คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
เราอาศัยกันอยู่ที่บ้านแม่แตง หลายปีผ่านมา..
จนกระทั่งบ้านไม้ไผ่ของเราผุพังลง เราจึงได้ย้ายลงไปอาศัยอยู่ที่ศาลาที่เราใช้ทำงาน โดยทั้งการทำอาหารการกิน การพักผ่อนนอนหลับและการทำงานของเรา อยู่ที่ศาลาพื้นปูนหลังคามุงแฝกอันโปร่งโล่งไร้ฝาผนัง แห่งนั้นทั้งหมด โดยไม่ได้กลับไปยังบ้านแม่ริมอีกเลย
ในฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น เราซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่ในเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันนั้นแสงแดดอันงดงามได้สาดส่องลงมายังพื้นดินและให้ความอบอุ่นแก่เรา..
ในฤดูร้อน ที่ศาลาที่พักของเรานั้นไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนกับสถานที่ข้างนอก เพราะเราอยู่ท่ามกลางต้นสักมากมาย ที่มีลำต้นเรียงรายเสมือนม่านไม้
ใบอันใหญ่โตของต้นสักมีทั้งที่ร่วงหล่นและที่กำลังผลิใบ ใบที่กำลังผลิใบนั้นคอยกั้นความร้อนจากแสงอาทิตย์ให้กับเรา ส่วนใบที่ร่วงหล่นนั้นเปรียบเสมือนเป็นยามให้กับเรา ที่จะคอยบอกว่ากำลังมีใครเดินเข้ามา..ด้วยเสียงอันแกรกกราก..แกรกกราก...นั่นเอง แต่ก็แฝงไว้ด้วยอันตรายเช่นกัน หากจุดฟืนไฟอย่างไม่ระมัดระวังก็จะทำให้เกิดไฟไหม้ได้อย่างรวดเร็ว...
ทั้งฉันทั้งเพื่อนใจของฉันและสุนัขแสนรักของเรา เคยต้องผจญกับลมพายุฤดูร้อนด้วยกันในครั้งคราหนึ่ง ซึ่งฉันยังจำติดในความทรงจำไม่ลืมเลือน..
ท่ามกลางพื้นที่อันเป็นสวนป่าสักอันกว้างใหญ่ มีทั้งที่เป็นเนินดินคล้ายเนินเขาขนาดย่อม บ้างก็ลึกเว้าลงไปเป็นแอ่ง...ส่วนที่ๆเราอยู่นั้นเป็นที่ราบ
วันแห่งพายุได้เกิดขึ้น เสียงลมพัดหวีดหวิวอย่างน่ากลัวมาจากป่าสักด้านในแล้วพุ่งตรงมายังศาลาที่เราอาศัยอยู่ ลมพายุพัดเอาสิ่งของจากบ้านไม้ไผ่หลังเก่าที่ผุพังของเราปลิวระเนระนาดไปทั่วบริเวณ...ลมพายุพัดโหมกระหน่ำโดนร่างของเราทั้งสาม คือ ฉัน,เพื่อนใจของฉัน และสำลีสุนัขแสนรักของเรา ท่ามกลางลมพายุ
เราทั้งสองยืนเกาะเสาของเตียงไม้ไผ่เตียงใหญ่ที่ต่อขึ้นเองและมัดยึดติดกับต้นสักต้นหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็ช่วยกันกอดสุนัขของเราไว้แนบอก ปล่อยให้ทั้งลมพายุ ทั้งฝุ่นดินและข้าวของพัดผ่านและปะทะตัวเรา เราไม่ห่วงหวงในสิ่งใดเลยนอกจากชีวิตของเราทั้งสามเพียงเท่านั้น...
เมื่อพายุอันดุร้ายรุนแรงได้พัดผ่านไป เรายืนโล่งใจอยู่ท่ามกลางกองหินและใบไม้ รอบๆ ตัวเรา ข้าวของเครื่องใช้นั้นปลิวว่อนไปกับลมพายุ..
แต่ฤดูที่น่าหวาดกลัวที่สุดคือฤดูฝน...ท่ามกลางใบอันใหญ่น้อยของต้นสักที่บดบังแสงแดดแทบสิ้น..ได้เกิดยุงป่าตัวโตๆ สีดำมากมาย ยุงเหล่านั้นมันปรี่เข้ากัดพวกเราอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ในเวลาทำกับข้าวฉันก็ต้องกางมุ้ง...
แต่เราก็ยังคงจะอยู่ที่นั่นไปอีกนาน..ถ้าไม่มีคืนนั้น...
