คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ยามค่ำคืนหลังเลิกงานแล้วในแต่ละวัน หญิงสาววัยยี่สิบปลายๆ เช่นฉัน ณ เวลานั้น มีเวลาผ่อนพักจากการทำงานในราว 3 ทุ่มไปจนถึงตี 4
งานในระหว่างวันได้ตักตวงช่วงเวลาของกลางวันไปจนหมดสิ้น วันทั้งวันฉันต้องใช้สมาธิอยู่กับการนั่งนับเงินทอนเงินและการพูดคุยให้บริการกับผู้เป็นลูกค้า
ความยิ้มแย้มแจ่มใสและอาการของความกระตือรือร้นถูกใช้ไปจนหมดวัน
ตกถึงยามค่ำ ห้องสี่เหลี่ยมกะทัดรัดบนชั้น 5 ของสิ่งปลูกสร้างที่เรียกกันว่า "คอนโด" แห่งหนึ่งในย่านฝั่งธน คือที่พักพิงของฉัน เงียบสงบ..ตามลำพัง
ฉันมักขับกล่อมตัวเองด้วยเสียงดนตรีและแสงไฟสีแดงที่เรื่อเรืองมาจากโคมแก้วสีขาว บ่อยครั้งที่ฉันเพลิดเพลินอยู่ในบรรยากาศส่วนตัวที่ฉันสร้างขึ้น จนไม่อยากหลับนอน
พ่อกับแม่ของฉันอาศัยอยู่ ณ บ้านซึ่งอยู่ในซอยเดียวกันและใกล้ๆกับคอนโดของฉัน
ในขณะนั้นฉันมีความคิดหวังในแบบทั่วๆ ไป ที่จะค่อยๆ สร้างทรัพย์สินเป็นของตนเองทีละเล็กละน้อย
เมื่อฉันเรียนจบและมีเงินเดือนทรัพย์สินเป็นอันดับแรกที่ฉันคิดจะสั่งสมให้กับตัวเองนั่นคือการเป็นเจ้าของห้องเล็กๆ ในคอนโด ราคาถูกแห่งนี้ ด้วยการค่อยๆ หักเงินเดือนมาผ่อนชำระและได้แยกตัวจากบ้านมาอยู่ลำพังที่นี่
ห้องของฉันถูกตบแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยมือของฉันเอง ด้วยตู้ไม้ในแบบเก่าและโต๊ะเครื่องแป้งที่ฉันรัก ดอกไม้แห้งที่ส่งกลิ่นหอมด้วยน้ำอบปรุง ยามกลางคืนบรรยากาศในห้องนั้นเป็นความสวยงามเจือไปด้วยความเหงา
ฉันมักนอนมองภาพเขียนหญิงเปลือยผู้มีใบหน้าเย็นชาแววตาว่างเปล่าภาพหนึ่งซึ่งฉันซื้อมาในราคาถูก และแขวนไว้อย่างดีบนฝาผนังด้านหลังโคมไฟ
ในที่ทำงานซึ่งเป็นที่ทำงานแห่งเดียวของฉันนับแต่วันเรียนจบ จนกระทั่งปีที่ 7 ที่ต้องลาออก ฉันเป็นคนสนุกสนาน ช่างพูดช่างคุย และเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ที่ทำงานตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ วันทั้งวันเต็มไปด้วยผู้คนคึกคัก เข้าแถวกันใช้บริการยาวเหยียด ฉันสนุกและท้าทายกับการทำงานที่รวดเร็วถูกต้องแม่นยำ และรู้สึกเหงาหงอย คล้ายนาฬิกาเดินช้า ในบางวันที่มีคนน้อยและต้องนั่งเฉยๆ แต่การทำงานของฉันก็จบลงด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจของคนที่เป็นลูกค้าเสมอมา
แม้หมดเวลากับผู้คนในช่วงกลางวัน ยามเย็นจนถึงหัวค่ำฉันและเพื่อนๆ ก็ยังขลุกกันอยู่กับตัวเลขทางการเงินจนมืดค่ำจึงได้โบกมือลาโผเผกันขับรถกลับบ้าน
แทนที่จะรีบนอน ฉันกลับใช้เวลานั่งฝันอยู่ในบรรยากาศของเสียงเพลงและไฟสีแดงเรื่อเรืองที่ฉันสร้างมันขึ้นมาจนดึกดื่น หลับไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงนาฬิกาปลุกในเวลาตีสี่ ก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากห้องอีกครั้งในวันใหม่
