xs
xsm
sm
md
lg

สิ่งที่เหลือ คือสิ่งที่รัก : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ในยามเช้าของวันพระ หลังจากที่ฉันทำอาหารง่ายๆ และหุงข้าวไปทำบุญที่วัด เสร็จแล้ว ฉันก็มักจะขับรถเลยเรื่อยไปยังท้องทุ่งนาอันเขียวขจีและงามสงบ...

เมื่อกลับถึงบ้านด้วยหัวใจอันอบอุ่น เพราะการทำบุญและได้สัมผัสสิ่งอันสงบงามจากธรรมชาติอันอยู่รอบๆ ตัวแล้ว

ต่อจากนั้นฉันมักนั่งไตร่ตรองบางสิ่งบางอย่าง ที่เป็นไปในชีวิตอยู่เสมอๆ

ฉันพยายามสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีงามให้กับตัวเอง ทั้งๆ ที่สิ่งรอบตัวของฉันก็ดูธรรมดาๆ ดังเช่นคนอื่นๆ แม้จะอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น แต่ฉันเลือกที่จะมองและรับรู้ในสิ่งที่ฉันชอบ

มองเพียงเท่านั้น เสียงนกร้องในยามเช้า เสียงของสายลม และแสงแดดยามเช้าที่ทอดเงาอันอบอุ่นอ่อนโยนลงบนฝาผนังของบ้าน..ความอิสระ และความสันโดษ คือสิ่งที่ฉันรักและสิ่งที่ฉันเลือก...

สิ่งที่ได้กล่าวมานี้ล้วนเป็นวงจรในชีวิตประจำวันที่ฉันดำรงอยู่ และมอบกายใจให้กับสิ่งเหล่านี้ เพื่อที่จะซึมซับมันให้เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่ภายในจิตใจ และในที่สุดก็ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นงาน...


การปั้นงานของฉัน ค่อยๆ เดินทางไปสู่รูปแบบที่แปลกใหม่ขึ้น...ที่ฉันเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน มันเกิดขึ้นในงานชิ้นแรก เมื่อฉันทำงานปั้นรูปผู้หญิงซึ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่บนขอนไม้...

ในขณะนั้นฉันต้องการจะปั้นรูปผู้หญิงบนขอนไม้ขึ้นมา กลุ่มหนึ่ง ด้วยอยากจะนำมาจัดวางให้เป็นกลุ่มก้อนของงานในเรื่องเดียวกัน แต่แตกต่างกันคนละนิดละหน่อยในแต่ละชิ้น...

เมื่อฉันได้ปั้นงานในลักษณะคล้ายๆ กันไปจนถึงชิ้นที่ห้า ลำตัวของหญิงสาวในงานปั้นของฉันก็ได้เลือนหายไป คงปรากฏอยู่แต่ หัว ขา มือบางส่วน และขอนไม้อันขาดแหว่งเท่านั้น...

ฉันมองงานในรูปแบบใหม่ของตัวเอง ที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญอย่างพึงพอใจ

และงานชิ้นนี้คืองานชิ้นแรกที่เกิดจากการค้นพบขึ้นอย่างบังเอิญ ในระหว่างการทำงานของฉัน

แต่จะเรียกว่าความบังเอิญอย่างเดียวนั้นคงจะไม่ถูกทีเดียวนัก.... เพราะเมื่อฉันตรึกตรองตนเองไปเรื่อยๆ จากในงานชิ้นต่อๆ มาหลังจากนั้น ก็มักจะมีรูปแบบ เป็นงานปั้นที่มีตัวไม่ครบส่วน คือมีแต่เพียงศีรษะ แขน ขา หรือมีเพียง ศีรษะ กับแขนทั้งสองข้าง...

ฉันคิดว่างานเหล่านี้มันน่าจะมาจากอีกมิติหนึ่งคือข้างในความรู้สึกของตัวฉัน และชีวิตที่ขาดๆ พร่องๆ ของฉันนั่นเอง..ที่ทำให้งานปรากฏออกมาเช่นนี้


เมื่อฉันได้ค้นพบงานในลักษณะนี้ขึ้นมาเป็นชิ้นที่ 1 ฉันจึงคิดทำในแบบที่แตกต่างกันออกไปในงานชิ้นที่สอง สาม และสี่ และอีกมากมายหลายชิ้น ติดตามมา มันเป็นความสนุกในการได้คิดและทดลองทำของฉันอย่างยิ่ง..

โดยที่ฉันจะมีกฎเล็กๆ ที่ตั้งขึ้นสำหรับตัวเองว่า แม้เราจะปั้นงานที่มีเพียงอวัยวะหลายๆ ส่วนมาปะติดปะต่อกัน แต่ถึงอย่างไรเสีย ก็ต้องระมัดระวังให้อารมณ์ความรู้สึกในการมองงานนั้นยังอยู่ครบ นั่นคือทำงานที่แสดงอวัยวะที่ไม่ครบคือ ขาดๆ แต่ให้ดูแล้วให้อารมณ์ที่จะสื่อสารยังอยู่ครบนั่นเอง...

ดีบ้าง...ไม่ดีบ้าง หลายต่อหลายชิ้นผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ชิ้นไหนเป็นงานที่ฉันชอบ ฉันจะตัดสินใจเองว่า ชิ้นนี้สมควรเอาไปหล่อ ฉันก็จะนำงานไปเข้าโรงหล่อ ซึ่งฉันก็โชคดีที่ได้พบเจ้าของโรงหล่อสองสามีภรรยาผู้ซึ่งใจดีและมีน้ำใจต่อคนทำงานศิลปะเล็กๆ เช่นฉันอีกเช่นกัน

แปดปีที่ผ่านมา ที่ฉันได้กลับเข้ามาอยู่ที่บ้านสิงห์บุรีของฉัน ต้นไม้ดอกไม้ที่ฉันซื้อหามาปลูกไว้ตั้งแต่ต้นเล็กๆ นั้น ได้เติบโตและให้ร่มเงา กับบ้านหลังน้อยของฉัน

สำลีสุนัขแสนรักได้มาอยู่ที่นี่กับฉัน เราอยู่ด้วยกันในทุกๆ วัน ทุกๆ เวลา อย่างมีความสุข จนกระทั่งสำลี มีอายุครบสิบสี่ไปบริบูรณ์ก็ได้ล้มป่วยด้วยโรคไตวายระยะสุดท้ายและตายจากไปอย่างสงบ

ฉันได้ฝังศพสำลีไว้ที่หน้าบ้านของเรา และปลูกต้นดอกมณฑาทิพย์ ซึ่งเป็นดอกไม้ในตำนานและตามความเชื่อที่ว่า เป็นดอกไม้จากสรวงสวรรค์ ไว้บนหลุมศพของสำลี

ฉันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับสำลีอย่างสม่ำเสมอ.. และการงานของฉันดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ควบคู่กับการใช้ชีวิต การรับรู้ทุกข์สุข ของการพบและการจาก

แรงบันดาลใจที่ใช้ทำงานของฉันมีหลายอย่างด้วยกันคือ ความคิดฝัน และสิ่งที่พบเห็นในชีวิตซึ่งกระทบกับความรู้สึก และความประทับใจกับความงามของสิ่งต่างๆ

ฉันทำงานบ้านทุกๆ อย่างด้วยตัวของตัวเอง และมักเก็บตัวอยู่ในต่างจังหวัด...

ฉันยังคงทำงานไปและนำไปหล่อเพื่อฝากขายกับแกลเลอรี่ และมีงานแสดงร่วมกับผู้อื่นบ้างในโอกาสที่มีคนมาชักชวน

การขายงานได้ในแต่แต่ละครั้งของฉันนั้น ฉันถือว่ามันเป็นโชค และโชคดีที่สุดของฉันคือการที่ฉันได้มารู้จักศิลปะ และได้เป็นคนทำงานศิลปะ อย่างที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อน การมีชีวิตอยู่อย่างพอเพียงและเรียบง่าย เป็นวิถีชีวิตที่ฉันเลือก เพื่อที่ฉันจะได้ทำงานนี้ต่อไปได้จนตลอดชีวิตของฉัน....

อันคำ "ศิลปิน" เป็นคำใหญ่
แต่อาจหมายถึงคนเล็กๆ
ผู้ที่เกิดมาและเลือกที่จะก้าวเดิน
ในหนทางที่ตนรักและศรัทธา
อย่างแน่วแน่...
แม้พานพบอุปสรรค
แม้นชีวิตจะลำบาก
เขาก็ไม่จากมันไปไหน
เขาอาจเป็นแค่คนที่จมจ่อม
อยู่ข้างกองผ้าใบ
ท่ามกลางหลอดสีเรียงราย
ไร้คน..สนใจ
เขาอาจจมจ่อมอยู่กับตัวอักษร
เฝ้าขีดเฝ้าเขียนกลอนอยู่ชั่วชีวิต
แม้นมีหนทางเส้นอื่นที่ดีกว่ากับชีวิต
เขากลับไม่เคยคิดหันเห
อันคำ "ศิลปิน" เป็นคำสำคัญ
คือคนกล้าหาญผู้แสนจะอ่อนไหว
ถึงใครจะมองว่าเขาลำบากสักเท่าใด
เขานั้นไซร้จักดำรงในเส้นทาง
โดยไม่ห่างร้างไป
เพียงเงินทองของล่อใจ
เขานั้นไซร้..เรายกให้ว่า
"เป็นศิลปิน"

องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ถ่ายภาพโดย : มณีดิน







รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews


กำลังโหลดความคิดเห็น