คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ตาเห็นรูปใจเห็นรูป แล้วกลั่นกรองออกมาเป็นงาน "ประติมากรรม"
เมื่อใจรู้สึก ตาพิศมอง สมอง..ค่อยๆ คิดฝัน
มือเก็บและเพิ่มในสิ่งที่ชอบที่ใช่ ตัดออกในสิ่งที่ไม่ชอบไม่ใช่ จนเกิดงานที่มีลักษณะเฉพาะเป็นหญิงสาวในแบบฉัน
ครั้งหนึ่งเมื่อที่ฉันนั่งหย่อนใจอยู่ที่ริมน้ำหน้าบ้าน ผิวน้ำนั้นต้องแสงไหววิบ ริ้วระลอกงดงามตามแรงไหล ในห้วงลึกขณะหนึ่งได้เกิดกับฉัน ฉันรู้สึกถึงการหลุดร่างกายลงไปในน้ำและการใช้มือทะลึ่งดันตัวขึ้นมาเพื่อให้โผล่ขึ้นเหนือน้ำอย่างรวดเร็ว
ห้วงแห่งความรู้สึกของการเหยียดแขนและมือเพื่อดันตัวเองให้พ้นขึ้นจากน้ำนั้น ฉันได้ถอดทำออกมาเป็นงาน
ฉันควรจะบอกว่าอะไร..มันมีในตำราไหม?.. มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่าจะเรียกมันว่าเป็นจินตนาการ ฉันคิดว่าการจินตนาการอะไรซักอย่างนั้น น่าจะมีการตรึกตรองและใช้เวลามากกว่านี้
หรือมันคือสัญชาติญาณ..
เพราะเมื่อใดที่ฉันอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้จิตใจได้ผ่อนคลายพอ จะบังเกิดประกายในการสร้างสรรค์ขึ้นมา นับเป็นความรู้สึกส่วนลึกที่ฉัน อยากจะอธิบาย
และจากห้วงของความรู้สึกในครั้งนั้นถูกพัฒนามาเป็นงานประติมากรรมที่ถูกตัดทอน ต่างๆ นาๆ หลายชิ้นต่อหลายชิ้น ฉันชอบบ้างไม่ชอบบ้างแต่ก็รักที่จะค้นหาและยังคงค้นหา..
มีผู้ที่ได้เห็นงานตัดทอนของฉันจนติดตา และเมื่อเขาไปพบเห็นภาพของงานในลักษณะคล้ายคลึงกันกับที่ฉันทำ ก็ได้ส่งภาพงานที่เขาไปพบเจอเหล่านั้น มาให้ฉันดู ฉันประหลาดใจแต่มิได้หวั่นไหว
คนเรามีทุกข์สุขและรู้สึกสัมผัสต่อมันได้ไม่ต่างกัน การให้คุณค่าของความงามในด้านต่างๆ ก็ย่อมจะรู้สึกระลึกออกมาคล้ายกันได้ ขอเพียงสิ่งที่เราทำนั้นออกมาจากเนื้อในที่ถูกกลั่นกรองของเราอย่างแท้จริง ความมั่นคงและมั่นใจจะเป็นหลักให้กับเราเสมอ
นอกจากฉันจะไม่มีความรู้ทางด้านศิลปะแล้ว ฉันยังไม่ค่อยได้เสาะหาที่จะอ่านหนังสือหรือทฤษฎีและภาพงานศิลปะ ต่างๆ เท่าใดนัก
บางคราวฉันรู้สึกว่า ตัวเองเหมือนกบน้อยที่อยู่ในกะลา แต่เป็นกะลาที่แสนอบอุ่นและยิ่งใหญ่ การงานของฉันนั้นเทียบได้กับดอกเห็ด แต่มันเป็นดอกเห็ดที่เปี่ยมไปด้วยความหมายงดงามทรงคุณค่าสำหรับกบน้อยอย่างฉัน ดุจไฟฟ้าทั้งโลกมืดดับลง แสงเล็กๆ จากเปลวเทียนหรือหิ่งห้อย ได้กำลังเปล่งประกายปานนั้น..
ในขั้นตอนของการขึ้นงานนั้น เป็นเวลาที่สำคัญมาก และฉันมักจะกินเก่ง (มันเกี่ยวอะไรกันนะเนี่ย) ฉันคิดว่ามันอาจจะมีความเครียดลึกๆ ที่เกิดจากความตั้งใจอย่างสูงที่จะสร้างงานให้เกิดขึ้นให้ได้ ขั้นตอนการสร้างโครงร่าง จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างมาก
ต่อจากนั้นฉันจำเป็นต้องตบแต่งที่ใบหน้าของงานให้สวยงามเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ ทำในจุดอื่นๆ ของงานต่อไป เพราะหากใบหน้าของงานยังไม่ได้ถูกตบแต่งให้สวยก่อนแล้ว อารมณ์ความรู้สึกที่สวยงามระหว่างฉันกับงานชิ้นนั้นจะไม่บังเกิด หรือจะสะดุด เช่นนั้นหรือไม่ ฉันยังไม่เคยลอง ฉันไม่กล้าฝ่าฝืนความรู้สึกของตัวเองในเรื่องนี้...
ฉันปั้นเป็นแต่รูปปั้นผู้หญิง..
เพราะฉันไม่คิดอยากปั้นในสิ่งอื่น ในครั้งแรกของการปั้นงานผู้หญิงของฉันนั้น ฉันเพียงอยากได้ตุ๊กตารูปผู้หญิงซักคนเพื่อมาอยู่กับสิ่งของในตู้เก็บจดหมายและกำไลข้อมือสะสมของฉัน
ดินเหนียวอย่างดีสำหรับปั้นนั้นมีอยู่ในห้องพักของฉัน ด้วยขณะนั้นเพื่อนชายของฉันซึ่งเป็นนักปั้นเด็กน้อยและรูปเณรต่างๆ ได้นำดินเหนียวเพื่อการทำงานของเขา มาฝากเก็บไว้ที่ฉัน ฉันเป็นเพียงหญิงสาวที่ทำงานอยู่ในกรุงเทพ ประสบการณ์ทางศิลปะไม่มี มีแต่ประสบการณ์ชีวิตที่ถูกหล่อหลอมนั้นคือแรงผลักดัน..
ผู้หญิงในงานของฉันนั้น เธอไม่เคยเปิดดวงตา..
ดวงตาของเธอพริ้มอยู่ภายใต้เส้นโค้งอันมีรอยขรุขระ ซึ่งฉันจงใจทิ้งเอาไว้เพื่ออาศัยธรรมชาติของรอยขรุขระเล็กๆ เหล่านั้น ช่วยเพิ่มความระยิบระยับ ราวกับแพขนตา บนเปลือกตาของหญิงสาว
การงานของฉัน อาศัยการมองเห็นและการรับรู้ ความรู้สึกสัมผัสกระทบและจริตกิริยาซึ่งมีอยู่ในความเป็นธรรมชาติของตัวเอง มาประกอบหล่อหลอมกันจนเกิดขึ้นเป็นงาน..