ดึกดื่น..ราวเที่ยงคืน ขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะที่ศาลาของเรา สำลีสุนัขแสนรักของฉันได้เข้านอนหลับสบายอยู่ในมุ้ง..
ตามปกติฉันจะสวดมนต์ตอนค่ำๆ ก่อนเข้านอนทุกคืน และในคืนนั้นเมื่อฉันสวดมนต์เสร็จ ฉันก็นั่งอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน ส่วนเพื่อนใจของฉันนั้นก็ยังไม่นอน เขานั่งทำงานปั้นของเขาอยู่หลังถุงดินเหนียวสีดำถุงใหญ่ ที่อีกมุมหนึ่งของศาลาอย่างเงียบๆ..
เราต่างอยู่ใกล้ๆ กันอย่างเงียบสนิท และด้วยสุนัขตัวอื่นๆ ของเราที่เคยมีนั้นได้หายไปในเวลาที่เราไม่อยู่บ้าง และสุดท้ายเราก็ได้ยกให้คนอื่นไปเลี้ยงบ้างเนื่องจากเราต้องเดินทางบ่อยๆ...
ขณะที่ฉันกำลังตกภวังค์อยู่กับเรื่องราวในหนังสือนั้น ฉันได้เหลือบแลไปที่ชายคาของศาลาที่พักของเรา และได้เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งได้เข้ามายืนอยู่ไม่ไกลจากฉันตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
ชายวัยราวห้าสิบกว่าปีผู้นั้นกำลังยืนนิ่ง และจ้องมองมาที่ฉัน ฉันตกใจมาก เมื่อเห็นเขา จึงร้องตะโกนไปว่า “ใครน่ะ?...เข้ามาทำไม?”
ในแว๊บแรกที่ฉันเห็นเขา ใจฉันไพล่คิดไปว่า เขาเป็นผี แต่เมื่อร้องตะโกนถามออกไปและมองเขาอย่างชัดเจนจึงรู้ว่านั่นคือคน
คนที่บุกรุกเข้ามาในที่พักของเรายามวิกาลอย่างเงียบกริบ “มีคนเข้ามาๆ” ฉันรีบร้องตะโกนบอกเพื่อนใจของฉันที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานปั้นดินอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของศาลา ถุงดินเหนียวสีดำถุงใหญ่นั้นบังตัวเพื่อนใจของฉันไว้ ทำให้ชายผุ้บุกรุกเข้ามา มองไม่เห็นเพื่อนใจของฉัน
เพื่อนใจของฉันเงยหน้าขึ้นมามอง และรีบลุกยืนขึ้น พร้อมกับถามชายผู้นั้นเป็นภาษาเหนือว่า "มาทำอะไรที่นี่ ที่นี่เป็นบ้านคนนะ ไม่ใช่ทางผ่าน"
เมื่อชายผู้นั้นมองเห็นเพื่อนใจของฉัน เขาได้ตอบกลับเป็นภาษาเหนือว่า "ขอน้ำกินหน่อย"
เพื่อนใจของฉันจึงค่อยๆ เดินไปที่โอ่งน้ำกิน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่ชายผู้นั้นยืนอยู่ แล้วเปิดฝาตุ่ม เอากระบวยตักน้ำ ตักน้ำขึ้นมาแล้วยื่นให้กับชายผู้นั้น..
ฉันรีบร้องบอกด้วยความเป็นห่วงว่า “อย่าเข้าไปใกล้เขา..อย่าเข้าไปใกล้เขา” ชายคนนั้นรับกระบวยน้ำจากเพื่อนใจของฉันแล้วยกขึ้นดื่ม.. และบอกว่า เขาเดินหลงเข้ามา ด้วยน้ำเสียงของคนเมา
เพื่อนใจของฉันจึงบอกกับเขาว่า "ดื่มน้ำเสร็จแล้วก็ไปซะ โน่น..ทางออกอยู่ทางโน้น" แล้วชี้มือบอกทางให้ชายผู้นั้นเดินออกไป ผ่านหน้าศาลาของเรา และออกไปยังถนนใหญ่..
เมื่อชายผู้นั้นฟังจบ เขาก็ทำร้องตะโกนบอกกับใครที่ตามเขามาว่า "เฮ้ย ไปเว้ย" เป็นภาษาคำเมือง
ฉันมองดูชายผู้นั้นเดินออกไปด้วยความอกสั่นขวัญหาย และฉันก็ยิ่งตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นเขาไม่ได้สวมรองเท้า
โอ...เขาตั้งใจไม่ใส่รองเท้าเดินเข้ามา เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเสียง ยามเท้ากระทบใบไม้แห้ง..และเขาป้องกันไม่ให้รองเท้าของเขามาหลุดร่วงอยู่ที่นี่...มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน...ฉันคิด
ฉันและเพื่อนใจของฉันยืนมองชายผู้นั้นเดินลับหายไปในความมืด..
พอรุ่งเช้า..เพื่อนใจของฉันจึงได้บอกกับฉันว่า เมื่อคืนตอนที่เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อยื่นกระบวยตักน้ำให้กับชายผู้นั้นกิน เขาเห็นในมือของชายผู้นั้นถือเชือกมาด้วย
ฉันได้ฟังยิ่งรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก !!!
นับแต่คืนวันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็เกิดความกลัวในสถานที่ที่เราอยู่นั้นเป็นอย่างมาก ในเวลากลางวันจากที่ฉันเคยอยู่คนเดียวได้ ฉันก็ไม่กล้าอยู่ เมื่อเพื่อนใจของฉัน
ต้องมีธุระออกไปในที่แห่งใด ฉันและสำลีก็ต้องตามติดไปด้วย หากเขาไปในที่ใกล้ๆ เพียงไม่นานฉันก็ต้องจอดรถโดยหันหน้าออกสู่ทางออกไว้เสมอ.. ด้วยเพราะความระแวง..เพราะหากมีใครเข้ามาฉันก็จะสามารถขึ้นรถแล้วขับบึ่งออกจากที่นั่นได้อย่างทันท่วงที..
จากที่เคยกวาดออกให้โล่งเตียน..ฉันกวาดใบไม้แห้งๆ ที่ร่วงหล่นอยู่มากมาย มากองกั้นเป็นแนววงกลมล้อมรอบศาลาที่พักของเรา เพื่อให้เกิดเสียงเวลาที่มีคนเดินเข้ามา
แต่ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไร จิตใจของฉันก็มีแต่ความหวาดระแวง โดยเฉพาะในเวลากลางคืนฉันไม่อาจนอนหลับสนิทได้เหมือนเคย อีกเลย แม้แต่คืนเดียว
สวนป่าสักแห่งนั้นเป็นสถานที่อันกว้างใหญ่ไม่มีรั้วล้อมรอบ ใครจะเดินเข้าออกทางทิศไหนเมื่อใด นั้นไม่มีใครรู้เลย
แต่เราก็ทนอยู่ต่อไป เพราะเราไม่มีที่ไหนที่จะไปอีกแล้วในเวลานั้น คนที่ไม่พร้อมไปด้วยเงินทองอย่างเรา แม้จะย้ายไปที่ไหน ก็คงยังเป็นที่เปลี่ยวๆ อยู่วันยังค่ำ...
เมื่อเราเข้ากรุงเทพฯ กันในเวลาต่อมา ฉันได้พบกับน้องสาวของฉันและได้เล่าเรื่องนี้ให้กับน้องของฉันฟัง ความจึงรู้ไปถึงแม่ของฉัน..ซึ่งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี
เมื่อฉันกับเพื่อนใจได้แวะไปหาแม่ในวันหนึ่ง แม่จึงได้เอ่ยปากขอให้ฉันย้ายไปอยู่กับท่านที่สิงห์บุรี ด้วยความเป็นห่วงฉันอย่างมากมายนั่นเอง..
มีที่ดินที่ยังว่าง..ถัดจากบ้านของแม่ไป...มีไม้เก่าอยู่จำนวนหนึ่งที่ถูกรื้อมาจากบ้านของย่า...ไม้เหล่านั้นยังสมบูรณ์ดีสามารถนำมาปลูกบ้านหลังเล็กๆ ได้ และแม่ยกให้ฉัน ขอให้ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไหม...
ฉันเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ กับตัวเอง ด้วยฉันไม่เคยคิดที่จะอยากมาอยู่ที่สิงห์บุรีนี้เลย ฉันรักเมืองเชียงใหม่ รักภูเขา รักศิลปวัฒนธรรมอันสวยงามของเมืองล้านนาแห่งนีั และฉันชอบที่มีผู้คนที่ทำงานศิลปะอยู่กันมากมาย
เชียงใหม่มีครบทุกสิ่งทุกอย่าง มีทั้งป่าเขา มีทั้งเมืองที่เจริญ แต่สิงห์บุรีบ้านย่าของฉันนั้น ช่างเงียบเหงา มีแต่เพียงต้นมะม่วงทึบๆ และนาข้าว..
แต่ทว่า..ฉันก็หวาดกลัวเหลือเกิน ฉันอยู่อย่างไม่เป็นสุขและนอนไม่หลับเลย...
ในที่สุดฉันจึงบอกเล่าเรื่องราวที่แม่ชวนให้มาอยู่เมืองสิงห์บุรี กับเพื่อนใจของฉัน และยิ่งใจหายซ้ำขึ้นอีกเมื่อเพื่อนใจของฉัน ได้ตอบ "ตกลง" ที่จะย้ายมาอยู่สิงห์บุรี ด้วยกันอย่างง่ายดาย..
“มันจะดีหรือ ถ้าเราจะย้ายมาอยู่ห่างไกลจากแวดวงเพื่อนฝูงและคนทำงานศิลปะด้วยกัน เราจะไม่เงียบหายและกลายเป็นคนที่ถูกลืมหรือ...” ฉันตั้งคำถาม
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับการทำงานของเรา”
ฉันรับฟังคำตอบจากเพื่อนใจของฉัน ด้วยใจที่พยายามจะเชื่อ ฉันรู้สึกเสียดายและเสียใจอย่างมากมายในการที่เราจะไม่ได้อยู่เมืองเชียงใหม่อีกต่อไป...
ซึ่งในขณะนั้น เราทั้งสองต้องเดินทางระหว่างกรุงเทพฯและเชียงใหม่กันอย่างบ่อยครั้งมาก ด้วยเพราะเพื่อนใจของฉันมีกิจกรรมการงานที่ต้องเกี่ยวข้องในกรุงเทพฯ มากขึ้นนั่นเอง
ในที่สุดฉันจึงตอบตกลงกับแม่ของฉัน...
เราได้เดินทางขึ้นเชียงใหม่อีกครั้งเพื่อขนข้าวขนของและงานที่มีอยู่ที่นั่น ในเช้าตรู่ของวันที่เราจะออกเดินทางจากบ้านแม่แตงนั้น ก็ปรากฏมีชายร่างท้วมกลางคนคนหนึ่งแวะมาหาพี่คนที่เฝ้าสวนแต่เช้าตรู่ แต่ทว่าสองสามีภรรยาผู้เฝ้าสวนแห่งนั้นไม่อยู่บ้านทั้งสองคน
ชายร่างท้วมผู้นั้นจึงเดินมาหาฉัน และบอกกับฉันว่า เขามีของสิ่งหนึ่ง อยากให้ฉันช่วยเก็บรักษาไว้ ด้วยเขาต้องการเงินเพื่อไปหาหมอในเช้านี้ พร้อมๆ กับหยิบเครื่องลางชิ้นเล็กๆ ซึ่งทำจากหินสีขาวนวล เป็นรูปหญิงชายกอดกระหวัดกัน พร้อมกับเล่าว่า ของสิ่งนี้ เป็นของพ่อของเขาได้มาจากในน้ำเมื่อตอนทอดแหหาปลาแล้วติดข่ายแหขึ้นมา จากที่ๆมีปลาชุมมากมาย
เขาได้เก็บมันไว้นานแล้ว จนวันนี้เขาไม่สบายต้องการเงินเพื่อไปหาหมอ และทั้งบ้านของเขานั้นมีเพียงของสิ่งนี้ที่พอจะแลกเงินได้..ฉันรีบเรียกเพื่อนใจของฉันมาดูและบอกว่าฉันอยากได้เครื่องรางชิ้นนี้ เพราะเป็นของที่มีเฉพาะถิ่นของคนโบราณในล้านนา อีกทั้งมันยัง คงเคยได้ถูกใช้ให้เป็นที่พึ่งที่หวังในความรักของคนในอดีตที่ผ่านมา เพื่อให้สมหวังในรักอีกด้วย
เพื่อนใจของฉันจึงอนุญาตและแบ่งเงินที่เราจะต้องใช้ในการเดินทางให้กับฉันได้เป็นเจ้าของในเครื่องรางชิ้นนั้น ฉันกำมันไว้ในมือด้วยความดีใจ และแอบคิดลึกๆ ตามประสาคนช่างฝันว่า...
หรือของสิ่งนี้จะเป็นของขวัญจากท่านเทวดาที่ต้นโพธิ์ที่ฉันชอบไปนั่งปรับทุกข์กับท่าน ที่มอบให้ฉัน ก่อนที่ฉันจะจากที่นั่นมากันหนอ
ถ่ายภาพโดย : นายดี และ มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
เราอาศัยกันอยู่ที่บ้านแม่แตง หลายปีผ่านมา..