ฉันชอบการขับรถในยามเช้ามืด ด้วยถนนแสนจะโล่งสบาย และเกลียดกลัวต่อการเจอะเจอรถติดเป็นชีวิตจิตใจ ขณะที่การได้เดินเสาะหาอาหารการกินตามตรอกซอกซอยในยามเช้าและการได้เข้าร้านเสริมสวยเพื่อสระผมในทุกๆ วัน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับฉัน
วันหนึ่งของการลาหยุดพักร้อน..ฉันไปเดินเที่ยว ณ ห้างอันมีชื่อเสียงในด้านการขายวัตถุโบราณแห่งหนึ่งในย่านเจริญกรุง วันนั้นให้เผอิญมีงานแสดงสินค้าหัตถกรรมทำมือต่างๆ นานา หลายแขนงมาตั้งโชว์ ฉันเดินไปสะดุดสายตาเข้ากับจานรูปดินเผาทรงกลมขอบบิดเบี้ยว ใส่น้ำลอยด้วยดอกดาวเรืองสีเหลืองสดใส ถูกจัดวางตั้งไว้กับพื้น ความสวยงามด้วยสีเหลืองของดอกไม้ที่ตัดกับสีของจานดินสีส้มนั้น ช่างสะดุดตาสะดุดใจจนฉันต้องเดินถอยหลังกลับไปยืนมอง และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้จักกับตุ๊กตาดินเผา
บ้างเป็นหน้ากาก หน้าตาเคร่งเครียดและน่ากลัว บ้างเป็นรูปสุนัขมีหัวเป็นคน แปลกดี..ฉันไม่เคยพบเห็นของเหล่านี้มาก่อน..หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่กับพื้นข้างๆ งานดินปั้นเหล่านั้นได้ออกปากชวนฉันพูดคุย เธอไม่ได้เชิญชวนฉันซื้อของ ฉันแปลกตาแปลกใจในบุคลิกของเธอ เธอเป็นคนผิวคล้ำร่างใหญ่พูดคุยตลกสนุกสนานปนเปกับการเอะอะมะเทิ่ง คำพูดของเธอแฝงไปด้วยศัพท์แสงพลิกแพลงชวนขำในคำพูดจา จนฉันต้องนั่งลงและฟังเธอคุยอยู่นาน
นานจนฉันค่อยๆ เห็นชายร่างผอมผู้แต่งกายกระมอมกระแมมคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของงานปั้นเหล่านั้น
ฉันไม่เคยพบคนที่มีบุคลิกเช่นพวกเขามาก่อน วันนั้นฉันจึงได้จานดินเผาลอยดอกไม้จานนั้นและรูปปั้นคนตัวอ้วนกลมที่นอนโก้งโค้งคว่ำหน้า กลับไปที่ห้อง พร้อมกับมิตรภาพของฉันกับพวกเขา ณ ที่นั่น
สองปีผ่านไปนับจากมิตรภาพเริ่มต้นในครั้งนั้นวันเวลาได้เผยให้เห็นถึงคนผู้มีจิตใจดีงามภายใต้การแต่งตัวอันเก่าคร่ำมอมแมม จากเพื่อนจึงกลายมาเป็นเพื่อนใจ
ในระยะเวลาของการรอนแรมมาออกงานในกรุงเทพของเขา..ฉันได้เห็นถึงกรรมวิธีในการปั้นดินให้เป็นรูปทรงอ้วนกลมน่ารักจากเขาจนชินตา..เมื่อหมดเวลาของการงานในกรุงเทพเขาต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาซึ่งอยู่ทางเหนือ ดินเหนียวและเครื่องมือปั้นบางส่วน นั้นได้ถูกทิ้งไว้ในห้องพักของฉัน
ค่ำวันหนึ่งขณะที่ฉันใช้เวลาเคลิ้มฝันอยู่ตามลำพังท่ามกลางเสียงดนตรีและแสงสลัวในห้องนั้น ฉันมองไปที่ "ของรัก" ในตู้ของฉันซึ่งเต็มไปด้วยกำไลต่างๆ ที่ฉันเคยใส่ตั้งแต่รุ่นสาว วัยเรียนจนถึงวัยทำงาน นาฬิกาข้อมือเรือนเก่าๆ ดอกไม้แห้งผ้าเช็ดหน้าและจดหมาย
ฉันลุกไปที่ถุงดินเปิดมันขึ้นและค่อยๆ หยิบดินก้อนแรกขึ้นมาพิจารณาช้าๆ ฉันอยากได้ตุ๊กตาสักตัวหนึ่งเพื่อใส่ไว้กับสิ่งของในตู้ใบนี้
ดินในมือก้อนแรกของฉันถูกสุมมุติให้เป็นศรีษะ ก้อนต่อมาค่อยๆ ต่อติดเป็นลำคอ ลำตัวแขนและขา..ในคืนนั้นฉันได้ตุ๊กตาดินรูปผู้หญิงเปลือยกายชิ้นเล็กๆ ที่นั่งอ้าซ่าเปิดเผยแอบอิงอยู่กับดินปั้นรูปหมอนสามเหลี่ยม ฉันเพลินเพลินอยู่กับการตกแต่งลวดลายบนหมอนสามเหลี่ยมนั้น เพลิดเพลินอยู่กับการปั้นหน้าอกและสรีระของความเป็นผู้หญิง แทบไม่รู้จักหลับไม่รู้จักนอนทั้งที่ต้องไปทำงานแต่เช้า
กระทั่งถึงวันที่เพื่อนชายของฉันได้เดินทางมากรุงเทพอีกครั้ง ฉันรีบอวดรูปปั้นนั้นแก่เขา เขาไม่พูดอะไรมากนัก และบอกกับฉันว่า ให้ปั้นต่อไปเรื่อยๆ แล้วเขาจะนำกลับไปเผาให้พร้อมทั้งได้ให้คำแนะนำกับฉันว่า ต่อไปเมื่อฉันปั้นเสร็จแล้วให้ฉันใช้เครื่องมือขุดคว้านด้านในของรูปปั้นนั้นๆ ให้ทะลุกลวงโดยทั่วกันและปิดให้เรียบร้อยและต้องไม่ลืมเจาะรูเล็กๆ ไว้ พร้อมกับทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ฉันจดจำและทำตามคำแนะนำ นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
ฉันรับรู้ได้ว่า ในคืนที่ดินก้อนแรกได้เข้ามาอยู่ในมือของฉัน ขณะที่ฉันทำการปั้นดินก้อนนั้นด้วยใจที่เปี่ยมจินตนาการ ห้วงเวลานั้นช่างราวกับ "ทิพยเวลา"
มันเป็นการพักผ่อนที่แสนสุขของฉัน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW เซกชัน Celeb Online www.astvmanager.com และ M-Art eye view เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ยามค่ำคืนหลังเลิกงานแล้วในแต่ละวัน หญิงสาววัยยี่สิบปลายๆ เช่นฉัน ณ เวลานั้น มีเวลาผ่อนพักจากการทำงานในราว 3 ทุ่มไปจนถึงตี 4
งานในระหว่างวันได้ตักตวงช่วงเวลาของกลางวันไปจนหมดสิ้น วันทั้งวันฉันต้องใช้สมาธิอยู่กับการนั่งนับเงินทอนเงินและการพูดคุยให้บริการกับผู้เป็นลูกค้า
ความยิ้มแย้มแจ่มใสและอาการของความกระตือรือร้นถูกใช้ไปจนหมดวัน
ตกถึงยามค่ำ ห้องสี่เหลี่ยมกะทัดรัดบนชั้น 5 ของสิ่งปลูกสร้างที่เรียกกันว่า "คอนโด" แห่งหนึ่งในย่านฝั่งธน คือที่พักพิงของฉัน เงียบสงบ..ตามลำพัง
ฉันมักขับกล่อมตัวเองด้วยเสียงดนตรีและแสงไฟสีแดงที่เรื่อเรืองมาจากโคมแก้วสีขาว บ่อยครั้งที่ฉันเพลิดเพลินอยู่ในบรรยากาศส่วนตัวที่ฉันสร้างขึ้น จนไม่อยากหลับนอน
พ่อกับแม่ของฉันอาศัยอยู่ ณ บ้านซึ่งอยู่ในซอยเดียวกันและใกล้ๆกับคอนโดของฉัน
ในขณะนั้นฉันมีความคิดหวังในแบบทั่วๆ ไป ที่จะค่อยๆ สร้างทรัพย์สินเป็นของตนเองทีละเล็กละน้อย
เมื่อฉันเรียนจบและมีเงินเดือนทรัพย์สินเป็นอันดับแรกที่ฉันคิดจะสั่งสมให้กับตัวเองนั่นคือการเป็นเจ้าของห้องเล็กๆ ในคอนโด ราคาถูกแห่งนี้ ด้วยการค่อยๆ หักเงินเดือนมาผ่อนชำระและได้แยกตัวจากบ้านมาอยู่ลำพังที่นี่
ห้องของฉันถูกตบแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยมือของฉันเอง ด้วยตู้ไม้ในแบบเก่าและโต๊ะเครื่องแป้งที่ฉันรัก ดอกไม้แห้งที่ส่งกลิ่นหอมด้วยน้ำอบปรุง ยามกลางคืนบรรยากาศในห้องนั้นเป็นความสวยงามเจือไปด้วยความเหงา
ฉันมักนอนมองภาพเขียนหญิงเปลือยผู้มีใบหน้าเย็นชาแววตาว่างเปล่าภาพหนึ่งซึ่งฉันซื้อมาในราคาถูก และแขวนไว้อย่างดีบนฝาผนังด้านหลังโคมไฟ
ในที่ทำงานซึ่งเป็นที่ทำงานแห่งเดียวของฉันนับแต่วันเรียนจบ จนกระทั่งปีที่ 7 ที่ต้องลาออก ฉันเป็นคนสนุกสนาน ช่างพูดช่างคุย และเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
ที่ทำงานตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ วันทั้งวันเต็มไปด้วยผู้คนคึกคัก เข้าแถวกันใช้บริการยาวเหยียด ฉันสนุกและท้าทายกับการทำงานที่รวดเร็วถูกต้องแม่นยำ และรู้สึกเหงาหงอย คล้ายนาฬิกาเดินช้า ในบางวันที่มีคนน้อยและต้องนั่งเฉยๆ แต่การทำงานของฉันก็จบลงด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจของคนที่เป็นลูกค้าเสมอมา
แม้หมดเวลากับผู้คนในช่วงกลางวัน ยามเย็นจนถึงหัวค่ำฉันและเพื่อนๆ ก็ยังขลุกกันอยู่กับตัวเลขทางการเงินจนมืดค่ำจึงได้โบกมือลาโผเผกันขับรถกลับบ้าน
แทนที่จะรีบนอน ฉันกลับใช้เวลานั่งฝันอยู่ในบรรยากาศของเสียงเพลงและไฟสีแดงเรื่อเรืองที่ฉันสร้างมันขึ้นมาจนดึกดื่น หลับไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงนาฬิกาปลุกในเวลาตีสี่ ก่อนจะรีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากห้องอีกครั้งในวันใหม่
ฉันชอบการขับรถในยามเช้ามืด ด้วยถนนแสนจะโล่งสบาย และเกลียดกลัวต่อการเจอะเจอรถติดเป็นชีวิตจิตใจ ขณะที่การได้เดินเสาะหาอาหารการกินตามตรอกซอกซอยในยามเช้าและการได้เข้าร้านเสริมสวยเพื่อสระผมในทุกๆ วัน เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับฉัน
วันหนึ่งของการลาหยุดพักร้อน..ฉันไปเดินเที่ยว ณ ห้างอันมีชื่อเสียงในด้านการขายวัตถุโบราณแห่งหนึ่งในย่านเจริญกรุง วันนั้นให้เผอิญมีงานแสดงสินค้าหัตถกรรมทำมือต่างๆ นานา หลายแขนงมาตั้งโชว์ ฉันเดินไปสะดุดสายตาเข้ากับจานรูปดินเผาทรงกลมขอบบิดเบี้ยว ใส่น้ำลอยด้วยดอกดาวเรืองสีเหลืองสดใส ถูกจัดวางตั้งไว้กับพื้น ความสวยงามด้วยสีเหลืองของดอกไม้ที่ตัดกับสีของจานดินสีส้มนั้น ช่างสะดุดตาสะดุดใจจนฉันต้องเดินถอยหลังกลับไปยืนมอง และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้จักกับตุ๊กตาดินเผา
บ้างเป็นหน้ากาก หน้าตาเคร่งเครียดและน่ากลัว บ้างเป็นรูปสุนัขมีหัวเป็นคน แปลกดี..ฉันไม่เคยพบเห็นของเหล่านี้มาก่อน..หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่กับพื้นข้างๆ งานดินปั้นเหล่านั้นได้ออกปากชวนฉันพูดคุย เธอไม่ได้เชิญชวนฉันซื้อของ ฉันแปลกตาแปลกใจในบุคลิกของเธอ เธอเป็นคนผิวคล้ำร่างใหญ่พูดคุยตลกสนุกสนานปนเปกับการเอะอะมะเทิ่ง คำพูดของเธอแฝงไปด้วยศัพท์แสงพลิกแพลงชวนขำในคำพูดจา จนฉันต้องนั่งลงและฟังเธอคุยอยู่นาน
นานจนฉันค่อยๆ เห็นชายร่างผอมผู้แต่งกายกระมอมกระแมมคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของงานปั้นเหล่านั้น
ฉันไม่เคยพบคนที่มีบุคลิกเช่นพวกเขามาก่อน วันนั้นฉันจึงได้จานดินเผาลอยดอกไม้จานนั้นและรูปปั้นคนตัวอ้วนกลมที่นอนโก้งโค้งคว่ำหน้า กลับไปที่ห้อง พร้อมกับมิตรภาพของฉันกับพวกเขา ณ ที่นั่น
สองปีผ่านไปนับจากมิตรภาพเริ่มต้นในครั้งนั้นวันเวลาได้เผยให้เห็นถึงคนผู้มีจิตใจดีงามภายใต้การแต่งตัวอันเก่าคร่ำมอมแมม จากเพื่อนจึงกลายมาเป็นเพื่อนใจ
ในระยะเวลาของการรอนแรมมาออกงานในกรุงเทพของเขา..ฉันได้เห็นถึงกรรมวิธีในการปั้นดินให้เป็นรูปทรงอ้วนกลมน่ารักจากเขาจนชินตา..เมื่อหมดเวลาของการงานในกรุงเทพเขาต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาซึ่งอยู่ทางเหนือ ดินเหนียวและเครื่องมือปั้นบางส่วน นั้นได้ถูกทิ้งไว้ในห้องพักของฉัน
ค่ำวันหนึ่งขณะที่ฉันใช้เวลาเคลิ้มฝันอยู่ตามลำพังท่ามกลางเสียงดนตรีและแสงสลัวในห้องนั้น ฉันมองไปที่ "ของรัก" ในตู้ของฉันซึ่งเต็มไปด้วยกำไลต่างๆ ที่ฉันเคยใส่ตั้งแต่รุ่นสาว วัยเรียนจนถึงวัยทำงาน นาฬิกาข้อมือเรือนเก่าๆ ดอกไม้แห้งผ้าเช็ดหน้าและจดหมาย
ฉันลุกไปที่ถุงดินเปิดมันขึ้นและค่อยๆ หยิบดินก้อนแรกขึ้นมาพิจารณาช้าๆ ฉันอยากได้ตุ๊กตาสักตัวหนึ่งเพื่อใส่ไว้กับสิ่งของในตู้ใบนี้
ดินในมือก้อนแรกของฉันถูกสุมมุติให้เป็นศรีษะ ก้อนต่อมาค่อยๆ ต่อติดเป็นลำคอ ลำตัวแขนและขา..ในคืนนั้นฉันได้ตุ๊กตาดินรูปผู้หญิงเปลือยกายชิ้นเล็กๆ ที่นั่งอ้าซ่าเปิดเผยแอบอิงอยู่กับดินปั้นรูปหมอนสามเหลี่ยม ฉันเพลินเพลินอยู่กับการตกแต่งลวดลายบนหมอนสามเหลี่ยมนั้น เพลิดเพลินอยู่กับการปั้นหน้าอกและสรีระของความเป็นผู้หญิง แทบไม่รู้จักหลับไม่รู้จักนอนทั้งที่ต้องไปทำงานแต่เช้า
กระทั่งถึงวันที่เพื่อนชายของฉันได้เดินทางมากรุงเทพอีกครั้ง ฉันรีบอวดรูปปั้นนั้นแก่เขา เขาไม่พูดอะไรมากนัก และบอกกับฉันว่า ให้ปั้นต่อไปเรื่อยๆ แล้วเขาจะนำกลับไปเผาให้พร้อมทั้งได้ให้คำแนะนำกับฉันว่า ต่อไปเมื่อฉันปั้นเสร็จแล้วให้ฉันใช้เครื่องมือขุดคว้านด้านในของรูปปั้นนั้นๆ ให้ทะลุกลวงโดยทั่วกันและปิดให้เรียบร้อยและต้องไม่ลืมเจาะรูเล็กๆ ไว้ พร้อมกับทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ฉันจดจำและทำตามคำแนะนำ นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
ฉันรับรู้ได้ว่า ในคืนที่ดินก้อนแรกได้เข้ามาอยู่ในมือของฉัน ขณะที่ฉันทำการปั้นดินก้อนนั้นด้วยใจที่เปี่ยมจินตนาการ ห้วงเวลานั้นช่างราวกับ "ทิพยเวลา"
มันเป็นการพักผ่อนที่แสนสุขของฉัน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW เซกชัน Celeb Online www.astvmanager.com และ M-Art eye view เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews