xs
xsm
sm
md
lg

ปิ่นยศ & ภาวิณี พิบูลสงคราม หลงรักทะเลจนต้องตั้งชื่อลูก “ฟ้าใส & น้ำฟ้า”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>ขณะที่การตั้งชื่อลูกสมัยนี้ ชอบเน้นชื่อแปลกๆ ไม่ซ้ำใคร ซึ่งมักจะยากทั้งการสะกดคำและการออกเสียงให้ฟังดูวิลิศมาหรา แต่ครอบครัวอันแสนอบอุ่นน่ารักของ “คุณป๊อป-ปิ่นยศ” และ “คุณต่าย-ภาวิณี พิบูลสงคราม” ขอแหวกแนวตั้งชื่อลูกสาวทั้ง 2 คนเอง เป็นชื่อเรียกง่ายๆ ที่แสนไพเราะว่า “ฟ้าใส” และ “น้ำฟ้า” ที่มีความหมายถึงท้องทะเลอันเป็นสถานที่สุดพิเศษของครอบครัว

ทันทีที่ก้าวเข้าประตูบ้านที่ย่านถนนนราธิวาสราชนครินทร์ของครอบครัวพิบูลสงคราม สิ่งที่โดดเด่นปะทะสายตาที่กวาดมองออกไปคือบ้านของเล่นและสไลเดอร์สีสันลายลูกกวาด ที่ตัดฉับกับสีเรียบๆ ของบ้านที่ออกแบบตกแต่งสไตล์โมเดิร์น และเมื่อก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน ก็พบกับสกู๊ตเตอร์ 3 ล้อของเล่นเด็ก และม้าโยกตัวน้อยยืนต้อนรับ ด้านในมีมุมสำหรับเด็กที่มีห้องครัวจำลอง โต๊ะต่อเลโก้ และชั้นวางของที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือนิทาน ตุ๊กตา และของเล่นสารพัดชนิด
... เห็นแบบนี้ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าบ้านนี้ใครใหญ่สุด

“ลูก” จุดศูนย์กลางของชีวิต
“ตอนแรกที่ตั้งใจสร้างบ้านก็วางแผนออกแบบไว้สวยงามเลยนะ สไตล์โมเดิร์น ตรงนั้นเป็นระเบียง ตรงนี้เป็นสระว่ายน้ำ แต่พอเริ่มทำไปได้หน่อย ก็ท้องคนแรกพอดี ซึ่งพอมีเขาเข้ามาเป็นตัวแปรใหม่ปุ๊บ แผนชีวิตเปลี่ยนเลย สระน้ำเอาออก เพราะกลัวเขาจะตกลงไป ปรับตรงนั้นตรงนี้ให้เหมาะกับเด็ก และยิ่งพอมีสองคน ยิ่งรวมพลังกันยึดครองทั้งบ้านเลย มุมไหนๆ ก็กลายเป็นมุมเด็กไปหมด ของเล่นเต็มบ้านเลย (หัวเราะ)” ภาวิณี คุณแม่คนสวยกล่าว

เรียกได้ว่าตั้งแต่ทายาทตัวน้อยเกิดมา โลกของพ่อและแม่ก็เปลี่ยนไปทั้งใบ โดยภาวิณีเล่าให้ฟังว่า “ชีวิตก่อนมีลูกกับตอนนี้ต่างกันแบบคนละขั้ว แต่ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ดีกับไม่ดี มันมีความสุขทั้งคู่แต่เป็นความสุขที่ต่างกัน อย่างตอนท้องอยู่ยังคิดอยู่เลยนะ ว่าเราจะรักเขาได้ขนาดไหน จะรักลูกได้เท่าสามีหรือเปล่า เพราะคู่เรารักกันมาก ในใจยังแอบคิดว่าลูกจะมาเป็นส่วนเกินแน่ๆ แต่พอนาทีที่เขาคลอดออกมา มันเปลี่ยนลำดับความสำคัญทั้งชีวิตไปหมดเลย เขากลายเป็นที่หนึ่ง เป็นจุดศูนย์กลางของทุกอย่าง เวลาไปเดินห้างแต่ก่อนก็เดินชอปปิ้งสนุกสนาน แต่ทุกวันนี้ของที่หิ้วกลับมามีแต่ของลูกเต็มไปหมด มองไปก็แบบอันนั้นน่ารักเหมาะกับเขา อันนี้เขาน่าจะชอบ

หรืออย่างปกติป๊อปกับต่ายชอบเดินทางท่องเที่ยว ไปดำน้ำ ไปตะลุยผจญภัยกัน ทุกวันนี้กลายเป็นเดินทางทริปเด็กหมด ไปสวนสัตว์ ไปขี่ม้า ป้อนแกะ ไปสวนสนุก ธีมปาร์ก อย่างไปญี่ปุ่นหรือฮ่องกงนี่นอนดิสนีย์เท่านั้นเลย พ่อแม่ไม่มีสิทธิแล้ว เราให้เขาสำคัญที่สุด”

“ผมเองทุกวันนี้ด้วยหน้าที่ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการขายและการตลาด สายการบินนกแอร์ ทำให้ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดบ่อย แต่ก็พยายามไม่ค้างคืนครับ อยู่ทำงานเต็มที่ แล้วก็กลับไฟลต์ดึกสุด อยากกลับมาอยู่กับลูกๆ กับภรรยา อยากอยู่กับเขาทุกวัน มันเป็นความสุขของชีวิต”

“พ่อ” พี่ชายคนโตของบ้าน
สองสาวน้อยที่เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ ตอนนี้กำลังปิดเทอมจากโรงเรียนบางกอกพัฒนา โดยน้องฟ้าใส วัย 6 ขวบ กำลังจะขึ้นชั้น Year 2 หรือประถมศึกษาปีที่ 1 จะออกแนวเงียบๆ เรียบร้อย ตามสไตล์พี่สาวคนโต ในขณะที่น้องน้ำฟ้า วัย 4 ขวบ ที่กำลังจะขึ้นชั้น Year 1 หรือชั้นอนุบาล 3 เป็นน้องคนเล็กที่มั่นใจ สดใส สนุกสนาน ที่พร้อมจะกระโดดตีลังกาได้ทุกเวลา

“เวลารวมแก๊งกัน 3 คนพ่อลูก เขาจะทะโมนมาก ป๊อปเขาจะชอบพวกกีฬาผาดโผดอยู่แล้ว ก็นำทีมลูกเล่นกันสนุกไปเลย เล่นเหมือนเป็นลูกชายเลยนะ เตะบอล สเกตบอร์ต จักรยาน ไถสกู๊ตเตอร์ในบ้านกันจนพื้นไม้เป็นรอย หรือถ้าวันไหนต่ายกลับบ้านดึกให้พ่อพาเข้านอน เขาก็จะเล่นกันจนเลยเวลานอน พอเรากลับมาก็จะแบบ “อุ๊ย แม่มาแล้ว” ก็รีบปิดไฟวิ่งเข้านอน ทำตัวเป็นพี่ชายคนโตเลย ลูกจะรักป๊อปมาก เพราะอยู่กับเขาแล้วสนุกไง ตามใจลูกตลอด” คุณต่ายแอบแฉสามีให้ฟัง

ฝ่ายคุณพ่อที่นั่งฟังยิ้มๆ แบบไม่มีข้อโต้แย้งอะไร ก่อนจะรีบเอ่ยแก้ตัวว่า “ก็พ่อเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว ออกไปทำงานทุกวัน มีเวลาอยู่กับลูกๆ น้อย ทุกช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันก็อยากทำให้เป็นเวลาที่มีความสุข สนุกที่สุด ไม่อยากจะมาดุ มาบังคับอะไร ก็ให้เวลาเล่นกันเต็มที่ พาไปกินของอร่อยๆ ขนมบ้าง ฟาสต์ฟูดบ้าง ซึ่งก็นานๆ ที แต่คุณแม่เขาก็จะบ่นเพราะมันไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ”