จนกระทั่งบ้านไม้ไผ่ของเราผุพังลง เราจึงได้ย้ายลงไปอาศัยอยู่ที่ศาลาที่เราใช้ทำงาน โดยทั้งการทำอาหารการกิน การพักผ่อนนอนหลับและการทำงานของเรา อยู่ที่ศาลาพื้นปูนหลังคามุงแฝกอันโปร่งโล่งไร้ฝาผนัง แห่งนั้นทั้งหมด โดยไม่ได้กลับไปยังบ้านแม่ริมอีกเลย
ในฤดูหนาวอากาศหนาวเย็น เราซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนใหญ่ในเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันนั้นแสงแดดอันงดงามได้สาดส่องลงมายังพื้นดินและให้ความอบอุ่นแก่เรา..
ในฤดูร้อน ที่ศาลาที่พักของเรานั้นไม่ร้อนอบอ้าวเหมือนกับสถานที่ข้างนอก เพราะเราอยู่ท่ามกลางต้นสักมากมาย ที่มีลำต้นเรียงรายเสมือนม่านไม้
ใบอันใหญ่โตของต้นสักมีทั้งที่ร่วงหล่นและที่กำลังผลิใบ ใบที่กำลังผลิใบนั้นคอยกั้นความร้อนจากแสงอาทิตย์ให้กับเรา ส่วนใบที่ร่วงหล่นนั้นเปรียบเสมือนเป็นยามให้กับเรา ที่จะคอยบอกว่ากำลังมีใครเดินเข้ามา..ด้วยเสียงอันแกรกกราก..แกรกกราก...นั่นเอง แต่ก็แฝงไว้ด้วยอันตรายเช่นกัน หากจุดฟืนไฟอย่างไม่ระมัดระวังก็จะทำให้เกิดไฟไหม้ได้อย่างรวดเร็ว...
ทั้งฉันทั้งเพื่อนใจของฉันและสุนัขแสนรักของเรา เคยต้องผจญกับลมพายุฤดูร้อนด้วยกันในครั้งคราหนึ่ง ซึ่งฉันยังจำติดในความทรงจำไม่ลืมเลือน..
ท่ามกลางพื้นที่อันเป็นสวนป่าสักอันกว้างใหญ่ มีทั้งที่เป็นเนินดินคล้ายเนินเขาขนาดย่อม บ้างก็ลึกเว้าลงไปเป็นแอ่ง...ส่วนที่ๆเราอยู่นั้นเป็นที่ราบ
วันแห่งพายุได้เกิดขึ้น เสียงลมพัดหวีดหวิวอย่างน่ากลัวมาจากป่าสักด้านในแล้วพุ่งตรงมายังศาลาที่เราอาศัยอยู่ ลมพายุพัดเอาสิ่งของจากบ้านไม้ไผ่หลังเก่าที่ผุพังของเราปลิวระเนระนาดไปทั่วบริเวณ...ลมพายุพัดโหมกระหน่ำโดนร่างของเราทั้งสาม คือ ฉัน,เพื่อนใจของฉัน และสำลีสุนัขแสนรักของเรา ท่ามกลางลมพายุ
เราทั้งสองยืนเกาะเสาของเตียงไม้ไผ่เตียงใหญ่ที่ต่อขึ้นเองและมัดยึดติดกับต้นสักต้นหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็ช่วยกันกอดสุนัขของเราไว้แนบอก ปล่อยให้ทั้งลมพายุ ทั้งฝุ่นดินและข้าวของพัดผ่านและปะทะตัวเรา เราไม่ห่วงหวงในสิ่งใดเลยนอกจากชีวิตของเราทั้งสามเพียงเท่านั้น...
เมื่อพายุอันดุร้ายรุนแรงได้พัดผ่านไป เรายืนโล่งใจอยู่ท่ามกลางกองหินและใบไม้ รอบๆ ตัวเรา ข้าวของเครื่องใช้นั้นปลิวว่อนไปกับลมพายุ..
แต่ฤดูที่น่าหวาดกลัวที่สุดคือฤดูฝน...ท่ามกลางใบอันใหญ่น้อยของต้นสักที่บดบังแสงแดดแทบสิ้น..ได้เกิดยุงป่าตัวโตๆ สีดำมากมาย ยุงเหล่านั้นมันปรี่เข้ากัดพวกเราอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ในเวลาทำกับข้าวฉันก็ต้องกางมุ้ง...
แต่เราก็ยังคงจะอยู่ที่นั่นไปอีกนาน..ถ้าไม่มีคืนนั้น...
