คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
หกเดือนในเมืองเชียงใหม่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความเป็นอยู่ภายใต้ชายคาบ้านหลังน้อยที่อาศัยเขาอยู่นั้น เริ่มไม่เป็นส่วนตัวสำหรับฉัน
ด้วยอุปนิสัยที่เคยมีห้องส่วนตัวตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อเติบโตมาในยามพ้นจากเวลาเรียนหนังสือในวัยเด็ก และในยามพ้นจากเวลาทำงานในวัยผู้ใหญ่ ฉันมักจะปลีกตัวออกมาจากใครต่อใคร ด้วยการนั่งเงียบๆ อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง หรือหลบไปหาที่อ่านหนังสืออยู่ตามลำพังเสมอๆ
สำหรับในบ้านน้อยหลังนี้ สถานที่อันเป็นส่วนตัวของฉัน ที่จะอยู่ลำพังได้นั้นก็มีเพียงห้องเล็กๆ ห้องเดียวซึ่งเป็นทั้งที่หลับนอนและที่ทำงาน พ้นจากกำแพงฝาห้องก็มีเหล่าสมาชิกของบ้านนั่งปั้นงานกันอยู่หน้าห้องนั่นเอง ฉันจึงเอ่ยปากปรึกษากับเพื่อนใจ ถึงการหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งเขาก็รับฟังและเห็นด้วยเป็นอย่างดี...
นับจากวันที่ได้มาอยู่ด้วยกันกับเขา นานวันเข้า ฉันเริ่มเห็นในอุปนิสัยบางอย่างของเราที่แตกต่างกัน..
ฉันเป็นคนสันโดษไม่ชอบสุงสิงกับใคร ฉันจะคุยกับใครๆ ได้ทั้งหมดทุกๆ คน ที่ฉันพบและมีอันต้องสนทนาพาทีด้วย และฉันสามารถคุยและเข้ากับคนได้แทบทุกแบบทุกคน แต่ทว่ามันจะอยู่เพียงในช่วงของเวลาที่ฉันคิดว่ามันเป็นเวลาที่ฉันจะคุยหรือพร้อมจะคบหาสมาคมกับใครเท่านั้น
ฉันไม่มีนิสัยเล่นหัว หรือคลุกคลีตีโมงกับใครๆ แม้กับคนที่เป็นเพื่อนของฉัน ฉันก็ปฏิบัติตัวเองเช่นเดียวกัน ฉันจึงเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย
ฉันเคยมองย้อนไปเมื่อเห็นใครๆ ต่อใครมีเพื่อนเก่าๆมากมายหลายยุคหลายสมัยของชั้นเรียนที่ผ่านมา แต่สำหรับฉันเมื่อได้มองตัวเองย้อนไปตั้งแต่ยุคสมัยเรียนในโรงเรียน มาถึงวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ฉันพบว่าเพื่อนเก่าๆ ของฉันได้สูญหายไปเสียหมดกับวันเวลาที่ผ่านเลย และการก้าวไปในที่ใหม่ๆ ของฉัน ฉันมักหลงลืมพวกเขาเสียสนิท...และฉันก็สรุปตัวเองว่า นั่นเป็นเพราะฉันเป็นคนชอบมองไปข้างหน้า
ในเวลาที่ผ่านมานั้น ฉันทำแต่งาน และคบหาอยู่ก็เพียงเพื่อนในที่ทำงานปัจจุบันเท่านั้น ฉันไม่มีเวลา และไม่ได้สนใจที่จะคิดถึงเพื่อนเก่าๆ ที่เคยคบหากันมาเท่าไรนัก การติดต่อและความสัมพันธ์ระหว่างฉันและเพื่อนๆ เหล่านั้นจึงขาดหายไป..ดังนั้นฉันจึงเปรียบเหมือนคนที่ไม่มีเพื่อน..
แต่สำหรับเขา..เพื่อนใจของฉันนั้น เป็นคนชอบคบหาสมาคมกับผู้อื่น และเป็นคนมีเพื่อนมากมาย ทั้งเพื่อนใหม่เพื่อนเก่า อีกทั้งคนรู้จัก และญาติพี่น้อง และบุคคลต่างๆที่แวดล้อมเขา ซึ่งเขาเป็นคนมีน้ำใจและให้ความช่วยเหลือต่อบุคคลต่างๆ เหล่านั้น
ด้วยสิ่งเหล่านี้ อันเป็นความแตกต่างของเรา และตัวฉันเองก็มีความคิดที่ติดตัวติดหัวใจของตัวเองอยู่ตลอดมาว่า ฉันจะต้องเป็นคนทีมีความสำคัญเหนือกว่าใครๆ ในชีวิตของเขาเสมอ..เพราะสำหรับฉัน นับแต่วันที่ตัดสินใจก้าวเข้ามาอยู่ด้วยกัน ฉันก็ยกให้เพื่อนใจของฉันเป็นคนที่มีความสำคัญเหนือกว่าใครๆ ทุกคนในชีวิตของฉันเช่นกัน....
แต่ทว่า..ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาเป็นตัวของตัวเองและเป็นในสิ่งที่เขาเป็นมาอย่างไม่มีอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้..ฉันจึงค่อยๆ ที่จะเรียนรู้ในความแตกต่างของเรา และบ่อยครั้งที่ฉันมักจะเกิดความไม่พอใจ ต่อใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ชิด หรือเข้ามาขอความช่วยเหลือไม่ว่าเรื่องอันใดจากเพื่อนใจของฉัน ที่มากเกินไป...
เมื่อฉันเอ่ยปากเรื่องของการอยากย้ายที่อยู่ เพราะต้องการให้เรามีบ้านของตัวเอง แม้จะมีเงินเพียงน้อยนิดในการเริ่มต้น แต่ก็น่าจะถึงเวลาที่เราควรจะเลิกอาศัยเขาอยู่ได้แล้ว เพื่อนใจของฉันก็เข้าใจ และยอมตามแต่โดยดี..
มีคนรู้จักที่เชียงใหม่ เริ่มเข้ามาแนะนำที่ดินให้กับเรา เราต้องการที่ดินที่มีพื้นที่กว้างๆ โดยไม่ต้องอยู่ติดกับบ้านของใครๆ จนเกินไปนัก..เราพากันขับรถไปตามหาที่ดินบนดอยซึ่งอยู่ในอำเภอหางดง ตามที่มีคนมาบอกขาย แม้หนทางอยู่ไม่ไกลจากบ้านเหมืองกุงที่เราอยู่ก็จริง..แต่เมื่อขับรถวนไปวนมาและหาที่ดินแห่งนั้นจนพบ
เมื่อขึ้นไปยืนบนผืนแผ่นดินแห่งนั้น ได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเมื่อมองออกไป แต่ทว่าในละแวกนั้นก็มีแต่ป่า และไม่มีบ้านเรือนของเพื่อนบ้านอยู่ให้เห็นเลแม้เพียงหลังคาเดียว.. หนำซ้ำยังมีบ่อน้ำอันกว้างใหญ่ที่เกิดจากการขุดดินไปขายและมีน้ำซึ่งเป็นสีเขียวเต็มบ่อนั้น ช่างทำให้ฉันรู้สึกกลัวและคิดถึงหนังฆาตกรรมเป็นยิ่งนัก...
ฉันไม่ชอบที่นี่..มันเปลี่ยวและน่ากลัวเกินไป..เพื่อนใจของฉันรับฟังในการตัดสินใจของฉัน เราจึงได้ปฏิเสธที่ดินผืนแรกนั้นไป...
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ขณะฉันและเพื่อนใจนั่งทำงานกันอยู่นั้น ก็มีผู้มาเยี่ยมเยือน และชื่นชมผลงาน เขาเป็นคนกรุงเทพฯ ที่มาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เชียงใหม่
และได้เอ่ยปากชวนให้ฉันและเพื่อนใจไปดูที่ดินของเขาที่ได้ซื้อทิ้งไว้ และหากเราชอบเขายินดีให้เราเข้าไปอยู่ได้ก่อนเลย เรื่องเงินทองค่าที่ดินนั้นยังไม่ต้องพูดถึง..