“ลูกๆ จะรู้สึกว่าต่ายเจ้าระเบียบ เพราะด้วยความที่เราเป็นแม่ ต้องดูแลลูกๆ ให้เขาได้มีพัฒนาการตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เราจึงต้องสวมบทดุบ้าง เพราะอยากให้เขาได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน กินนอนเป็นเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ ห้ามนอนดึก จำกัดเวลาดูโทรทัศน์ และเล่นไอแพด เพราะไม่อยากให้เขาหมกมุ่นอยู่กับของพวกนี้มากนัก เดี๋ยวสายตาเสีย แต่ไม่ถึงกับไม่ให้เล่นเลยเหมือนอย่างบางครอบครัวนะ เพราะต่ายว่าของพวกนี้มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย อยู่ที่เราต้องรู้จักเลือกใช้ให้ถูกต้อง...
อย่างไอแพดก็เลือกโหลด App ที่มันช่วยเสริมสร้างสติปัญญาและทักษะ เวลาเขาเล่นเราก็จะนั่งดูอยู่ด้วย ส่วนโทรทัศน์จะเปิดให้ดูแผ่นการ์ตูน นิทาน ภาษาอังกฤษ แบบที่มันไม่มีความรุนแรงหรือสู้รบกัน กับช่องดิสนีย์ที่ซื้อให้เขาโดยเฉพาะเลย เป็นการ์ตูนแนวลับสมอง มีภารกิจให้คิดตามในแต่ละตอน”

“เทคโนโลยีสมัยนี้ มันมีอะไรดีๆ สำหรับเด็กเยอะนะครับ จะไปตัดขาดเรื่องพวกนี้เลยมันเป็นไปไม่ได้ อย่างไอแพดนี่โรงเรียนเขาก็มีใช้ในการเรียนการสอนแล้ว เราต้องยอมรับว่าโลกมันหมุนไปทางนี้ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องหมุนตามให้ทันโลก ผมว่าเราหันมาดูแลให้เขารู้จักใช้งานมันอย่างถูกทาง ถูกวิธีดีกว่า คอยดูตอนเขาเล่นอย่างใกล้ชิด”

สองสาวน้อยนักกิจกรรม
ครอบครัวนี้ไม่เคยอยู่นิ่ง ในช่วงวันธรรมดานอกจากการเรียนแล้วก็มีกิจกรรมมากมายไม่ว่าจะเป็นศิลปะ ดนตรี กีฬาให้เลือกทำ พอวันหยุดสุดสัปดาห์ก็พากันหอบหิ้วไปต่างจังหวัด หรือไม่ก็ไปเข้าคลาสทำกิจกรรมเสริมทักษะต่างๆ

“เราเป็นพวกอยู่นิ่งไม่ค่อยได้ เป็นบ้านนักกิจกรรม ถ้าอยู่บ้านหรืออยู่เฉยๆ เราจะหงอย แล้วอีกอย่างถ้าเด็กอยู่กับบ้านมากๆ มันก็หนีไม่พ้นเทคโนโลยี อย่างพวกโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์ เราอยากให้เขาได้สัมผัสกับธรรมชาติ ก็จะพาเขาไปต่างจังหวัดบ่อยมาก ไปเจอธรรมชาติดีๆ ไปเที่ยวทะเล ไปออกกำลังกาย และปกติที่โรงเรียนก็จะมีกิจกรรมให้เลือกทำมากมาย”

ไม่ว่าจะเป็นดนตรี เต้นรำ บัลเลต์ วาดเขียน ปั้นดิน ยิมนาสติก เรียกว่ามีทุกกิจกรรมให้เด็กๆ ได้สนุกสนาน โดยคุณแม่ต่ายเปิดโอกาสให้น้องๆ เลือกเองเลยว่าอยากเรียนอะไร