ดึกดื่น..ราวเที่ยงคืน ขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะที่ศาลาของเรา สำลีสุนัขแสนรักของฉันได้เข้านอนหลับสบายอยู่ในมุ้ง..
ตามปกติฉันจะสวดมนต์ตอนค่ำๆ ก่อนเข้านอนทุกคืน และในคืนนั้นเมื่อฉันสวดมนต์เสร็จ ฉันก็นั่งอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน ส่วนเพื่อนใจของฉันนั้นก็ยังไม่นอน เขานั่งทำงานปั้นของเขาอยู่หลังถุงดินเหนียวสีดำถุงใหญ่ ที่อีกมุมหนึ่งของศาลาอย่างเงียบๆ..
เราต่างอยู่ใกล้ๆ กันอย่างเงียบสนิท และด้วยสุนัขตัวอื่นๆ ของเราที่เคยมีนั้นได้หายไปในเวลาที่เราไม่อยู่บ้าง และสุดท้ายเราก็ได้ยกให้คนอื่นไปเลี้ยงบ้างเนื่องจากเราต้องเดินทางบ่อยๆ...
ขณะที่ฉันกำลังตกภวังค์อยู่กับเรื่องราวในหนังสือนั้น ฉันได้เหลือบแลไปที่ชายคาของศาลาที่พักของเรา และได้เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งได้เข้ามายืนอยู่ไม่ไกลจากฉันตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้
ชายวัยราวห้าสิบกว่าปีผู้นั้นกำลังยืนนิ่ง และจ้องมองมาที่ฉัน ฉันตกใจมาก เมื่อเห็นเขา จึงร้องตะโกนไปว่า “ใครน่ะ?...เข้ามาทำไม?”
ในแว๊บแรกที่ฉันเห็นเขา ใจฉันไพล่คิดไปว่า เขาเป็นผี แต่เมื่อร้องตะโกนถามออกไปและมองเขาอย่างชัดเจนจึงรู้ว่านั่นคือคน
คนที่บุกรุกเข้ามาในที่พักของเรายามวิกาลอย่างเงียบกริบ “มีคนเข้ามาๆ” ฉันรีบร้องตะโกนบอกเพื่อนใจของฉันที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานปั้นดินอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของศาลา ถุงดินเหนียวสีดำถุงใหญ่นั้นบังตัวเพื่อนใจของฉันไว้ ทำให้ชายผุ้บุกรุกเข้ามา มองไม่เห็นเพื่อนใจของฉัน
เพื่อนใจของฉันเงยหน้าขึ้นมามอง และรีบลุกยืนขึ้น พร้อมกับถามชายผู้นั้นเป็นภาษาเหนือว่า "มาทำอะไรที่นี่ ที่นี่เป็นบ้านคนนะ ไม่ใช่ทางผ่าน"
เมื่อชายผู้นั้นมองเห็นเพื่อนใจของฉัน เขาได้ตอบกลับเป็นภาษาเหนือว่า "ขอน้ำกินหน่อย"
เพื่อนใจของฉันจึงค่อยๆ เดินไปที่โอ่งน้ำกิน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่ชายผู้นั้นยืนอยู่ แล้วเปิดฝาตุ่ม เอากระบวยตักน้ำ ตักน้ำขึ้นมาแล้วยื่นให้กับชายผู้นั้น..
ฉันรีบร้องบอกด้วยความเป็นห่วงว่า “อย่าเข้าไปใกล้เขา..อย่าเข้าไปใกล้เขา” ชายคนนั้นรับกระบวยน้ำจากเพื่อนใจของฉันแล้วยกขึ้นดื่ม.. และบอกว่า เขาเดินหลงเข้ามา ด้วยน้ำเสียงของคนเมา
เพื่อนใจของฉันจึงบอกกับเขาว่า "ดื่มน้ำเสร็จแล้วก็ไปซะ โน่น..ทางออกอยู่ทางโน้น" แล้วชี้มือบอกทางให้ชายผู้นั้นเดินออกไป ผ่านหน้าศาลาของเรา และออกไปยังถนนใหญ่..
เมื่อชายผู้นั้นฟังจบ เขาก็ทำร้องตะโกนบอกกับใครที่ตามเขามาว่า "เฮ้ย ไปเว้ย" เป็นภาษาคำเมือง
ฉันมองดูชายผู้นั้นเดินออกไปด้วยความอกสั่นขวัญหาย และฉันก็ยิ่งตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นเขาไม่ได้สวมรองเท้า
โอ...เขาตั้งใจไม่ใส่รองเท้าเดินเข้ามา เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเสียง ยามเท้ากระทบใบไม้แห้ง..และเขาป้องกันไม่ให้รองเท้าของเขามาหลุดร่วงอยู่ที่นี่...มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน...ฉันคิด
ฉันและเพื่อนใจของฉันยืนมองชายผู้นั้นเดินลับหายไปในความมืด..
พอรุ่งเช้า..เพื่อนใจของฉันจึงได้บอกกับฉันว่า เมื่อคืนตอนที่เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อยื่นกระบวยตักน้ำให้กับชายผู้นั้นกิน เขาเห็นในมือของชายผู้นั้นถือเชือกมาด้วย
ฉันได้ฟังยิ่งรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก !!!
นับแต่คืนวันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็เกิดความกลัวในสถานที่ที่เราอยู่นั้นเป็นอย่างมาก ในเวลากลางวันจากที่ฉันเคยอยู่คนเดียวได้ ฉันก็ไม่กล้าอยู่ เมื่อเพื่อนใจของฉัน
ต้องมีธุระออกไปในที่แห่งใด ฉันและสำลีก็ต้องตามติดไปด้วย หากเขาไปในที่ใกล้ๆ เพียงไม่นานฉันก็ต้องจอดรถโดยหันหน้าออกสู่ทางออกไว้เสมอ.. ด้วยเพราะความระแวง..เพราะหากมีใครเข้ามาฉันก็จะสามารถขึ้นรถแล้วขับบึ่งออกจากที่นั่นได้อย่างทันท่วงที..
จากที่เคยกวาดออกให้โล่งเตียน..ฉันกวาดใบไม้แห้งๆ ที่ร่วงหล่นอยู่มากมาย มากองกั้นเป็นแนววงกลมล้อมรอบศาลาที่พักของเรา เพื่อให้เกิดเสียงเวลาที่มีคนเดินเข้ามา
แต่ไม่ว่าจะป้องกันอย่างไร จิตใจของฉันก็มีแต่ความหวาดระแวง โดยเฉพาะในเวลากลางคืนฉันไม่อาจนอนหลับสนิทได้เหมือนเคย อีกเลย แม้แต่คืนเดียว
สวนป่าสักแห่งนั้นเป็นสถานที่อันกว้างใหญ่ไม่มีรั้วล้อมรอบ ใครจะเดินเข้าออกทางทิศไหนเมื่อใด นั้นไม่มีใครรู้เลย
แต่เราก็ทนอยู่ต่อไป เพราะเราไม่มีที่ไหนที่จะไปอีกแล้วในเวลานั้น คนที่ไม่พร้อมไปด้วยเงินทองอย่างเรา แม้จะย้ายไปที่ไหน ก็คงยังเป็นที่เปลี่ยวๆ อยู่วันยังค่ำ...
เมื่อเราเข้ากรุงเทพฯ กันในเวลาต่อมา ฉันได้พบกับน้องสาวของฉันและได้เล่าเรื่องนี้ให้กับน้องของฉันฟัง ความจึงรู้ไปถึงแม่ของฉัน..ซึ่งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี
เมื่อฉันกับเพื่อนใจได้แวะไปหาแม่ในวันหนึ่ง แม่จึงได้เอ่ยปากขอให้ฉันย้ายไปอยู่กับท่านที่สิงห์บุรี ด้วยความเป็นห่วงฉันอย่างมากมายนั่นเอง..
มีที่ดินที่ยังว่าง..ถัดจากบ้านของแม่ไป...มีไม้เก่าอยู่จำนวนหนึ่งที่ถูกรื้อมาจากบ้านของย่า...ไม้เหล่านั้นยังสมบูรณ์ดีสามารถนำมาปลูกบ้านหลังเล็กๆ ได้ และแม่ยกให้ฉัน ขอให้ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ไหม...
ฉันเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ กับตัวเอง ด้วยฉันไม่เคยคิดที่จะอยากมาอยู่ที่สิงห์บุรีนี้เลย ฉันรักเมืองเชียงใหม่ รักภูเขา รักศิลปวัฒนธรรมอันสวยงามของเมืองล้านนาแห่งนีั และฉันชอบที่มีผู้คนที่ทำงานศิลปะอยู่กันมากมาย
เชียงใหม่มีครบทุกสิ่งทุกอย่าง มีทั้งป่าเขา มีทั้งเมืองที่เจริญ แต่สิงห์บุรีบ้านย่าของฉันนั้น ช่างเงียบเหงา มีแต่เพียงต้นมะม่วงทึบๆ และนาข้าว..
แต่ทว่า..ฉันก็หวาดกลัวเหลือเกิน ฉันอยู่อย่างไม่เป็นสุขและนอนไม่หลับเลย...
ในที่สุดฉันจึงบอกเล่าเรื่องราวที่แม่ชวนให้มาอยู่เมืองสิงห์บุรี กับเพื่อนใจของฉัน และยิ่งใจหายซ้ำขึ้นอีกเมื่อเพื่อนใจของฉัน ได้ตอบ "ตกลง" ที่จะย้ายมาอยู่สิงห์บุรี ด้วยกันอย่างง่ายดาย..
“มันจะดีหรือ ถ้าเราจะย้ายมาอยู่ห่างไกลจากแวดวงเพื่อนฝูงและคนทำงานศิลปะด้วยกัน เราจะไม่เงียบหายและกลายเป็นคนที่ถูกลืมหรือ...” ฉันตั้งคำถาม
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับการทำงานของเรา”
ฉันรับฟังคำตอบจากเพื่อนใจของฉัน ด้วยใจที่พยายามจะเชื่อ ฉันรู้สึกเสียดายและเสียใจอย่างมากมายในการที่เราจะไม่ได้อยู่เมืองเชียงใหม่อีกต่อไป...
ซึ่งในขณะนั้น เราทั้งสองต้องเดินทางระหว่างกรุงเทพฯและเชียงใหม่กันอย่างบ่อยครั้งมาก ด้วยเพราะเพื่อนใจของฉันมีกิจกรรมการงานที่ต้องเกี่ยวข้องในกรุงเทพฯ มากขึ้นนั่นเอง
ในที่สุดฉันจึงตอบตกลงกับแม่ของฉัน...
เราได้เดินทางขึ้นเชียงใหม่อีกครั้งเพื่อขนข้าวขนของและงานที่มีอยู่ที่นั่น ในเช้าตรู่ของวันที่เราจะออกเดินทางจากบ้านแม่แตงนั้น ก็ปรากฏมีชายร่างท้วมกลางคนคนหนึ่งแวะมาหาพี่คนที่เฝ้าสวนแต่เช้าตรู่ แต่ทว่าสองสามีภรรยาผู้เฝ้าสวนแห่งนั้นไม่อยู่บ้านทั้งสองคน
ชายร่างท้วมผู้นั้นจึงเดินมาหาฉัน และบอกกับฉันว่า เขามีของสิ่งหนึ่ง อยากให้ฉันช่วยเก็บรักษาไว้ ด้วยเขาต้องการเงินเพื่อไปหาหมอในเช้านี้ พร้อมๆ กับหยิบเครื่องลางชิ้นเล็กๆ ซึ่งทำจากหินสีขาวนวล เป็นรูปหญิงชายกอดกระหวัดกัน พร้อมกับเล่าว่า ของสิ่งนี้ เป็นของพ่อของเขาได้มาจากในน้ำเมื่อตอนทอดแหหาปลาแล้วติดข่ายแหขึ้นมา จากที่ๆมีปลาชุมมากมาย
เขาได้เก็บมันไว้นานแล้ว จนวันนี้เขาไม่สบายต้องการเงินเพื่อไปหาหมอ และทั้งบ้านของเขานั้นมีเพียงของสิ่งนี้ที่พอจะแลกเงินได้..ฉันรีบเรียกเพื่อนใจของฉันมาดูและบอกว่าฉันอยากได้เครื่องรางชิ้นนี้ เพราะเป็นของที่มีเฉพาะถิ่นของคนโบราณในล้านนา อีกทั้งมันยัง คงเคยได้ถูกใช้ให้เป็นที่พึ่งที่หวังในความรักของคนในอดีตที่ผ่านมา เพื่อให้สมหวังในรักอีกด้วย
เพื่อนใจของฉันจึงอนุญาตและแบ่งเงินที่เราจะต้องใช้ในการเดินทางให้กับฉันได้เป็นเจ้าของในเครื่องรางชิ้นนั้น ฉันกำมันไว้ในมือด้วยความดีใจ และแอบคิดลึกๆ ตามประสาคนช่างฝันว่า...
หรือของสิ่งนี้จะเป็นของขวัญจากท่านเทวดาที่ต้นโพธิ์ที่ฉันชอบไปนั่งปรับทุกข์กับท่าน ที่มอบให้ฉัน ก่อนที่ฉันจะจากที่นั่นมากันหนอ
ถ่ายภาพโดย : นายดี และ มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews