xs
xsm
sm
md
lg

“เจ้าชายแฮร์รี” ผู้เป็นที่รักของปวงชน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แม้ภาพของ “เจ้าชายแฮร์รี” จะเป็นเจ้าชายหนุ่มเจ้าสำราญจอมปาร์ตี้ และชอบซุกซนแบบแผลงๆ แต่หลายคนที่รู้จักตัวตนของเจ้าชายน้อยองค์นี้ ต่างชื่นชมและให้ความเห็นอกเห็นใจกับเด็กน้อยที่กำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก
คริส ฮัทชินส์ ได้เขียนหนังสือบันทึกความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าชายแฮร์รี จากการสัมภาษณ์สอบถามหลากหลายบุคคลที่ได้ใกล้ชิดกับเจ้าชาย ทั้งข้าราชบริพาร ครูบาอาจารย์ เพื่อน บางทีใครที่ได้อานหนังสือเล่มนี้ ที่จะนำออกจำหน่ายวันที่ 25 เมษายนนี้ คงจะเข้าใจในตัวของเจ้าชายจอมเฮี้ยวพระองค์นี้บ้าง

นับตั้งแต่พระประสูติกาล เมื่อเวลา 16.20 น. ของวันเสาร์ที่ 4 กันยายน ค.ศ. 1984 ก่อนวันที่แพทย์หลวงกำหนดไว้ถึง 9 วัน เจ้าชายแฮร์รีก็เป็นที่รักของปวงชนมานับแต่วันนั้น
ด้วยการที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ พระบิดา ประทับอยู่ข้างพระมารดา เจ้าหญิงไดอาน่าตลอด 9 ชั่วโมง โดยทรงช่วยวางถุงน้ำแข็งและประทานครีมไล้พระโอษฐ์ที่แห้งผากของพระชายา ในช่วงเวลาของความเจ็บปวด และตื่นเต้นที่จะได้ทอดพระเนตรทารกที่จะถือกำเนิดมา และในที่สุด ก็รับสั่งต่อประชาชนผู้มาเฝ้าว่า “เด็กมีนัยน์ตาสีฟ้า และ เอ้อ ผมสีน้ำตาลเข้ม”
ในวันต่อมา เจ้าชายพระองค์น้อยก็ตามเสด็จพระบิดาและพระมารดา สู่พระราชวังเคนซิงตัน และแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังวินด์เซอร์ ในเวลาต่อมา ด้วยพระบิดาทรงมีหมายที่จะลงแข่งโปโล ซึ่งมีการดื่มฉลองกันด้วยแชมเปญเลิศรส
หลังจากนั้น เก้าเดือน เจ้าชายแฮร์รีตามเสด็จทั้งสองพระองค์ไปยังประเทศอิตาลี และทรงหลบสายตาประชาชนที่มารับเสด็จ ด้วยการซบที่พระอุระของพระมารดา ซึ่งใครๆ ก็ลงความเห็นว่า ทรงขี้อายในขณะนั้น แต่พระมารดาทรงเชื่อว่า จะทรงปรับพระองค์ได้เมื่อทรงเจริญพระชันษาขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อยิ่งเจริญวัยยิ่งขึ้น ก็ทรงโปรดที่จะเล่นอย่างผาดโผนจนพระมารดาถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า “My danger- loving Harry”

เจ้าชายน้อยทรงขึ้นประทับบนหลังม้า เป็นครั้งแรกเมื่อพระชันษาได้ 14 เดือน และทรงหงุดหงิดที่ไม่ได้จับบังเหียนด้วยพระองค์เอง ด้วยการกรรแสงและอาละวาด และเพียง 6 สัปดาห์ก่อนวันครบวันประสูติ 2 ปี ก็ทรงได้แผลจากการกระโดดจากโต๊ะในครัว และนับแต่นั้นทุกคนต้องเฝ้าระแวดระวังเจ้าชายน้อยพระองค์นี้ มากขึ้นเป็นลำดับ และยังทรงอวดแผลให้ใครต่อใครชมในวันพระราชพิธีเสกสมรสของเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ ซึ่งบางคนแนะนำถวายว่า น่าจะเป็นทหารพลร่มเมื่อทรงเจริญพระชันษายิ่งขึ้น
“ไม่เคยทรงกลัวอะไรเลย ตั้งแต่ยังทรงดำเนินได้เตาะแตะ” ผู้ใกล้ชิดบางคนกล่าวถึงเจ้าชายพระองค์นี้ “พระมารดาทรงหวังว่า จะทรงเข็ดหลาบจากรอยเขียวช้ำที่ทิ้งริ้วรอยไว้บนพระฉวี แต่ก็ยังคงทรงซนผาดโผนตลอดเวลา “ซึ่งพระพี่เลี้ยงก็คงได้แต่ทูลว่า เด็กผู้ชายก็คือเด็กผู้ชาย”
เคน วาร์ฟ หนึ่งในพระพี่เลี้ยงกล่าวว่า “ทีแรกก็ไม่มีใครแน่ใจว่า เจ้าชายแฮร์รีทรงโปรดอะไรแน่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เห็นได้ว่าทรงโปรดเรื่องเสี่ยงภัยอย่างมาก” อย่างที่เคยเสด็จมาหาเขาในชุดพราง ที่มีใครบางคนจัดถวาย และทรงชุดนั้นตลอดเวลาโดยไม่ยอมถอด และรับสั่งถามความเห็นว่าเป็นอย่างไร เหมือนทหารจริงๆ ไหม”