“มันเป็นแนวคิดที่เราได้มาจากคุณแม่ของคุณป๊อป ซึ่งเขามีเทคนิคสอนลูกที่ดีมาก ท่านไม่เคยกดดันลูก หรือบังคับให้ลูกต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาให้อิสระ ได้เลือกสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ทำให้เขาโตมาแบบไม่รู้สึกว่าขาด หรือรู้สึกเหมือนถูกปิดกั้นหรือตีกรอบใดๆ ซึ่งมันเป็นความชาญฉลาดของท่าน เพราะแม้จะเป็นสิ่งที่คุณป๊อปเลือกก็จริง แต่นั่นผ่านการพิจารณาจากคุณแม่มาก่อนแล้ว อย่างปิดเทอมนี่ลูกจะเล่นอะไรดี ฟุตบอล หรือเทนนิส อย่างดนตรีจะเล่นกีตาร์ หรือกลอง มันเป็นการเลือกจากสิ่งที่แม่เลือกไว้ให้แล้ว...

ต่ายเอาเทคนิคนี้มาใช้กับลูกต่อ เพราะที่โรงเรียนเขามีกิจกรรมให้เลือกทำเยอะ เราก็มาจัดกลุ่มแบ่งเป็นศิลปะกับกีฬา ให้เขาเลือก ลูกๆ เขาก็จะรู้สึกดีที่ไม่ได้โดนเราบังคับ ได้เลือกสิ่งที่เขาอยากทำด้วยตนเอง ซึ่งมันได้ผลดีมากเลย เพราะเทอมแรกต่ายเลือกให้เอง ดูเขาไม่ชอบก็ไม่อยากทำเท่าไร พอเทอมถัดมาให้เขาเลือกเอง เขาดูสนุกกับการเรียนมากขึ้นเยอะ โดยคนโตเขาเลือกแจ๊สแดนซ์ ร้องเพลงประสานเสียง ส่วนคนเล็กนี่ชอบพวกท่าทางลีลา ก็เลือกเรียนบัลเลต์ และดูท่าจะไปได้ดีด้านยิมนาสติก”

โรงเรียนอินเตอร์ วางรากฐานสู่อนาคต
ถึงแม้จะมีกิจกรรมมากมายให้ทำที่โรงเรียนแล้ว แต่บ้านนี้ยังมีอีกสองสิ่งที่น้องๆ ต้องเรียนเสริมเป็นพิเศษ นั่นคือ การว่ายน้ำ และภาษาไทย โดยสิ่งแรกนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็น ด้วยเป็นทักษะที่สำคัญของชีวิต แถมด้วยคุณพ่อคุณแม่ที่รักทะเลเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำ การเล่นกีฬาทางน้ำต่างๆ พื้นฐานการว่ายน้ำจึงนับเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ของลูกๆ บ้านนี้ ส่วนอย่างหลังก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะน้องๆ ทั้งคู่อยู่โรงเรียนนานาชาติ จึงต้องมีการเสริมความรู้ภาษาไทยให้ โดยมีครูมาสอนที่บ้านทุกวันหยุด และเพิ่มเป็น 3-4 วันต่อสัปดาห์ในช่วงปิดเทอม
“ผมมองว่ายิ่งเวลาผ่านไป โลกเรามันยิ่งต้อง Globalization ภาษาอังกฤษยิ่งจำเป็น การเรียนหลักสูตรอินเตอร์ มันจะได้เปรียบเรื่องการศึกษาต่อ และการทำงานต่อไปในอนาคต ก็เลยเลือกให้เรียนโรงเรียนนานาชาติ” คุณป๊อปกล่าว

คุณต่ายเสริมว่า “ตอนมองหาโรงเรียนให้ลูกก็คิดเยอะมากนะคะ ว่าจะให้เรียนที่ไหนดี โรงเรียนทางเลือก, สาธิต, หลักสูตร 2 ภาษา หรือ นานาชาติ สุดท้ายตัดสินใจเลือกที่บางกอกพัฒนา เพราะถูกใจระบบการเรียนการสอนของเขา ต่ายไม่อยากให้ลูกเจอแบบที่เราเคยผ่านมากับหลักสูตรแบบเดิมๆ เน้นท่องจำเพื่อไปสอบแบบโรงเรียนไทย มาเจอแนวการสอนของที่นี่ ซึ่งเขาจะไม่มีการมานั่งทำข้อสอบ แต่จะเป็นการวัดว่าเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการมากขึ้นเท่าไร ให้เด็กๆ แข่งกับตัวเอง ไม่ได้แข่งกับใคร มันเป็นอะไรที่ตรงใจมาก

โดยในทุกเทอมก็จะมาพิจารณาว่า เด็กๆ ควรพัฒนาด้านใดบ้าง แล้วก็ให้การสอน ช่วยให้เขาเรียนรู้ไปจนถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ พอสิ้นสุดเทอมนั้น ก็จะมีการประชุมกัน 3 คน คือ คุณครู ผู้ปกครอง และนักเรียน เปิดแฟ้มผลการเรียนวิเคราะห์กันเลยว่าสำเร็จตามที่ตั้งไว้ไหม โดยให้เด็กได้พิจารณาและประเมินผลตัวเองด้วย พร้อมให้มองว่ามีจุดด้อย จุดดีตรงไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไร และเทอมถัดไปต้องพัฒนาเรื่องอะไรอีกบ้าง ให้เด็กคิดเองเป็นหลัก ส่วนพ่อแม่กับคุณครูคอยช่วยเสริม มันช่วยสร้างระบบการวิเคราะห์ให้เด็ก การให้เขามีสิทธิ มีเสียงในการตัดสินใจ เขาจะรู้สึกดีที่ผู้ใหญ่ฟังเขาไม่ใช่เขาโดนบังคับให้เป็นอย่างนั้น ทำอย่างนี้”

คุณป๊อปกล่าวว่า “วิธีการนี้ผมว่ามันเจ๋งมากเลยนะ เพราะผมเองก็ใช้ขั้นตอนนี้ในที่ทำงานเหมือนกัน โดยจะให้ลูกน้องประเมินผล ดูพัฒนาการในงานที่ทำ และเขาวางขั้นตอนการทำงานต่างๆ เอง ซึ่งลูกๆ เราได้ฝึกใช้ฝึกคิดตั้งแต่ 4-5 ขวบเลยทีเดียว”

แนวการเรียนการสอนแบบนี้ถูกใจคุณแม่ต่ายเป็นอย่างมาก “ต่ายชอบเพราะมันช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้เด็ก โดยไม่ทำให้เขารู้สึก Fail กับการไปแข่งกับคนอื่น ไม่ต้องเอาตัวเองไปเทียบกับใคร ว่าใครเก่งกว่า ใครได้คะแนนเยอะกว่า แต่เป็นการมองตัวตนในด้านบวก ดูว่าตัวเองพัฒนาขึ้นตรงไหน ทำอะไรสำเร็จไปบ้าง รู้สึกดีกับตัวเอง ซึ่งต่ายเชื่อว่า ถ้าเรามีเรื่องให้ยินดีในความสำเร็จได้ทุกวัน แม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่มันจะกลายเป็นพลังที่ทำให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จของชีวิตในวันข้างหน้าได้ แล้วคุณจะใช้ชีวิตทุกวันอย่างมีความสุข”

