>>ขณะที่คนกรุงเทพฯ ได้รู้แล้วว่าใครคือผู้ที่จะมารับใช้เมืองหลวงต่อไปอีก 4 ปี เราก็มีโอกาสได้พูดคุยกับคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าอยากมีโอกาสเข้ามาดูแลบ้านเกิดของเขาบ้างเหมือนกัน ช่วงเย็นย่ำหลังเลิกเรียน เรามีนัดกับ “โก้-ศุภกฤต มหาดำรงค์กุล” ทายาทหนุ่มของครอบครัวนักธุรกิจ “กฤษฎา-วิภาวรรณ มหาดำรงค์กุล” ผู้นำเข้านาฬิกาแบรนด์ดังจากต่างประเทศ “ศรีทองพาณิชย์” และ “โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด” ที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
“ตอนเด็กผมเป็นเด็กซน ไม่ค่อยตั้งใจเรียนครับ” โก้บอกอย่างตรงไปตรงมา หลังจากเราถามไปว่าในวัยเยาว์เขาเป็นอย่างไร “ตั้งแต่เด็กผมเรียนที่สาธิตฯ ประสานมิตร พอโตขึ้นก็เริ่มติดเพื่อน เตะฟุตบอล และไม่สนใจเรียน พออายุได้ 13-14 ครอบครัวจึงตัดสินใจส่งผมไปเรียนที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ไปอยู่กับโฮสต์แฟมิลี อยู่นอกเมืองเลยนะ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไร ไม่ค่อยมีเพื่อน แต่นั่นก็ทำให้ผมเปลี่ยนพฤติกรรมไปเลย จากเด็กดื้อซน กลายเป็นเด็กที่มีระเบียบวินัย เพราะอยู่ที่โน่นไม่มีใครดูแลเรา เราต้องดูแลตัวเอง ทำอะไรทุกอย่างเองหมด เหมือนฝึกตัวเองไปด้วย และการเรียนก็ดีขึ้น”
ถึงแม้การไปเรียนต่างประเทศจะทำให้เขากลายเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่ด้วยความที่ชอบอยู่เมืองไทยมากกว่า หลังจากเรียนที่ออสเตรเลียได้ 2 ปี โก้จึงตัดสินใจกลับมาเมืองไทย ท่ามกลางความแปลกใจของครอบครัว “ไปอยู่ที่เมลเบิร์นเหงามากครับ เพื่อนคนไทยก็ไม่มี ตอนที่กลับมาผมก็ขนของกลับมาเองหมดเลยนะ ที่จริงเคยเกริ่นกับคุณแม่มาแล้วว่าอยากกลับมา ตอนแรกคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้กลับ แต่ผมสัญญากับเขาว่าจะตั้งใจเรียนและหาโรงเรียนใหม่ด้วยตัวเอง ผมต้องติดต่อเอง ไปสอบเอง จัดการเองทุกอย่าง ผมเลือกโรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี เพราะเสียดายภาษาอังกฤษที่เราเรียนมา”
พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัย โก้ตัดสินใจเข้าเรียนที่คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (ภาคภาษาอังกฤษ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะสนใจด้านโฆษณาและการตลาดเป็นพิเศษ เขาเป็นลูกแม่โดมมาแล้ว 3 ปี ตอนนี้นอกจากตั้งใจเรียนแล้ว เขายังขอเข้ามาเรียนรู้และช่วยงานของที่บ้าน พร้อมๆ กับมีแพลนที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษหลังเรียนจบ
“ถ้ามีเวลาว่าง ก็จะเข้าไปช่วยคุณแม่ เรื่องงานอีเวนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานนาฬิกาหรืองานโรงแรม ผมก็จะเป็นคนคอยชวนเพื่อนๆ ชวนคนรู้จักมางานกันเยอะๆ อีกอย่างตอนนี้ที่บ้านกำลังจะขยายโรงแรมไปที่พัทยาด้วย เวลาไปดูที่ ไปดูการก่อสร้าง ผมก็จะติดตามคุณพ่อคุณแม่ไปเรียนรู้งานด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเรียนจบแล้วผมจะกลับมาทำที่บ้านเลยนะ เพราะคุณพ่อคุณแม่บอกตั้งแต่ต้นอยากให้เราออกไปเรียนรู้งานข้างนอก เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากที่อื่นก่อนสัก 5-6 ปี แล้วค่อยกลับมาดูแลของที่บ้าน พี่สาวตอนนี้ก็ไปทำมาร์เกตติ้งให้โรงแรมแบงค็อก แมริออต ที่จะเปิดเดือนหน้านี้”