เขาเคยถวายวิทยุสื่อสารของตำรวจ และให้ทรงรายงานไปที่ เจน เฟลโลวส์ ก็ทรงปฏิบัติได้อย่างดี โดยรับสั่งผ่านวิทยุว่า “เคน นี่คือแฮร์รี ทุกอย่างเรียบร้อยดี” และเขายังเคยให้เสด็จไปตรงจุดของทหารยามที่ประตูวัง และให้รายงานกลับมา แต่ไม่ได้ทรงรายงานกลับมา จนเคนเริ่มวิตกว่า ทรงหายไปไหน และในที่สุด ก็มีเสียงจากวิทยุว่า “เคน นี่แฮร์รีนะ” ที่ทำให้เขาต้องถามกลับไปอย่างสงสัยว่า “นี่ฝ่าบาทอยู่ที่ไหน” เพราะได้ยินเสียงยวดยานในวิทยุ ก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาว่า ขอเช็กเดี๋ยว และทรงตอบกลับมาว่า นี่เราอยู่นอก Tower Records อันเป็นร้านขายแผ่นเสียงที่อยู่ในละแวก เซาต์ เคนซิงตัน ที่เล่นเอา เคน วาร์ฟ แทบกระโจนอย่างไม่คิดชีวิต เพื่อตามพระองค์ให้ทัน
เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาลที่ Wetherby ที่เวสต์ลอนดอน ครูที่ถวายพระอักษรกล่าวว่า” ออกจะเป็นห่วงท่านอยู่ เพราะหากโปรดจะทำอะไรแล้ว จะทรงทำให้ได้โดยไม่คำนึงว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือพูดง่ายๆก็คือทรงดื้อนั่นเอง อย่างเคยเตือนว่าเวลาจะดำเนินไปไหนก็ให้ระวังรถ ควรดำเนินด้านหน้าที่คนขับจะมองเห็น กลับรับสั่งย้อนว่าไม่เห็นต้องวิตกเลย เพราะรถนั่นแหละที่ต้องระวังไม่ให้มาชนเรา”

การเจ็บปวดหรือบาดแผลภายนอก ไม่อาจทำให้เจ้าชายองค์น้อยรู้สึกได้ หากแต่บาดแผลภายในนั้นกลับมากมายอย่างที่ไม่มีใครคาดเดาได้
เมื่อพระบิดาและพระมารดาตัดสินพระทัยที่จะ “แยกทาง” กันเมื่อทรงมีพระชันษาได้ 8 ขวบ และพยายามที่จะให้พระโอรสทั้งสองเข้าพระทัย แต่เจ้าชายแฮร์รีกลับได้รับความอาดูรและผลกระทบนี้อย่างมาก คงมีเพียงเจ้าชายวิลเลียม พระเชษฐาเท่านั้นที่ทรงปลอบโยนพระอนุชาได้พระองค์เดียว สิ่งที่เจ้าชายแฮร์รีรับสั่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็คือ “มีทางบ้างไหมที่จะทรงทำให้ทั้งพระบิดาและพระมารดาทรงกลับมาคืนดีกันได้ดังเดิม”

เหตุการณ์ที่พระบิดาและพระมารดาทรงหย่าขาดจากกันทำให้เจ้าชายแฮร์รีโศกเศร้าแล้ว แต่ชีวิตหลังจากที่พระมารดาอันเป็นที่รักสิ้นพระชมน์ยิ่งทำให้ชีวิจของเจ้าชายน้อยน่าเห็นใจมากขึ้นอีก

เนื่องจากผลจากการหย่าร้างของพระบิดาและพระมารดา ส่งผลให้เจ้าชายองค์น้อยหลบไปกรรแสงที่ในสวนของพระตำหนักซานดริงแฮม ในช่วงคริสต์มาสก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะทรงแยกทางกันชั่วชีวิต ผู้ที่ไปพบกล่าวว่า ทรงคร่ำครวญถึงพระมารดาด้วยความอาดูร
ในเวลาต่อมาผู้ใกล้ชิดเล่าว่า ทรงเริ่มมาทางพระบิดามากขึ้น และทรงสนิทกับพระบิดาขนาดทรงใช้เวลานับชั่วโมง อยู่ด้วยกันในสวนของพระตำหนักไฮโกรฟ
ครั้งหนึ่งเจ้าชายแฮร์รีตามเสด็จพระบิดา เพื่อทอดพระเนตรภาพยนตร์เรื่อง “ซูลู” อันเป็นสงครามระหว่างกองทัพของราชอาณาจักรกับชนเผ่าพื้นเมืองในแอฟริกาใต้ และได้จุดประกายของความท้าทายให้กับเจ้าชายองค์น้อยตั้งแต่วันนั้น ในเรื่องทรงโปรดการเสี่ยงผจญภัย และชีวิตทหาร ซึ่งพระมารดาไม่ทรงเห็นด้วยแม้แต่น้อย ขนาดที่เคยทรงออกพระโอษฐ์กับ เจมส์ ฮิวอิท ว่า จะไม่มีวันยอมให้พระโอรสทรงเข้าสู่สงครามโดยเด็ดขาด เรื่องที่เจ้าหญิงไดอาน่าทรงวิตกในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะทรงเห็นในบุคลิกของพระโอรสองค์เล็กว่า ทรง “เฮี้ยว” มาก กว่าพระเชษฐาราวกับเหรียญคนละด้าน

ในคืนสิ้นพระชมน์ของเจ้าหญิงไดอาน่าเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1997 กลางดึกสงัดที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เสด็จเข้ามาบอกข่าวร้าย ให้พระโอรสทั้งสองพระองค์ในห้องบรรทม ที่พระตำหนักบัลมอเรลด้วยพระเนตรแดงช้ำ เจ้าชายองค์น้อยรับสั่งถามย้ำพระบิดาว่า “แม่ตายแล้วจริงๆ หรือ” และทรงถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก ด้วยจะทรงเชื่อได้อย่างไรว่า เพียงไม่กี่วันที่ไม่พบกัน กลายเป็นการจากพระมารดาจนชั่วชีวิต
หนึ่งปีต่อจากนั้น ก็ทรงตามพระเชษฐาเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนอีตัน และที่นี่เองที่ทรงฉายแววลูกผู้ชายที่นิยมความแกร่งและท้าทายในแบบชายชาติทหาร โดยเฉพาะ กีฬาที่ต้องใช้แรงปะทะ ในขณะเดียวกัน ทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดรู้กันดีว่า ทรงเป็นเด็กหนุ่มที่ร้อนแรง เอะอะ มุทะลุดุดัน
ทรงรู้จักสุราเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อครั้งตามเสด็จพระมารดา ไปเที่ยวในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก่อนพระมารดาจะสิ้นพระชนม์เพียงไม่กี่เดือน โดยแอบดื่มเหล้าบรั่นดีกับพระสหายที่ไปด้วยกัน และเชื่อว่าตั้งแต่นั้นมาก็แอบดื่มทุกครั้งที่มีโอกาส โดยเฉพาะ ในงานปาร์ตี้
เล่ากันว่าเมื่อพระชันษาได้ 14 ปี ทรงดื่มจนเมาเละขนาดแก้ผ้าวิ่งรอบงานปาร์ตี้งานหนึ่ง ที่มีเหล่าดาราและเซเลบเต็มงาน ที่พระบิดาทรงถึงกับ “อึ้ง” เมื่อทรงทราบ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏว่าทรงแอบดื่มในภาคการเรียน แต่จะทรงดื่มเมื่อเวลาหยุดเทอมและมีงานปาร์ตี้เท่านั้น และนอกจากสุราที่ทรงดื่มแล้ว ในงานปาร์ตี้ที่พระตำหนักไฮโกรฟ ก็มีผู้ได้กลิ่นกัญชาล่องลอยในอากาศ จนความทราบถึงพระบิดา และทรงส่งตัวพระโอรสเข้าไปตรวจที่ศูนย์บำบัดผู้ติดยา 1 วันเต็มๆ

จากการที่ทรงโปรดการเสี่ยงอันตรายนี่เอง ทำให้เจ้าชายหนุ่มองค์นี้เข้าสู่ชีวิตทหาร และถูกส่งตัวไปอยู่ในสมรภูมิในอัฟกานิสถาน ในเวลาต่อมา และตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะทรงเป็นข่าวครึกโครมกับหญิงสาวมากหน้าหลายตา แต่ก็ทรงเป็นเจ้าชายในดวงใจของปวงชนชาวอังกฤษ ที่ให้ความรักและสงสารมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ด้วยภาพของเจ้าชายองค์น้อยที่เสด็จพระดำเนินตามขบวนพระศพของพระมารดา อย่างว้าเหว่ที่กินใจผู้พบเห็นมาตั้งแต่บัดนั้น จนบัดนี้ที่คงเป็นที่รักโดยเสมอมา

หมายเหตุ : จากบทความบางตอนของ The People’s Prince ของ Chris Hutchins ที่จะออกวางขายวันที่ 25 เมษายนนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น