แต่ถึงจะเรียนโรงเรียนนานาชาติ แต่ครอบครัวพิบูลสงคราม ก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยน้องๆ ทั้ง 2 กลายเป็นเด็กแบบฝรั่งที่ไม่สนใจมารยาทไทย โดยคุณแม่ต่ายจะกวดขันเรื่องมารยาทไทย คำพูดคำจา และการให้ความเคารพต่อผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าส่งให้ไปซึมซับกับวัฒนธรรมในแบบตะวันตก โดยไม่ลืมทิ้งรากเหง้าและตัวตนของความเป็นคนไทยไป เรียกได้ว่าเป็นคุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่พร้อมจะจับมือลูกๆ ก้าวไปสู่อนาคตข้างหน้าอย่างมั่นคงพร้อมๆ กัน

ครอบครัวนี้ผูกพันกับท้องทะเลเป็นอย่างมาก ด้วยทั้งพ่อและแม่ ต่างเป็นคนรักในการดำน้ำ และกิจกรรมทางน้ำด้วยกันทั้งคู่ โดยฝ่ายคุณป๊อปนี่เก่งกาจถึงขนาดเป็นครูสอนดำน้ำ แถมมีร้านสอนเล่น Kite Surf ชื่อ One2Kite อยู่ที่หัวหิน 77 อีกด้วย

“นอกเหนือจากหน้าที่ที่นกแอร์แล้ว แต่ก่อนผมยังรับเป็นฟรีแลนซ์สอนดำน้ำ และจัดทริปดำน้ำด้วย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยสอนแล้ว นอกจากพวกเพื่อนสนิท หรือญาติๆ กันเท่านั้น เพราะมันต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก เราอยากอยู่กับลูกมากกว่า ส่วนธุรกิจ Kite Surf เราก็มีหุ้นส่วนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด โดยผมจะแวะเข้าไปดูร้านเดือนละ 1-2 ครั้ง ก็ได้โอกาสขนครอบครัวไปเที่ยวทะเลด้วยเลย เป็นคนรักทะเลมาก เรียนดำน้ำมาตั้งแต่ยังเด็ก แล้วก็เล่นหมด วินด์เซิร์ฟ เวกบอร์ด ฯลฯ แต่ตอนนี้ด้วยหน้าที่การงานและครอบครัวทำให้ไม่ค่อยมีเวลาออกเดินทางไปเล่นกีฬาที่ชอบเท่าไร แต่โชคดีที่มี FLOW HOUSE มาเปิดที่กรุงเทพฯ เลยแวะไปเล่นเซิร์ฟให้พอหายอยากได้

แต่ก่อนผมกับต่ายจะไปตระเวนดำน้ำด้วยกันบ่อยมาก ไปหมด อียิปต์ บาฮามาส ฯลฯ แต่พอมีน้องเราก็ไม่มีเวลาจะไปทริปยาวๆ แบบนั้นได้ ก็ตั้งใจว่ารอลูกๆ โตกว่านี้หน่อย ค่อยหัดเขาดำน้ำ แล้วค่อยไปด้วยกันทั้งครอบครัว แต่เริ่มหัดให้เขาเล่นเซิร์ฟแล้วนะ โดยเริ่มๆ ให้นั่งก่อน แล้วค่อยทรงตัวขึ้นมา ค่อยๆ ฝึกไป กล้าหัดให้เขาตั้งแต่ยังเล็กๆ นี่เพราะเราเองก็เป็นครูสอนอยู่แล้ว ก็เลยรู้ว่ามันต้องดูแลอะไรบ้าง ระวังตรงไหน เล่นอย่างไรให้ปลอดภัย โดยเราดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ให้คลาดสายตาเลย”

คุณแม่ต่ายเสริมว่า “เราฝึกน้องๆ ให้ว่ายน้ำให้แข็งตั้งแต่เด็กๆ เลย อย่างคนเล็กนี้พาเขาลงสระว่ายน้ำตั้งแต่อายุเพียง 4 เดือน โดยพาไปเรียนที่ Bangkok Dolphin ที่เขาเชี่ยวชาญในการดูแลเด็กเล็กๆ ว่ายน้ำอยู่แล้ว ก็ไปเข้าคลาสคุณแม่คุณลูก โดยที่กล้าพาเขาไปลงตั้งแต่ยังเด็กเพราะเรามีประสบการณ์จากคนโตมาแล้ว ตอนฟ้าใส เราพาไปตอน 8 เดือน ก็รู้ว่ามันต้องทำอย่างไรบ้าง เห็นถึงความปลอดภัย ก็เลยมั่นใจพาน้ำฟ้าไปตั้งแต่เล็กๆ

ตอนนั้นน้องยังยืนไม่เป็นเลย แต่เขากลับคล่องแคล่วในน้ำมาก โดยเขาจะเกาะขอบสระ แล้วก็พุ่งลงมา เราก็อุ้มประคองเขาอยู่ เรียกได้ว่าช่วยฝึกพัฒนาการได้เป็นอย่างดี อย่างตอนสัก 6 เดือนซึ่งเขายังเดินไม่ได้แต่ชอบคลานไปไหนมาไหน พอเวลาอยู่ในน้ำเราจะเห็นว่าเขาเคลื่อนไหวได้คล่องกว่าบนบกอีกนะ ว่ายไปว่ายมาสนุกเลย...

ตอนเด็กๆ ต่ายพาเขาไปเรียนทุกอย่างเลยนะ เข้าคลาสของที่ต่างๆ จิมโบลี สถาบันเรียนรู้อะไรของเด็กไปหมด เพราะเราอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก รู้สึกว่าถ้าไม่พาเขาไป หรือไม่ได้ใช้เวลาให้เขาเต็มที่ ในขณะที่เด็กๆ อื่นเขาทำกัน มันเหมือนเราทำให้ลูกๆ ถอยหลัง อยากให้เขาได้รับทุกอย่างเต็มที่ที่สุด ได้มีพัฒนาการดีที่สุดเท่าที่เราจะให้ได้”

ชื่อ “ฟ้าใส” และ “น้ำฟ้า” นี่ป๊อปและต่ายตั้งกันเอง เราเลือกชื่อที่เราชอบ โดยไม่ได้ดูฤกษ์ หรือปรึกษาพระที่ไหน เพราะเราเชื่อว่าคนเราชีวิตจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่ชื่อ แต่มันอยู่ที่เราทำตัวอย่างไรมากกว่า

“ของเล่นของ 2 คนนี้จะเยอะมาก เดินห้างทุกครั้งต้องได้ของติดมือมาทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นพวกตัวต่อ เลโก้ บล็อก จิ๊กซอว์ หรือตุ๊กตา ของเลยเต็มบ้านไปหมด ตอนนี้ต้องใช้วิธีแก้ปัญหา โดยมีกฎว่าซื้ออะไรเข้ามา ต้องมีการเอาของเก่าออกไป โดยเอาไปบริจาคตามสถานเด็กกำพร้าต่างๆ สอนให้เขารู้สึกเผื่อแผ่ มีน้ำใจแบ่งปัน และทำให้เราไม่รู้สึกเสียดายเงินซื้อของเล่นมากนัก เพราะรู้ว่ามันจะได้มีส่วนร่วมในการบริจาคด้วย”

“ลูกสาว 2 คน ถ้าเป็นไปได้อยากให้เรียนจนจบปริญญาตรี ทีนี้ค่อยไปต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ หรืออย่างน้อยก็ให้จบมัธยมปลายก่อน ค่อยให้เขาตัดสินใจว่าอยากเรียนที่นี่หรือต่างประเทศ ถ้าเขาตัดสินใจไปเรียนที่นู่น ก็คงจะขนกันไปทั้งครอบครัวเลย เพราะผมเองไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุ 13 ปี ทำให้เรารู้ว่าสังคมนักเรียนนอกเป็นอย่างไร เห็นอะไรมาเยอะ เราก็เป็นห่วง ยิ่งลูกสาวด้วย ก็ยิ่งห่วงมาก”









>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/
กำลังโหลดความคิดเห็น