ส่วนเรื่องเรียน อดีตเด็กไม่ตั้งใจเรียนคนนี้เปรยกับเราว่า เมื่อเขาโตขึ้นความคิดเขาก็เปลี่ยนไปด้วย “เห็นได้ชัดคือเรื่องการเรียน ตอนอายุ 16-17 ยังไม่คิดมาก่อนว่าจะเรียนต่อปริญญาโทนะ คิดว่าปริญญาตรีก็พอแล้ว แต่พอเราโตขึ้นมา เราเห็นสังคมเปลี่ยน คิดว่าการศึกษาเป็นอะไรที่สำคัญมาก สำหรับชีวิตเด็กรุ่นใหม่ ไม่ใช่แค่เรียนไปเพื่อประดับความรู้ แต่มันเป็นเหมือนใบเบิกทางอีกอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้เราได้ประสบการณ์และความรู้ ในแบบที่ระดับปริญญาตรียังให้ได้ไม่เพียงพอ เพราะเห็นตัวอย่างจากพี่สาว (ศรินญา มหาดำรงค์กุล) ที่เขาเรียนปริญญาโทที่สวิส กลับมาแล้วได้ใช้ความรู้จากที่เรียนมาเลย สิ่งที่เขาเรียนมาตรงกับที่ต้องไปทำงาน อีกอย่างเราก็มีโอกาสมากกว่าอีกหลายๆ คน เราก็อยากจะใช้โอกาสที่เรามีไปในทางที่เป็นประโยชน์”
เมื่อเราถามถึงอาชีพในฝันของเขา กลับไม่ใช่นักธุรกิจ นักโฆษณา หรือเจ้าของโรงแรมแต่อย่างใด แต่เป็นอาชีพนักการเมือง “ผมสนใจเรื่องการเมืองมาตั้งนานแล้วครับ ต้องอ่านข่าว ดูข่าวการเมืองทุกวันเป็นประจำ ตอนเด็กๆ นี่ฝันถึงขั้นอยากเป็นนายกรัฐมนตรีเลยนะ แต่พอโตขึ้น ความฝันก็ค่อยเล็กลง เหลือแค่อยากเป็นผู้ว่าฯ กทม.ครับ ถ้ามีโอกาสนะ” โก้ตอบพร้อมรอยยิ้ม แต่สายตาเอาจริงเอาจังไม่น้อย
“ตอนเรียนอยู่ปี 1 ผมเคยไปฝึกงานกับพรรคประชาธิปัตย์ประมาณเดือนครึ่ง และที่ไปพรรคประชาธิปัตย์ เพราะส่วนตัวชอบอุดมการณ์ของเขาอยู่แล้ว ตอนนั้นเขาเปิดโปรแกรมให้เด็กเข้าไปฝึกงานได้ ซึ่งผมก็เล็งไว้นานแล้วล่ะ พอดีกับมีเพื่อนชวนด้วย ผมเลยสมัครเข้าไปสอบสัมภาษณ์ แล้วปรากฏว่าได้ และช่วงนั้นเป็นช่วงเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งที่ผ่านมา ก็ได้ไปช่วยเขาทำแคมเปญ ไปทำโพล ไปช่วยหาเสียง ก็สนุกไปอีกแบบนะครับ พอได้ทำก็ชอบนะ ฝึกงานจนถึงอาทิตย์สุดท้ายเขาก็ส่งเด็กทุกคนไปจังหวัดอำนาจเจริญ ประมาณ 3 วัน ให้ไปใช้ชีวิตกับชาวบ้าน ไปสอบถามปัญหาของชาวบ้าน ไปปลูกข้าว ทำนา สนุกมาก ผมชอบมาก เพราะผมชอบทำอะไรลุยๆ แบบนี้อยู่แล้ว”
เมื่อรู้ว่าความตั้งใจของเขาไม่ใช่แค่คำพูดลอยๆ เลยอดถามไม่ได้ว่า แล้วถ้าวันหนึ่งได้เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จริงๆ เขาจะแก้ปัญหาอะไรเป็นอย่างแรก “ผมอยากเข้าไปแก้ปัญหาจราจร ซึ่งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นใครเข้ามาก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ผมว่าเราน่าจะมีนโยบาย ขับรถได้สลับขับรถ ทะเบียนรถเลขคู่ขับวันคู่ เลขคี่ขับวันคี่ ก็น่าจะช่วยเรื่องจราจรได้นะ และถ้าเกิดเป็นไปได้ อยากจะรณรงค์ให้คนใช้บริการรถโดยสารสาธารณะกันเยอะๆ จะช่วยได้มากที่สุด”
แต่ก่อนที่เราจะเข้าใจไปว่าเขาจะเริ่มลุยงานการเมืองตั้งแต่ยังหนุ่ม โก้ชิงบอกก่อนว่า งานการเมืองคือ ความฝันที่ยังเป็นเรื่องในอนาคตอีกไกล เพราะเขาอยากทำงานที่เขาสนใจด้านอื่นๆ ไปก่อน ไม่ว่าจะเป็นด้านโฆษณาหรือการตลาดรวมถึงการสานต่อธุรกิจของที่บ้าน
นอกจากสนใจเรื่องการเมืองอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว แรงบันดาลใจหรือไอดอลคนสำคัญ ที่ทำให้เขาอยากทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ก็คือ คุณปู่ “ดิลก มหาดำรงค์กุล” อดีตสมาชิกวุฒิสภา
“คุณปู่เป็นคนเก่งครับ ท่านจะสอนอะไรหลายๆ อย่าง และทำประโยชน์กลับไปให้สังคมหลายอย่าง เพราะเมื่อก่อนท่านลำบากมาก คุณปู่นั่งเรือสำเภามาจากเมืองจีน มาถึงเมืองไทยก็เก็บตะปูขาย จนได้มาเป็นช่างซ่อมนาฬิกา จากที่เป็นลูกน้องเขา พอหัวหน้าเห็นว่าคุณปู่ขยัน เลยส่งไปสวิส ไปเรียนเป็นช่างซ่อมนาฬิกาโดยเฉพาะ พอกลับมาก็ทำงานเก็บเงินจนไปเปิดร้านนาฬิกาของตัวเอง และนำเข้านาฬิกาจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่ง 60-70 ปีก่อนก็ถือเป็นร้านแรกๆ ในเมืองไทยก็ว่าได้
คุณปู่จะสอนเสมอๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ขอให้ขยัน ตั้งใจทำให้เต็มที่ และทำให้ดีที่สุด แล้วมันก็จะออกมาดีอย่างที่เราต้องการ ถ้าเราทำไม่เต็มที่ตั้งแต่แรก มันก็จะออกมาไม่ดี”
ในอีกมุมหนึ่ง โก้ ก็ยังเป็นวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง ด้วยบุคลิกที่คุยสนุก เข้ากับคนอื่นได้ง่าย และปรับตัวเก่ง จึงทำให้มีกลุ่มเพื่อนที่มักจะออกไปแฮงเอาต์ด้วยกัน แต่กิจกรรมหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ฟุตบอล “ผมชอบเล่นกีฬาครับ ชอบดูฟุตบอล ชอบเล่นฟุตบอล ซึ่งเล่นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ตอนเรียนที่ร่วมฤดีก็ได้เป็นนักฟุตบอลของโรงเรียนด้วย ตอนนี้ก็ยังเล่นอยู่ อาทิตย์ละครั้ง จะนัดเพื่อนๆ ไปเล่นที่สนามหญ้าเทียมครับ”
จากเด็กหนุ่มที่บุคลิกภายนอกดูเป็นคุณหนู แต่เมื่อได้พูดคุยด้วยถึงรู้ว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีความคิดน่าชื่นชม ไม่ว่าความฝันในการเป็นผู้ว่าฯ กทม. ของเขาจะเป็นจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ ต่อไปเราคงได้เห็นผู้ใหญ่คุณภาพอีกคนหนึ่งในสังคมไทย
สืบทอดงานอดิเรกจากคุณพ่อ
ไม่เฉพาะเรื่องของธุรกิจครอบครัวเท่านั้น ที่โก้จะต้องรับช่วงต่อจากครอบครัว แม้แต่งานอดิเรกอย่างสะสมรถโมเดล และแต่งรถคลาสสิก เขาก็ได้รับมรดกจากคุณพ่อมาเช่นกัน
“ผมชอบพวกรถโมเดลเล็กๆ เพราะคุณพ่อสะสมมาตั้งนานแล้ว และมีเยอะมาก เราก็เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ เลยชอบไปด้วย เคยเอามานับ ได้ตั้ง 2,000 คัน จนตอนหลังคุณพ่อขายด้วยเลย เอาไปขายในอีเบย์ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนต่างชาติที่จะสั่งมาทางอีเบย์ มีทั้งการซื้อขาย และแลกเปลี่ยนกัน อีกอย่างคุณพ่อชอบรถโบราณ รถคลาสสิก ตอนหลังคุณพ่อมาทำรถคลาสสิก คือมันแตกต่างจากรถสมัยใหม่นิดนึง คือ หนึ่ง-มันจะหายาก สอง-รายละเอียดเยอะมาก กว่าจะทำขึ้นมาได้ ที่คุณพ่อทำคือจะซื้อซากรถมาเลย สั่งอะไหล่มาจากเมืองนอก คุณพ่อชอบมากถึงขนาดมีอยู่ช่วงหนึ่งพ่อบินไปอยู่อเมริกา 3 เดือน ไปเดินตลาดรถเก่าเพื่อหาซื้ออะไหล่เอง คุณพ่อรักรถคลาสสิกมาก จนผมรักไปด้วย” :: Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/