คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
หญิงสาวดินเผาทั้งน้อยใหญ่ ถูกวางเรียงรายไว้บนชั้นไม้ที่ถูกต่อขึ้นอย่างง่ายๆ เพื่อวางงานภายในห้องพัก ทุกครั้งที่ได้มองงานตั้งแต่ชิ้นแรก ชิ้นที่สอง และชิ้นต่อๆ มานั้น ก่อให้เกิดความอิ่มเอมใจ และกำลังใจ ในการที่จะเดินหน้าสร้างผลงานชิ้นถัดๆ ไปเสมอ
การมองผลงานของตัวเองที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย เป็นการมองด้วยใจกึ่งฝันถึงงานที่เกิดขึ้นมาแล้วตรงหน้า และงานที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลังด้วยความหวังและตั้งใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉันนั้น ล้วนก่อรูปออกมาจากหัวใจก่อนทั้งสิ้น
งานแสดงที่กรุงเทพ กำลังจะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้า...นับเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวดินเผาของฉัน จะปรากฏเป็นส่วนหนึ่งในงานแสดง
ใช่... ฉันเคยเป็นแต่เพียงผู้ชมและผู้ช่วยในงานแสดงที่ผ่านๆ มา ของเพื่อนใจในหลายๆครั้งที่ผ่านมาเท่านั้น
เพียงสี่เดือนนับแต่วันที่ฉันได้ลาออกจากงานประจำ เหลือเวลาอีกไม่นานอดีตพนักงานธนาคารเช่นฉันก็จะถึงวันและเวลาแห่งการแสดงผลงานในฐานะคนทำงานศิลปะแล้ว
ฉันลงมือลงแรงปั้นงานเป็นรูปผู้หญิงกำลังนั่งชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง
การค่อยๆ ขึ้นดินเหนียวที่นุ่มนิ่มทีละเล็กทีละน้อยนั้นเป็นไปอย่างที่ต้องใช้ความอดทน และการรอคอย
จากฐานรากจนถึงปลายยอดบนสุดของงาน มิได้ทำได้รวดเดียวดังใจเหมือนกับงานชิ้นขนาดเล็กๆ ที่ทำเป็นประจำและถนัด
ฉันต้องรอจนกว่าดินในส่วนฐานจะคลายความชื้นและเริ่มแข็งแรงพอที่จะสามารถรับน้ำหนักในส่วนบนที่ฉันจะปั้นต่อขึ้นมาได้ หากใจร้อนเมื่อใดงานที่ขึ้นไว้ ก็จะล้มครืนลงมาในทันที
ด้วยระยะเวลาและความชำนาญอันน้อยนิด..การทำงานชิ้นใหญ่ของฉันจึงต้องใช้ความมานะและอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง ฉันต้องกลั้นหายใจ สลับกับการผ่อนลมหายใจในขณะลงมือทำงาน
ในขั้นแรกที่คิดไว้นั้น ฉันวาดฝันถึงภาพหญิงสาวดินเผาผู้แสนงามชิ้นโตนั่งอยู่ท่ามกลางหมู่ดอกไม้...
แต่ครั้นเมื่อยามลงมือทำงาน ด้วยฉันเองไม่มีความถนัดและยังเป็นคนที่มือใหม่ต่อการปั้นงานชิ้นโตๆ ความสวยงามในงานที่คิดฝันไว้แต่แรก กลับไม่สม ดังที่หวังและตั้งใจไว้นัก
และแม้จะปั้นไปและมองไป รับรู้ด้วยตนเองเต็มหัวใจว่าได้งานชิ้นใหญ่ที่ไม่สวย สัดส่วนของรูปปั้นนั้นผิดพลาดไปกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมากมาย แตกต่างจากงานชิ้นเล็กๆ ที่ฉันถนัด
ฉันผ่อนปรนให้ตนเองโดยการลดความคาดหวังทางด้านความงามลงไป แต่ก็ไม่ละความพยายามในการที่จะทำงานออกมาให้สำเร็จ เกิดเป็นผลงานตั้งอยู่ตรงหน้า
ฉันเริ่มค้นพบความรู้สึกบางอย่าง ของตนเอง นั่นคือการเป็นนักต่อสู้ที่ไม่ยอมแพ้กับสิ่งใดง่ายๆ แม้ในการทำงานบางสิ่งจะไม่ได้เป็นไปดังที่คิดและหวังไว้เต็มเปี่ยม แต่ก็จะต้องต่อสู้กับตนเองเพื่อให้งานชิ้นนั้นเกิดขึ้นให้จงได้
การทำงานปั้นดินสำหรับฉัน จึงช่วยทำให้ฉันคิดและมองเข้าไปในใจตนเองได้ทีละเล็กทีละน้อย
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉันก็ได้รับข่าวจากน้องสาวคนกลาง ผู้แจ้งข่าวมาว่า "ย่าเสีย"
ย่าป่วยและเข้าโรงพยาบาล และสิ้นใจอย่างสงบที่โรงพยาบาลด้วยโรคชราในวัย 84 ปี
ฉันหวนคิดถึงภาพในวัยเด็กของตัวเอง...(หลานสาวคนแรกของย่าผู้มีลูกชายคนโตเป็นพ่อของฉัน) ได้เคยมาอยู่กับย่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุ 7 ขวบ
ภาพของย่าที่เป็นหญิงโบราณร่างสูงโปร่งนุ่งโจงกระเบนและเสื้อคอกระเช้า นั่งเคี้ยวหมากและสีฟันด้วยยาฉุนในแสงตะเกียงท่ามกลางหลานๆ ในยามค่ำคืนนั้น ปรากฏอยู่ในใจของฉันเสมอ
เมื่อคิดถึงวันที่ต้องจากบ้านของย่าในวัย 7 ขวบเพื่อเข้าไปเรียนหนังสือและอยู่กับพ่อและแม่ที่กรุงเทพฯ
ฉันจำได้อย่างแม่นยำว่า ตนเองนั่งมองท้องทุ่งนากว้างไกลสีเขียว จากบนรถประจำทางคันสีส้มที่กำลังแล่น พาฉันจากบ้านของย่าไป ด้วยใจที่แสนอาลัย
เป็นความอาลัยรักในท้องทุ่งนาแสนงามและย่าที่รัก..
ในชีวิตของฉัน ย่าเป็นคนที่ฉันรักคนแรกที่ได้ตายจากไป ฉันสู้อดทนทำงานต่อไป ด้วยความรู้สึกแสนอาลัยและเสียใจ
เพราะในการที่ฉันลาออกจากงานประจำที่พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจ มาทำการปั้นดินอยู่ที่เชียงใหม่นั้น ฉันปิดทุกอย่างเป็นความลับกับที่บ้าน พ่อกับแม่ไม่ได้ล่วงรู้ในเรื่องนี้ มีเพียงน้องสาวคนกลางคนเดียวเท่านั้นที่ฉันได้บอกเล่าให้ได้รับรู้...
แต่เมื่อเวลาเพียง 4 เดือนกว่าๆ กระทั่งได้ทราบข่าว ฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่เดินทางไปร่วมงานศพของย่า..
ฉันต่อสู้กับความรู้สึกผิดและสับสนใจ อดทนและมุ่งหน้าทำงานต่อไปในช่วงเวลาอันน้อยนิดนั้น
บอกกับตัวเอง อีกไม่นาน...ก็จะถึงวันแห่งการนำงานไปแสดงที่กรุงเทพฯ แล้ว
ถ่ายภาพโดย : นายดี และ มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
หญิงสาวดินเผาทั้งน้อยใหญ่ ถูกวางเรียงรายไว้บนชั้นไม้ที่ถูกต่อขึ้นอย่างง่ายๆ เพื่อวางงานภายในห้องพัก ทุกครั้งที่ได้มองงานตั้งแต่ชิ้นแรก ชิ้นที่สอง และชิ้นต่อๆ มานั้น ก่อให้เกิดความอิ่มเอมใจ และกำลังใจ ในการที่จะเดินหน้าสร้างผลงานชิ้นถัดๆ ไปเสมอ
การมองผลงานของตัวเองที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย เป็นการมองด้วยใจกึ่งฝันถึงงานที่เกิดขึ้นมาแล้วตรงหน้า และงานที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลังด้วยความหวังและตั้งใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับฉันนั้น ล้วนก่อรูปออกมาจากหัวใจก่อนทั้งสิ้น
งานแสดงที่กรุงเทพ กำลังจะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้า...นับเป็นครั้งแรกที่หญิงสาวดินเผาของฉัน จะปรากฏเป็นส่วนหนึ่งในงานแสดง
ใช่... ฉันเคยเป็นแต่เพียงผู้ชมและผู้ช่วยในงานแสดงที่ผ่านๆ มา ของเพื่อนใจในหลายๆครั้งที่ผ่านมาเท่านั้น
เพียงสี่เดือนนับแต่วันที่ฉันได้ลาออกจากงานประจำ เหลือเวลาอีกไม่นานอดีตพนักงานธนาคารเช่นฉันก็จะถึงวันและเวลาแห่งการแสดงผลงานในฐานะคนทำงานศิลปะแล้ว
ฉันลงมือลงแรงปั้นงานเป็นรูปผู้หญิงกำลังนั่งชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่ง
การค่อยๆ ขึ้นดินเหนียวที่นุ่มนิ่มทีละเล็กทีละน้อยนั้นเป็นไปอย่างที่ต้องใช้ความอดทน และการรอคอย
จากฐานรากจนถึงปลายยอดบนสุดของงาน มิได้ทำได้รวดเดียวดังใจเหมือนกับงานชิ้นขนาดเล็กๆ ที่ทำเป็นประจำและถนัด
ฉันต้องรอจนกว่าดินในส่วนฐานจะคลายความชื้นและเริ่มแข็งแรงพอที่จะสามารถรับน้ำหนักในส่วนบนที่ฉันจะปั้นต่อขึ้นมาได้ หากใจร้อนเมื่อใดงานที่ขึ้นไว้ ก็จะล้มครืนลงมาในทันที
ด้วยระยะเวลาและความชำนาญอันน้อยนิด..การทำงานชิ้นใหญ่ของฉันจึงต้องใช้ความมานะและอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง ฉันต้องกลั้นหายใจ สลับกับการผ่อนลมหายใจในขณะลงมือทำงาน
ในขั้นแรกที่คิดไว้นั้น ฉันวาดฝันถึงภาพหญิงสาวดินเผาผู้แสนงามชิ้นโตนั่งอยู่ท่ามกลางหมู่ดอกไม้...
