xs
xsm
sm
md
lg

ต้น-ธนกฤต ประชัญคดี เขาคือ นักธุรกิจsingle Dad

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
หลังข้ามกรอบชีวิตครอบครัวข้าราชการตระกูล “ประชัญคดี” ไปเลือกเส้นทางเดินสายธุรกิจจนประสบความสำเร็จ ต้น-ธนกฤต ประชัญคดี ยอมรับว่าไม่ใช่เรื่อง่าย เพราะต้องผ่านบททดสอบชีวิตทั้งดีและร้ายปนกันไป กว่าจะถึงฝั่งฝันตัวเขาเองก็แทบหมดใจ หากแต่โชคดีมีกำลังใจจากลูกชายและลูกสาวตัวน้อยมาคอยเติมเต็ม ทำให้ชีวิตเริ่มมีชีวาเดินหน้าทำงานอย่างมีความสุขไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

 
บ้านโบราณหลังงามที่ตั้งโดดเด่นในซอยประชัญคดี สุขุมวิท 39 เปิดประตูให้เราได้เข้าไปเยี่ยมชม โดยต้น-ธนกฤต บุตรชายของชโยดมและเบญจมาศ ประชัญคดี อดีตผู้ตรวจราชการ กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม บอกว่า บ้านหลังนี้เป็นของคุณปู่ที่มอบให้พ่อและตกทอดมาถึงเขา

ต้นบอกว่าหลังเรียนจบก็อยากเข้ารับราชการตามแบบฉบับของครอบครัว แต่ด้วยความถนัดบวกกับโอกาสที่ได้พบปะผู้คนมากมาย ที่มีทั้งขอให้ชักชวนและขอให้ช่วยเป็นที่ปรึกษาเรื่องการลงทุนในต่างประเทศ ในที่สุดจึงเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด

 
“แม่จะเลี้ยงผมแบบใกล้ชิด จะเป็นที่ปรึกษาในทุกเรื่อง ไม่เคยบังคับว่าลูกต้องเป็นข้าราชการตามท่าน ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจเปิดบริษัททำธุรกิจด้านโลจิสติกส์ และเป็นรับเป็นที่ปรึกษาให้นักลงทุนที่สนใจไปลงทุกต่างประเทศ ซึ่งตรงนี้เป็นคอนเนคชั่นที่ผมพอมีอยู่” ต้น-ธนกฤต กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

ด้วยความเป็น "ประชัญคดี" ทำให้เขามี “ต้นทุน” มากกว่าคนอื่น แต่เมื่อมีส่วนได้ก็ต้องมีส่วนเสีย ด้วยความรับผิดชอบต่อลูกค้าเขาจึงทุ่มเทเวลาให้งานอย่างหนักต้องเดินทางไปประเทศบ่อย ทำให้เกิดปัญหาครอบครัวตามมา จนเมื่อถึงทางตันที่ต้องเลือก ลูกชายกับลูกสาวก็ตัดสินใจอยู่กับ "พ่อ" ซึ่งเขาบอกว่าดีใจเพราะลูกคือดวงใจของเขา

 
คุณพ่อยังหนุ่มยอมรับว่าการเป็น Single Dad ไม่ได้ทำให้เขาหนักใจ ตรงกันข้ามกลับรู้สึกมีความสุขมาก แต่ก็ยอมรับว่ามีอุปสรรคเหมือนกัน เพราะต้องเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงลูก รวมถึงปรับเวลาการทำงาน ที่เป็นดั่งกำแพงกั้นเขากับลูก แต่เพียงไม่นานปัญหาทุกอย่างก็แก้ไขได้ลงตัว

“ต้น” บอกว่า ตอนนั้นลูกทั้ง 2 คนยังเล็ก ต้องการเวลาอยากอยู่ใกล้พ่อ ขณะที่งานก็ต้องทำ โดยเฉพาะงานเป็นที่ปรึกษาให้บริษัทที่ไปลงทุนในต่างประเทศบางครั้งต้องเดินทางไปต่างประเทศหลายวัน ต้องพาลูกไปฝากกับคุณย่า (เบญจมาศ) ซึ่งลูกไม่เข้าใจก็จะร้องไห้ ดังนั้นเขาจึงต้องปรับวิธีทำงาน ด้วยการลดเวลาไปต่างประเทศ จะไปก็ต่อเมื่อจำเป็นจริงๆ

 
“ตลอด 5 ปีมานี้ผมเลี้ยงลูกเองมาตลอด ตอนนี้ผมให้เวลางาน 4 วัน อีก 3 วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์จะเป็นเวลาที่ผมให้ลูก 2 คนเต็มที่ ผมชอบตีกอล์ฟก็จะพาเขาไปตีกอล์ฟ ตอนแรกเขาไม่ชอบเพราะร้อน แต่พอผมอธิบายว่าเป็นการออกกำลังกายนะ เขาก็เข้าใจผมเป็นคนสอนเขาตั้งแต่การจับไม้เลือกไม้ จนตอนนี้ออกรอบด้วยกันแล้ว”

ความรักของพ่ออาจจะดูแข็งกระด้าง แต่สิ่งที่ต้นมอบให้ลูกก็คือความอ่อนโยนแม้ในบางครั้งจะทำไม่ได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะละเลย “อย่างเดียวเลยที่ผมทำไม่ได้คือการทำผมให้ลูกสาว อันนี้เป็นเรื่องที่ตัวผมเครียดเอง ถ้าอยู่บ้านแม่บ้านจะเป็นคนทำผมให้ลูกสาว แต่พอไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ตื่นเช้ามาเราอาบน้ำให้เขาเสร็จลูกสาวให้หวีผมถักเปียให้ ผมทำไม่ได้ต้องพาเขาเข้าร้าน ตอนหลังก็พยามหัดทำหัดรวบผมให้เขาบ้าง”

 
เมื่อทุกอย่างกำลังจะเข้าที่ ปัญหาใหม่ก็ตามมา คือลูกที่เคยเป็นเด็กชายเด็กหญิงเริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่น ลูกชายหันมาสนใจเทคโนโลยี ส่วนลูกสาวเริ่มรักสวยรักงาม ธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นี้ถือเป็นอีกเสต็ปที่พ่ออย่างเขาต้องทำการบ้านอย่างหนัก
 
“ตอนนี้ชวนถ้าลูกสาวไปตีกอล์ฟ เขาจะไม่ค่อยอยากไปแล้ว เพราะกลัวดำ เขาบอกอยากช้อปปิ้งอยากดูหนัง ซึ่งผมเองไม่ได้ดูหนังไม่ได้เดินห้างมานานมากแล้วก็ต้องพาเขาไป พอไปถึงก็จะมีเรื่องเล็กๆน้อย ๆ ที่บางทีเราลืมคือผมกับลูกชายจะไปร้านขายเสื้อผ้าผู้ชาย โดยลืมนึกถึงลูกคนเล็กที่เป็นผู้หญิง ซื้อเสร็จผมจะกลับบ้าน ลูกสาวก็จะบ่นแล้ว (หัวเราะ) บอกคุณพ่อหนูอยากได้กระโปรงแบบนี้ ซึ่งเราไม่รู้จักก็ให้เขาพาไป พอได้ตามที่เขาต้องการก็โอเคแล้ว ช่วงหลังไปห้างผมจะใช้วิธีแยกกันเดินแล้วนัดว่าซื้อเสร็จมาเจอกันตรงนี้นะ ปัญหาก็หมดไป”

 
สำหรับความคาดหวังหรือตั้งเป้าหมายอยากให้ลูกต้องเป็นอย่างไร คุณพ่อยังหนุ่มคนนี้บอกว่า เมื่อก่อนเคย แต่เมื่อได้อยู่ด้วยกันทุกวันทำให้รู้ว่าการปล่อยให้ลูกได้คิดได้ตัดสินใจเองเป็นเรื่องที่ดีที่สุด “เคยคิดแทนลูกว่าอยากให้เขาเป็นสัตว์แพทย์เพราะทั้งคู่เป็นคนรักสัตว์ หมาแมวที่บ้านไม่สบายเขาจะต้องบอกให้พาไปหาหมอ แต่เราได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นเราเริ่มเห็นว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป มีปัจจัยอื่นแทรกเข้ามาเราก็รู้แล้วว่าเรากำหนดเขาไม่ได้ ผมก็จะย้อนมาดูตัวเองว่าแม่เลี้ยงผมมาอย่างไร ตอนนี้เลยปล่อยวาง แต่พยายามจะคุยกับเขาให้มากที่สุด”

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ความรักของพ่อแม่ยังคงสำคัญที่สุดสำหรับเด็ก ไม่มีเทคโนโลยีใดมาทดแทนได้ ก่อนจาก Single Dad ที่ชื่อต้นย้ำกับเราว่า เวลาสำหรับลูกเป็นเรื่องจำเป็นที่สุด อาจไม่ต้องทั้งวันทั้งคืน ขอเพียงมีช่วงเวลาคุณภาพ ที่ได้พูดคุย-เล่น-หัวเราะ และทำกิจกรรมร่วมกันสม่ำเสมอ พ่อและแม่ใบเลี้ยงเดี่ยวก็สามารถทำให้ลูกเติบโตเป็นคนที่ไม่ขาดความรักได้เหมือนกัน

 
ด้วยความคิดที่กลั่นกรองออกมาอย่างเป็นระบบ สมแล้วกับที่หลายคนไว้วางใจยกให้ ต้น-ธนกฤต ประชัญคดี เป็นซุปเปอร์คอนซัลแตนท์ส หรือสุดยอดที่ปรึกษาแผนบริหารงานธุรกิจ
กำลังโหลดความคิดเห็น