เปล่าเลย..ฉันไม่ได้เหนื่อยยากในการค้นหาตัวเอง เพราะเมื่อที่ฉันจับดินในครั้งแรกความเป็นตัวเองของฉัน ก็ปรากฏออกมาสู่ดินในมือจนหมดสิ้น
จนฉันมั่นใจที่จะบอกกับคุณอย่างซื่อสัตย์และอ่อนน้อมว่า
"การงานนี้ คือทั้งหมดในชีวิตของฉัน"
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW เซกชัน Celeb Online www.astvmanager.com และ M-Art eye view เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ตาเห็นรูปใจเห็นรูป แล้วกลั่นกรองออกมาเป็นงาน "ประติมากรรม"
เมื่อใจรู้สึก ตาพิศมอง สมอง..ค่อยๆ คิดฝัน
มือเก็บและเพิ่มในสิ่งที่ชอบที่ใช่ ตัดออกในสิ่งที่ไม่ชอบไม่ใช่ จนเกิดงานที่มีลักษณะเฉพาะเป็นหญิงสาวในแบบฉัน
ครั้งหนึ่งเมื่อที่ฉันนั่งหย่อนใจอยู่ที่ริมน้ำหน้าบ้าน ผิวน้ำนั้นต้องแสงไหววิบ ริ้วระลอกงดงามตามแรงไหล ในห้วงลึกขณะหนึ่งได้เกิดกับฉัน ฉันรู้สึกถึงการหลุดร่างกายลงไปในน้ำและการใช้มือทะลึ่งดันตัวขึ้นมาเพื่อให้โผล่ขึ้นเหนือน้ำอย่างรวดเร็ว
ห้วงแห่งความรู้สึกของการเหยียดแขนและมือเพื่อดันตัวเองให้พ้นขึ้นจากน้ำนั้น ฉันได้ถอดทำออกมาเป็นงาน
ฉันควรจะบอกว่าอะไร..มันมีในตำราไหม?.. มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่าจะเรียกมันว่าเป็นจินตนาการ ฉันคิดว่าการจินตนาการอะไรซักอย่างนั้น น่าจะมีการตรึกตรองและใช้เวลามากกว่านี้
หรือมันคือสัญชาติญาณ..
เพราะเมื่อใดที่ฉันอยู่นิ่งๆ ปล่อยให้จิตใจได้ผ่อนคลายพอ จะบังเกิดประกายในการสร้างสรรค์ขึ้นมา นับเป็นความรู้สึกส่วนลึกที่ฉัน อยากจะอธิบาย
และจากห้วงของความรู้สึกในครั้งนั้นถูกพัฒนามาเป็นงานประติมากรรมที่ถูกตัดทอน ต่างๆ นาๆ หลายชิ้นต่อหลายชิ้น ฉันชอบบ้างไม่ชอบบ้างแต่ก็รักที่จะค้นหาและยังคงค้นหา..
มีผู้ที่ได้เห็นงานตัดทอนของฉันจนติดตา และเมื่อเขาไปพบเห็นภาพของงานในลักษณะคล้ายคลึงกันกับที่ฉันทำ ก็ได้ส่งภาพงานที่เขาไปพบเจอเหล่านั้น มาให้ฉันดู ฉันประหลาดใจแต่มิได้หวั่นไหว
คนเรามีทุกข์สุขและรู้สึกสัมผัสต่อมันได้ไม่ต่างกัน การให้คุณค่าของความงามในด้านต่างๆ ก็ย่อมจะรู้สึกระลึกออกมาคล้ายกันได้ ขอเพียงสิ่งที่เราทำนั้นออกมาจากเนื้อในที่ถูกกลั่นกรองของเราอย่างแท้จริง ความมั่นคงและมั่นใจจะเป็นหลักให้กับเราเสมอ
นอกจากฉันจะไม่มีความรู้ทางด้านศิลปะแล้ว ฉันยังไม่ค่อยได้เสาะหาที่จะอ่านหนังสือหรือทฤษฎีและภาพงานศิลปะ ต่างๆ เท่าใดนัก
บางคราวฉันรู้สึกว่า ตัวเองเหมือนกบน้อยที่อยู่ในกะลา แต่เป็นกะลาที่แสนอบอุ่นและยิ่งใหญ่ การงานของฉันนั้นเทียบได้กับดอกเห็ด แต่มันเป็นดอกเห็ดที่เปี่ยมไปด้วยความหมายงดงามทรงคุณค่าสำหรับกบน้อยอย่างฉัน ดุจไฟฟ้าทั้งโลกมืดดับลง แสงเล็กๆ จากเปลวเทียนหรือหิ่งห้อย ได้กำลังเปล่งประกายปานนั้น..
ในขั้นตอนของการขึ้นงานนั้น เป็นเวลาที่สำคัญมาก และฉันมักจะกินเก่ง (มันเกี่ยวอะไรกันนะเนี่ย) ฉันคิดว่ามันอาจจะมีความเครียดลึกๆ ที่เกิดจากความตั้งใจอย่างสูงที่จะสร้างงานให้เกิดขึ้นให้ได้ ขั้นตอนการสร้างโครงร่าง จึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างมาก
ต่อจากนั้นฉันจำเป็นต้องตบแต่งที่ใบหน้าของงานให้สวยงามเสียก่อน แล้วจึงค่อยๆ ทำในจุดอื่นๆ ของงานต่อไป เพราะหากใบหน้าของงานยังไม่ได้ถูกตบแต่งให้สวยก่อนแล้ว อารมณ์ความรู้สึกที่สวยงามระหว่างฉันกับงานชิ้นนั้นจะไม่บังเกิด หรือจะสะดุด เช่นนั้นหรือไม่ ฉันยังไม่เคยลอง ฉันไม่กล้าฝ่าฝืนความรู้สึกของตัวเองในเรื่องนี้...
ฉันปั้นเป็นแต่รูปปั้นผู้หญิง..
เพราะฉันไม่คิดอยากปั้นในสิ่งอื่น ในครั้งแรกของการปั้นงานผู้หญิงของฉันนั้น ฉันเพียงอยากได้ตุ๊กตารูปผู้หญิงซักคนเพื่อมาอยู่กับสิ่งของในตู้เก็บจดหมายและกำไลข้อมือสะสมของฉัน
ดินเหนียวอย่างดีสำหรับปั้นนั้นมีอยู่ในห้องพักของฉัน ด้วยขณะนั้นเพื่อนชายของฉันซึ่งเป็นนักปั้นเด็กน้อยและรูปเณรต่างๆ ได้นำดินเหนียวเพื่อการทำงานของเขา มาฝากเก็บไว้ที่ฉัน ฉันเป็นเพียงหญิงสาวที่ทำงานอยู่ในกรุงเทพ ประสบการณ์ทางศิลปะไม่มี มีแต่ประสบการณ์ชีวิตที่ถูกหล่อหลอมนั้นคือแรงผลักดัน..
ผู้หญิงในงานของฉันนั้น เธอไม่เคยเปิดดวงตา..
ดวงตาของเธอพริ้มอยู่ภายใต้เส้นโค้งอันมีรอยขรุขระ ซึ่งฉันจงใจทิ้งเอาไว้เพื่ออาศัยธรรมชาติของรอยขรุขระเล็กๆ เหล่านั้น ช่วยเพิ่มความระยิบระยับ ราวกับแพขนตา บนเปลือกตาของหญิงสาว
การงานของฉัน อาศัยการมองเห็นและการรับรู้ ความรู้สึกสัมผัสกระทบและจริตกิริยาซึ่งมีอยู่ในความเป็นธรรมชาติของตัวเอง มาประกอบหล่อหลอมกันจนเกิดขึ้นเป็นงาน..
เปล่าเลย..ฉันไม่ได้เหนื่อยยากในการค้นหาตัวเอง เพราะเมื่อที่ฉันจับดินในครั้งแรกความเป็นตัวเองของฉัน ก็ปรากฏออกมาสู่ดินในมือจนหมดสิ้น
จนฉันมั่นใจที่จะบอกกับคุณอย่างซื่อสัตย์และอ่อนน้อมว่า
"การงานนี้ คือทั้งหมดในชีวิตของฉัน"
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW เซกชัน Celeb Online www.astvmanager.com และ M-Art eye view เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews