xs
xsm
sm
md
lg

สู้เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ “คุณหญิงพิมพ์ใจ คุปตะวินิจ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คุณหญิงอ๊อย-พิมพ์ใจ คุปตะวินิจ อดีตผู้ถวายงานพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ
 
ใครจะเชื่อบ้างว่าท่ามกลางควันระเบิดของแก๊สน้ำตา จากเหตุปะทะกันระหว่างตำรวจกับประชาชน ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น จะมีคุณหญิงอ๊อย-พิมพ์ใจ คุปตะวินิจ อดีตผู้ถวายงานพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ อยู่ในเหตุการณ์คอยวิ่งส่งผ้าชุบน้ำให้เพื่อนร่วมชาติที่บาดเจ็บอย่างบ้าระห่ำ จนเพื่อนต้องช่วยกันลากตัวออกมา ซึ่งเธอเองยอมรับ ถ้าต้องตายในวันนั้นก็เต็มใจที่จะทำด้วยความภาคภูมิใจ
คุณหญิงอ๊อยกับ 2 เพื่อนสนิท ตุ้ย-มณวิภาและโจ๊ก-พุทธพงษ์
 
คุณหญิงอ๊อย-พิมพ์ใจ คุปตะวินิจ เป็นบุตรของ ดร.วินิจ กับคุณหญิงพรรณี วินิจนัยภาค อดีตผู้ถวายงานตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เธอเริ่มต้นเล่าเรื่องราวชีวิตที่เรียบง่ายว่า แม้จะถูกส่งตัวไปศึกษาต่างประเทศตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่ด้วยความที่อยู่ใกล้ชิดพ่อ-แม่มาตลอด ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงงานหนักตลอดเวลาจึงติดตรึงอยู่ในหัวใจเธอมาตลอด เมื่อกลับเมืองไทยเธอเห็นคุณพ่อตามเสด็จในหลวง ทุกสถานที่ที่ไปส่วนใหญ่ทุรกันดาร หลายพื้นที่รถเข้าไม่ถึงต้องเดินเท้า บางครั้งต้องเข้าไปพื้นที่สีแดงที่อันตราย แม้ทุกคนเหนื่อย หากแต่ความเหนื่อยนั้นเมื่อเปรียบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯแล้ว ไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวของพระองค์ท่าน

“มีครั้งหนึ่งพ่อกลับถึงบ้านก็รีบบอกลูกว่าวันนี้พ่อได้รับน้ำมนต์จากสวรรค์ ดิฉันก็ทำหน้าสงสัย พ่อก็อธิบายว่า ตามเสด็จวันนั้นมีประชาชนมาเข้าเฝ้าฯเยอะมาก ในหลวงทรงมีพระราชดำรัสกับประชาชนอย่างไม่ถือองค์ พ่อต้องคุกเข่าคอยถวายงานใกล้ชิด ระหว่างที่พระองค์ก้มลงเพื่อตรัสกับคนที่มาเข้าเฝ้า ปรากฏว่าพระเสโท (เหงื่อ) หยดลงมาที่หัวพ่อ (เสียงเครือ) ความเหนื่อยกับหัวเข่าที่ปวดเมื่อยเพราะต้องคุกเข่านานนั้น มันหายไปหมดเลย พ่อเล่าเสมอว่าไปเสด็จไปทรงเยี่ยมประชาชนทุกครั้งไม่ว่าไกลแค่ไหน พระองค์ท่านไม่เคยรับสั่งว่าเหนื่อยหรือท้อให้ใครได้ยินเลย”
ในเหตุการณ์วันที่ 1 ธันวาคม 2556
 
คุณหญิงอ๊อยยังบอกอีกว่า ทุกครั้งที่ได้อ่านพระราชกรณียกิจของในหลวงก็ยิ่งทำให้เธอประทับใจในพ่อหลวงมากขึ้น โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่จ.นราธิวาส ขณะที่พระองค์ท่านทรงงานแล้วมีเสียงระเบิดดังขึ้น ประชาชนที่มาเข้าเฝ้าต่างตกใจวิ่งหนีกันแตกตื่น แต่พระองค์ท่านทรงนิ่งไม่หนีไหน ป้าคนหนึ่งตกใจวิ่งหนีไปแล้ว แต่หันกลับมาเห็นในหลวงยังประทับอยู่ที่เดิม ก็รู้สึกตัวเองว่าผิดที่วิ่งหนี ทั้งที่ในวันนั้น พระองค์ท่านเสด็จมาเยี่ยมพสกนิกรด้วยความลำบาก
"ประโยคที่ป้าคนนั้นให้สัมภาษณ์ว่า"ท่านไม่ทิ้งพวกป้าแล้วจะให้ป้าทิ้งท่านได้อย่างไร?อ่านจบถึงกับน้ำตาไหลเลยค่ะ...ดิฉันมีความเชื่อว่าที่พระองค์ท่านไม่ทรงเสด็จหนีเพราะท่านทรงมั่นใจในความรักของประชาชนที่มีต่อท่าน ตรงนี้ที่ทำให้ซาบซึ้งดีใจที่ได้เกิดมาเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน”
ในเหตุการณืวันที่ 1 ธันวาคม 2556
 
คุณหญิงเลือดนักสู้ยังบอกว่า ปกติแล้วเป็นคนชอบทำกับข้าวมากๆไม่เคยสนใจเรื่องการเมือง เพราะไม่เชื่อมั่นนักการเมืองไทย การมาชุมนุนครั้งนี้ เธอยืนยันว่าไม่ได้เป็นแฟนคลับของพรรคประชาธิปัตย์ หรือสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่มาด้วยใจ “ดิฉันเห็นว่านักการเมืองไทยไม่โกงกินก็ตามน้ำ จะมีก็แต่คุณชวน หลีกภัยนะคะที่ดูสมถะที่สุด สมัยก่อนหากโกงกินก็จะแอบๆซ่อนๆ แต่สมัยนี้ กินกันโจ่งแจ้ง มูมมามและน่าเกลียดมากเกินไป ตรงนี้ทำให้ทนไม่ได้ค่ะ”

 
สำหรับการร่วมชุมนุมของเธอถือเป็นเรื่องปกติ ไม่เคยเจอเหตุรุนแรงจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนที่เธอตั้งใจไปปฏิบัติธรรมที่ปีนัง แต่ต้องยกเลิกกระทันหัน เพราะเหตุการณ์รุนแรงขึ้น และในวันที่ 1 ธันวาคม เมื่อเห็นข่าวตำรวจยิงแก๊สน้ำตาแล้วอยู่เฉยไม่ได้
“รู้เลยว่าถ้าไปก็จิตใจก็ไม่สงบ คือใจเราอยู่ตรงราชดำเนิน ก็ตัดสินใจทิ้งตั๋วไม่ไปแล้วปีนัง โทรศัพท์ชวนตุ้ย (มณวิภา อรรถยุติ) กับ โจ๊ก (พุทธพงษ์ เพียรเจริญ) พวกเราไปถึงหน้าทำเนียบฯ ยืนแป๊ปเดียวก็ได้ยินเสียงน้องๆพวกอาสาเขาตะโกนเรียกพี่มาหลบตรงนี้ดีกว่า ตรงนั้นที่โล่งอันตราย เราก็วิ่งไปยังไม่ทันถึงจุดหมาย ระเบิดมันมาอีก พวกเราก็ไปเกาะต้นไม้คนละต้นเอาเป็นที่กำบัง เด็กก็ตะโกนมาอีก (เสียงสูง) ไม่ได้คุณพี่ตรงนั้นมันบังไม่ได้ หมอบแล้วคลานมา พวกเราก็คลานไป ตอนนั้นทุกอย่างมันบีบหัวใจมาก น้องๆเขาก็ให้หน้ากากกับผ้าขนหนูมาคนละชุด ใส่เสร็จไม่ทันไรระเบิดก็มาอีกเป็นสิบลูก ครั้งนี้คนก็กระเจิงหนีกันหมด ตรงที่แจกผ้าขนหนูเหลือไม่กี่คนเลยไปช่วยเขา ใครโดนแก๊สน้ำตาวิ่งมาไม่ถึง เราก็วิ่งไปให้เพราะมันแสบตามากค่ะ”
คุณหญิงพิมพ์ใจกับลูกสาวและสูกชาย
 
คุณหญิงอ๊อยยอมรับว่าไม่คิดว่าต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ความรู้สึกคือ เสียใจที่คนไทยต้องมาทะเลาะกันเอง และเห็นว่าสิ่งที่ตำรวจทำไม่ถูกต้อง “ประชาชนมือเปล่า นาทีนั้นดิฉันไม่คิดอะไร ระเบิดมาก็ไม่กลัว ออกไปยืนแจกผ้ากลางถนนเลย จนตุ้ยตะโกนเรียก “อ๊อยเธอกลับมาก่อน เดี๋ยวก็ตายหรอกลูกฉันโตแล้ว แต่ลูกเธอยังเล็กนะ” แต่ดิฉันไม่ได้ยิน โจ๊กเลยวิ่งไปลากดิฉันเข้ามา สองคนนั้นยกลูกขึ้นมาเตือนสติเลยยอมกลับ แต่ในใจรู้สึกเสียดายคิดว่าตายเป็นตาย รับไม่ได้กับความไม่ถูกต้อง”

 
แม้จะเจอเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่า น่ากลัวที่สุดสำหรับเธอแล้ว แต่เมื่อการต่อสู้ยังไม่ชนะเบ็ดเสร็จ คุณหญิงอ๊อยจึงตั้งใจที่จะลงมาต่อสู้อีก “ตอนกลับมามีเพื่อนถามว่าถ้ามันเกิดตูมตามขึ้นมา เธอจะช่วยอะไรได้ ดิฉันก็ตอบไปเลยว่า ถึงช่วยอะไรไม่แต่ก็ภูมิใจที่ได้เป็นจุดเล็กๆบนแผ่นดินนี้และ ได้แสดงออกถึงความกตัญญูต่อแผ่นดินเกิด สำนึกอยู่เสมอว่ามีบุญนักหนาที่ได้เกิดบนแผ่นดินที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและแผ่นดินที่มีพระเจ้าแผ่นดินที่รักหวงใยประชาชนของพระองค์ท่านเหมือนลูกหลาน”
ภาพใบหน้าอ่อนหวานกับแววตาที่มุ่งมั่นทำให้เราอดชื่นชมเธอไม่ได้ เธอมิใช่เป็นเพียงคุณหญิงที่ไม่กล้าหยิบจับอะไร แต่เธอคือคุณหญิงที่มีวิสัยทัศน์และใจเปิดกว้างกับโลกใบนี้ กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่สนใจอันตรายที่จะมาถึงตัวเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น