แต่ครั้นเมื่อยามลงมือทำงาน ด้วยฉันเองไม่มีความถนัดและยังเป็นคนที่มือใหม่ต่อการปั้นงานชิ้นโตๆ ความสวยงามในงานที่คิดฝันไว้แต่แรก กลับไม่สม ดังที่หวังและตั้งใจไว้นัก
และแม้จะปั้นไปและมองไป รับรู้ด้วยตนเองเต็มหัวใจว่าได้งานชิ้นใหญ่ที่ไม่สวย สัดส่วนของรูปปั้นนั้นผิดพลาดไปกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมากมาย แตกต่างจากงานชิ้นเล็กๆ ที่ฉันถนัด
ฉันผ่อนปรนให้ตนเองโดยการลดความคาดหวังทางด้านความงามลงไป แต่ก็ไม่ละความพยายามในการที่จะทำงานออกมาให้สำเร็จ เกิดเป็นผลงานตั้งอยู่ตรงหน้า
ฉันเริ่มค้นพบความรู้สึกบางอย่าง ของตนเอง นั่นคือการเป็นนักต่อสู้ที่ไม่ยอมแพ้กับสิ่งใดง่ายๆ แม้ในการทำงานบางสิ่งจะไม่ได้เป็นไปดังที่คิดและหวังไว้เต็มเปี่ยม แต่ก็จะต้องต่อสู้กับตนเองเพื่อให้งานชิ้นนั้นเกิดขึ้นให้จงได้
การทำงานปั้นดินสำหรับฉัน จึงช่วยทำให้ฉันคิดและมองเข้าไปในใจตนเองได้ทีละเล็กทีละน้อย
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉันก็ได้รับข่าวจากน้องสาวคนกลาง ผู้แจ้งข่าวมาว่า "ย่าเสีย"
ย่าป่วยและเข้าโรงพยาบาล และสิ้นใจอย่างสงบที่โรงพยาบาลด้วยโรคชราในวัย 84 ปี
ฉันหวนคิดถึงภาพในวัยเด็กของตัวเอง...(หลานสาวคนแรกของย่าผู้มีลูกชายคนโตเป็นพ่อของฉัน) ได้เคยมาอยู่กับย่าตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุ 7 ขวบ
ภาพของย่าที่เป็นหญิงโบราณร่างสูงโปร่งนุ่งโจงกระเบนและเสื้อคอกระเช้า นั่งเคี้ยวหมากและสีฟันด้วยยาฉุนในแสงตะเกียงท่ามกลางหลานๆ ในยามค่ำคืนนั้น ปรากฏอยู่ในใจของฉันเสมอ
เมื่อคิดถึงวันที่ต้องจากบ้านของย่าในวัย 7 ขวบเพื่อเข้าไปเรียนหนังสือและอยู่กับพ่อและแม่ที่กรุงเทพฯ
ฉันจำได้อย่างแม่นยำว่า ตนเองนั่งมองท้องทุ่งนากว้างไกลสีเขียว จากบนรถประจำทางคันสีส้มที่กำลังแล่น พาฉันจากบ้านของย่าไป ด้วยใจที่แสนอาลัย
เป็นความอาลัยรักในท้องทุ่งนาแสนงามและย่าที่รัก..
ในชีวิตของฉัน ย่าเป็นคนที่ฉันรักคนแรกที่ได้ตายจากไป ฉันสู้อดทนทำงานต่อไป ด้วยความรู้สึกแสนอาลัยและเสียใจ
เพราะในการที่ฉันลาออกจากงานประจำที่พ่อแม่ได้ภาคภูมิใจ มาทำการปั้นดินอยู่ที่เชียงใหม่นั้น ฉันปิดทุกอย่างเป็นความลับกับที่บ้าน พ่อกับแม่ไม่ได้ล่วงรู้ในเรื่องนี้ มีเพียงน้องสาวคนกลางคนเดียวเท่านั้นที่ฉันได้บอกเล่าให้ได้รับรู้...
แต่เมื่อเวลาเพียง 4 เดือนกว่าๆ กระทั่งได้ทราบข่าว ฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่เดินทางไปร่วมงานศพของย่า..
ฉันต่อสู้กับความรู้สึกผิดและสับสนใจ อดทนและมุ่งหน้าทำงานต่อไปในช่วงเวลาอันน้อยนิดนั้น
บอกกับตัวเอง อีกไม่นาน...ก็จะถึงวันแห่งการนำงานไปแสดงที่กรุงเทพฯ แล้ว
ถ่ายภาพโดย : นายดี และ มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews