วย จะดีใจเวลาประกวดแล้วชนะ โรงเรียนก็จะมาประกาศชื่อที่หน้าเสาธงว่า เราเนี่ยไปประกวดแล้วชนะมา ภูมิใจมากเวลามีชื่อประกาศหน้าเสาธง ตอนเป็นเด็กก็เป็นเด็กกิจกรรมวาดรูป ครูศิลปะจะส่งไประกวด”
รูปที่เธอนั้นจะเป็นแนวแอบสแตรก ไม่ได้วาดภาพเหมือน หากเป็นรูปวิว มันก็จะเป็นวิวในความรู้สึกของเธอ เสน่ห์ของการวาดรูปสำหรับเธอคือการทำให้กระดาษว่างเปล่าสีขาวเกิดรูปเกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ โดยผลงานการวาดรูปเธอก็มีเก็บเอาไว้ มีความคิดจะต่อยอดจากสิ่งที่มีอยู่ แต่ด้วยเวลาที่ทุ่มให้แก่งานในวงการ เธอจึงยังไม่มีโอกาสลงมือกับงานด้านศิลปะและเก็บมันไว้เป็นเพียงงานอดิเรกของชีวิตเท่านั้น
อีกกิจกรรมยามว่างคือการท่องเที่ยว เธอชอบไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ช่วงที่ไปเรียนอยู่ที่อเมริกา เธอก็ได้ไปเที่ยวหลายที่ โดยเมืองหนึ่งที่เธอประทับใจมากที่สุดคือ เมืองซีแอตเทิล แม้ว่าหลายคนจะบอกกับเธอว่า ที่นี่ไม่ค่อยจะมีอะไรเที่ยวก็ตาม
“เรารู้สึกชอบซีแอตเทิลมาก ได้ไป 3 - 4 ครั้งภายในช่วงเวลาที่ไปเรียน รู้สึกว่ามันเป็นเมืองที่สงบดี มีความวุ่นวายบางๆ แต่ไม่เยอะจนเกินไป แล้วก็มีความชิลแต่ก็ไม่ชิลเกินไป ทั้งยังรายล้อมไปด้วยธรรมชาติ แล้วเวลาชลไปก็ไม่ได้ไปแต่ในตัวเมือง บางทีก็ไปเที่ยวในอุทยานแห่งชาติของเขา ซึ่งความจริงที่ไหนมันก็มีแหละ แต่พอดีชอบที่นั่น แล้วเวลาเราได้ไปอยู่บนจุดที่สูงที่สุด เป็นภูเขาสีเขียวอีกฝั่งหนึ่งเป็นหิมะได้นั่งกินข้าวปั้นที่ทำเอง มันไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว”
การท่องเที่ยวออกไปเปิดโลก เธอเผยว่า นอกจากเป็นการพักผ่อน มันยังส่งผลต่อการทำงานด้วย เพราะเมื่อทำงานหนัก การชาร์จแบตฯเพื่อทำให้หัวโล่งขึ้น ให้สามารถเติมสิ่งใหม่ๆ เข้าไป แล้วคิดงานใหม่ๆออกมาได้ก็เป็นสิ่งสำคัญ แรงบันดาลใจในการทำงานนั้น เธอบอกเลยว่า เกิดจากการมองสิ่งรอบตัวและออกไปคุยกับผู้คน
“อันนี้เรียนรู้กันได้เอง เรื่องอินสปายเรชั่นสามารถหาได้รอบตัว เวลาเราอยู่ในที่ใดที่หนึ่งนานๆ เกินไป บางครั้งเราก็ต้องออกไปท่องเที่ยวเพื่อที่จะชาร์จพลังงานของเรา เพื่อที่จะได้เติมอินสปายเรชั่นเข้าไปได้ เพราะว่าบางทีชีวิตที่อึนอยู่กับที่เดิม เจออะไรซ้ำซาก ตลอดเวลามันก็เหมือนทำให้ร่างกายมันแน่น เราก็ต้องเอาไปทิ้งบ้าง เพื่อให้ร่างกายจะได้เติมอะไรเข้าไปได้อีก”
เมื่อถามถึงปรัชญาการดำเนินชีวิต นางร้ายสาวคนสวยเอ่ยก่อนว่า ไม่ยาก เพียงแค่ใช้ชีวิตให้มีความสุข แต่เมื่อเธอขยายก็ดูเหมือนว่า นิยามของความสุขของเธอจะไม่ใช่เพียงความสุขของคนเห็นแก่ตัว หากเป็นความสุขของมนุษย์คนหนึ่งที่ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างครบถ้วนด้วย
“ไม่ยากนะคะ ก็แค่ใช้ชีวิตให้มันมีความสุข” เธอเอ่ย จากนั้นก็ขยายความ “สุขก็คือสุขบนพื้นฐานความรับผิดชอบที่เราต้องทำ อย่างแรกคือต้องรู้ก่อนว่าเรามีหน้าที่อะไรบ้าง หน้าที่ในฐานะลูก หน้าที่ในฐานะคนทำงาน หน้าที่ในฐานะต้องรับผิดชอบตัวเอง
“เรารู้ว่า เรามีหน้าที่อะไรแล้ว เราก็ปฏิบัติหน้าที่ของเราให้มันเติมที่ เพราะว่าถ้าเราทำพื้นฐานของวันนี้ให้มันดี คำตอบของอนาคตมันก็รออยู่ข้างหน้า รับผิดชอบบทบาทที่มีในวันนี้ให้ดีที่สุด”
แต่ชีวิตที่ใช้ให้ดีที่สุดก็เป็นธรรมดาที่ต้องเหนื่อยหนักกับการทำงาน เธอเผยว่า เวลารู้สึกเหนื่อยหรือท้อใจ แม่คือคนที่ทำให้เธอหายเหนื่อยได้ทุกเมื่อ
“เวลาเหนื่อยก็จะคิดถึงคุณแม่ (หัวเราะ) คุยกับแม่ว่าเหนื่อยท้อ แม่เขาก็จะให้กำลังใจเรา พอให้กำลังใจเสร็จปุบ เราก็จะออกไปหาที่ที่ เราอยากไปสักที่หนึ่ง ที่ที่เราไม่เคยไป เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ พอเรากลับมา เราจะมีความสุขและอยากจะสู้ใหม่ ยิ่งเวลาออกไปที่ใหม่ๆ เจอคนที่เขาลำบากกว่าเรา หรือเห็นคนที่เขาเคยอย่างงี้มานะ เขายังมีวันนี้ได้ เรายิ่งมีกำลังใจ”
ประวัติ
ชื่อ ชล วรานนท์
วันเกิด 16 กันยายน 2528
งานอดิเรก ท่องเที่ยว, วาดรูป, เล่นกีฬา
การศึกษา ปริญญาตรี นิเทศศาสตร์ สาขาโฆษณา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 2, ปริญญาโท multimedie communications academy of art university, san francisco, CA, USA
ผลงาน พิธีกรรายการคลับเอ็กซ์, ภาพยนตร์เรื่อง สวยลากไส้, 4 แพร่ง ละครโทรทัศน์ รักนี้...เคียงตะวัน, สายลับ เดลิเวอรี่, ไฟโชนแสง, มณีสวาท พิธีกรทางช่องทราเวลแชนแนล รายการวิทยุ คอนเน็กประเทศไทย เอฟเอ็ม106
เรื่องโดย ทีมงาน M-Lite
ภาพจาก นิตยสารmars ประจำเดือนเมษยน 2556 ,อินสตาแกรม @chollyw