ช่างเป็นโอกาสที่ตรงกับความต้องการเสียจริง..เราสองคนจึงติดตามพี่ชายท่านนั้นไปยังที่ดินของเขา ซึ่งอยู่ในเขต อ.แม่ริม เราทั้งคู่พอใจในที่ดินแห่งใหม่นี้มาก เนื่องจากมีอากาศโปร่งแสนสบาย และโดยรอบๆ ของบริเวณที่ดินแห่งนั้น เป็นสวนลำไย และนาปลูกข้าวที่แสนสวย
ที่ดินเห่งนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของทางราชการ และได้แบ่งให้ชาวบ้านมาจับจองทำมาหากิน..เป็นสถานที่ที่ไม่ห่างไกลเกินไปจากหมู่บ้าน เพียงพ้นเนินถนนดินลูกรังข้างล่างไปก็มีหมู่บ้านแล้ว
ถ่ายภาพโดย : นายดี,เกรียงไกร ไวยกิจ และมณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
หกเดือนในเมืองเชียงใหม่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความเป็นอยู่ภายใต้ชายคาบ้านหลังน้อยที่อาศัยเขาอยู่นั้น เริ่มไม่เป็นส่วนตัวสำหรับฉัน
ด้วยอุปนิสัยที่เคยมีห้องส่วนตัวตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อเติบโตมาในยามพ้นจากเวลาเรียนหนังสือในวัยเด็ก และในยามพ้นจากเวลาทำงานในวัยผู้ใหญ่ ฉันมักจะปลีกตัวออกมาจากใครต่อใคร ด้วยการนั่งเงียบๆ อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง หรือหลบไปหาที่อ่านหนังสืออยู่ตามลำพังเสมอๆ
สำหรับในบ้านน้อยหลังนี้ สถานที่อันเป็นส่วนตัวของฉัน ที่จะอยู่ลำพังได้นั้นก็มีเพียงห้องเล็กๆ ห้องเดียวซึ่งเป็นทั้งที่หลับนอนและที่ทำงาน พ้นจากกำแพงฝาห้องก็มีเหล่าสมาชิกของบ้านนั่งปั้นงานกันอยู่หน้าห้องนั่นเอง ฉันจึงเอ่ยปากปรึกษากับเพื่อนใจ ถึงการหาที่อยู่ใหม่ ซึ่งเขาก็รับฟังและเห็นด้วยเป็นอย่างดี...
นับจากวันที่ได้มาอยู่ด้วยกันกับเขา นานวันเข้า ฉันเริ่มเห็นในอุปนิสัยบางอย่างของเราที่แตกต่างกัน..
ฉันเป็นคนสันโดษไม่ชอบสุงสิงกับใคร ฉันจะคุยกับใครๆ ได้ทั้งหมดทุกๆ คน ที่ฉันพบและมีอันต้องสนทนาพาทีด้วย และฉันสามารถคุยและเข้ากับคนได้แทบทุกแบบทุกคน แต่ทว่ามันจะอยู่เพียงในช่วงของเวลาที่ฉันคิดว่ามันเป็นเวลาที่ฉันจะคุยหรือพร้อมจะคบหาสมาคมกับใครเท่านั้น
ฉันไม่มีนิสัยเล่นหัว หรือคลุกคลีตีโมงกับใครๆ แม้กับคนที่เป็นเพื่อนของฉัน ฉันก็ปฏิบัติตัวเองเช่นเดียวกัน ฉันจึงเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย
ฉันเคยมองย้อนไปเมื่อเห็นใครๆ ต่อใครมีเพื่อนเก่าๆมากมายหลายยุคหลายสมัยของชั้นเรียนที่ผ่านมา แต่สำหรับฉันเมื่อได้มองตัวเองย้อนไปตั้งแต่ยุคสมัยเรียนในโรงเรียน มาถึงวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ฉันพบว่าเพื่อนเก่าๆ ของฉันได้สูญหายไปเสียหมดกับวันเวลาที่ผ่านเลย และการก้าวไปในที่ใหม่ๆ ของฉัน ฉันมักหลงลืมพวกเขาเสียสนิท...และฉันก็สรุปตัวเองว่า นั่นเป็นเพราะฉันเป็นคนชอบมองไปข้างหน้า
ในเวลาที่ผ่านมานั้น ฉันทำแต่งาน และคบหาอยู่ก็เพียงเพื่อนในที่ทำงานปัจจุบันเท่านั้น ฉันไม่มีเวลา และไม่ได้สนใจที่จะคิดถึงเพื่อนเก่าๆ ที่เคยคบหากันมาเท่าไรนัก การติดต่อและความสัมพันธ์ระหว่างฉันและเพื่อนๆ เหล่านั้นจึงขาดหายไป..ดังนั้นฉันจึงเปรียบเหมือนคนที่ไม่มีเพื่อน..
แต่สำหรับเขา..เพื่อนใจของฉันนั้น เป็นคนชอบคบหาสมาคมกับผู้อื่น และเป็นคนมีเพื่อนมากมาย ทั้งเพื่อนใหม่เพื่อนเก่า อีกทั้งคนรู้จัก และญาติพี่น้อง และบุคคลต่างๆที่แวดล้อมเขา ซึ่งเขาเป็นคนมีน้ำใจและให้ความช่วยเหลือต่อบุคคลต่างๆ เหล่านั้น
ด้วยสิ่งเหล่านี้ อันเป็นความแตกต่างของเรา และตัวฉันเองก็มีความคิดที่ติดตัวติดหัวใจของตัวเองอยู่ตลอดมาว่า ฉันจะต้องเป็นคนทีมีความสำคัญเหนือกว่าใครๆ ในชีวิตของเขาเสมอ..เพราะสำหรับฉัน นับแต่วันที่ตัดสินใจก้าวเข้ามาอยู่ด้วยกัน ฉันก็ยกให้เพื่อนใจของฉันเป็นคนที่มีความสำคัญเหนือกว่าใครๆ ทุกคนในชีวิตของฉันเช่นกัน....
แต่ทว่า..ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาเป็นตัวของตัวเองและเป็นในสิ่งที่เขาเป็นมาอย่างไม่มีอะไรที่จะไปเปลี่ยนแปลงได้..ฉันจึงค่อยๆ ที่จะเรียนรู้ในความแตกต่างของเรา และบ่อยครั้งที่ฉันมักจะเกิดความไม่พอใจ ต่อใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ชิด หรือเข้ามาขอความช่วยเหลือไม่ว่าเรื่องอันใดจากเพื่อนใจของฉัน ที่มากเกินไป...
เมื่อฉันเอ่ยปากเรื่องของการอยากย้ายที่อยู่ เพราะต้องการให้เรามีบ้านของตัวเอง แม้จะมีเงินเพียงน้อยนิดในการเริ่มต้น แต่ก็น่าจะถึงเวลาที่เราควรจะเลิกอาศัยเขาอยู่ได้แล้ว เพื่อนใจของฉันก็เข้าใจ และยอมตามแต่โดยดี..
มีคนรู้จักที่เชียงใหม่ เริ่มเข้ามาแนะนำที่ดินให้กับเรา เราต้องการที่ดินที่มีพื้นที่กว้างๆ โดยไม่ต้องอยู่ติดกับบ้านของใครๆ จนเกินไปนัก..เราพากันขับรถไปตามหาที่ดินบนดอยซึ่งอยู่ในอำเภอหางดง ตามที่มีคนมาบอกขาย แม้หนทางอยู่ไม่ไกลจากบ้านเหมืองกุงที่เราอยู่ก็จริง..แต่เมื่อขับรถวนไปวนมาและหาที่ดินแห่งนั้นจนพบ
เมื่อขึ้นไปยืนบนผืนแผ่นดินแห่งนั้น ได้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามเมื่อมองออกไป แต่ทว่าในละแวกนั้นก็มีแต่ป่า และไม่มีบ้านเรือนของเพื่อนบ้านอยู่ให้เห็นเลแม้เพียงหลังคาเดียว.. หนำซ้ำยังมีบ่อน้ำอันกว้างใหญ่ที่เกิดจากการขุดดินไปขายและมีน้ำซึ่งเป็นสีเขียวเต็มบ่อนั้น ช่างทำให้ฉันรู้สึกกลัวและคิดถึงหนังฆาตกรรมเป็นยิ่งนัก...
ฉันไม่ชอบที่นี่..มันเปลี่ยวและน่ากลัวเกินไป..เพื่อนใจของฉันรับฟังในการตัดสินใจของฉัน เราจึงได้ปฏิเสธที่ดินผืนแรกนั้นไป...
วันเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ขณะฉันและเพื่อนใจนั่งทำงานกันอยู่นั้น ก็มีผู้มาเยี่ยมเยือน และชื่นชมผลงาน เขาเป็นคนกรุงเทพฯ ที่มาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่เชียงใหม่
และได้เอ่ยปากชวนให้ฉันและเพื่อนใจไปดูที่ดินของเขาที่ได้ซื้อทิ้งไว้ และหากเราชอบเขายินดีให้เราเข้าไปอยู่ได้ก่อนเลย เรื่องเงินทองค่าที่ดินนั้นยังไม่ต้องพูดถึง..
ช่างเป็นโอกาสที่ตรงกับความต้องการเสียจริง..เราสองคนจึงติดตามพี่ชายท่านนั้นไปยังที่ดินของเขา ซึ่งอยู่ในเขต อ.แม่ริม เราทั้งคู่พอใจในที่ดินแห่งใหม่นี้มาก เนื่องจากมีอากาศโปร่งแสนสบาย และโดยรอบๆ ของบริเวณที่ดินแห่งนั้น เป็นสวนลำไย และนาปลูกข้าวที่แสนสวย
ที่ดินเห่งนี้อยู่ในเขตพื้นที่ของทางราชการ และได้แบ่งให้ชาวบ้านมาจับจองทำมาหากิน..เป็นสถานที่ที่ไม่ห่างไกลเกินไปจากหมู่บ้าน เพียงพ้นเนินถนนดินลูกรังข้างล่างไปก็มีหมู่บ้านแล้ว
ถ่ายภาพโดย : นายดี,เกรียงไกร ไวยกิจ และมณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews