ผู้บริหารอีสท์วอเตอร์ ตั้ง กก.พิเศษสอบ “ประพันธ์” ภายใน 30 วัน หลัง สตง.ชี้ปมทุจริต หวังเคลียร์ภาพลักษณ์องค์กร เหตุผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ไม่สบายใจบริษัทเอี่ยวการเมือง ระบุ สตง.เชื่อถือได้ไม่กลั่นแกล้ง ยันไม่ตกเป็นเครื่องมือนักการเมือง ด้าน “สาธิต” ปัดครอบครัวมีเอี่ยวผลประโยชน์ จ้องฟ้องหากถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 19 ก.พ. ที่อาคารอีสท์วอเตอร์ นายจิรัฏฐ์ นิธิอนันตภร ประธานคณะกรรมการบริหารและการลงทุนบริษัท อีสวอเตอร์ แถลงข่าวถึงกรณีมีหนังสือร้องเรียนจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งผ่านมายังการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งถือหุ้นในอีสท์วอเตอร์ 40 เปอร์เซ็นต์ เพื่อมาแจ้งที่บอร์ดบริหารอีสท์วอเตอร์รับทราบ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 56 ที่ผ่านมาว่า หลังจากตนได้ทราบรายละเอียดในหนังสือของ สตง.ที่ระบุว่า นายประพันธ์ อัศวอารี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่, นายเจริญสุข วรพรรณโสภาค รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ และนางวิราวรรณ ธารานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอำนวยการ ร่วมทำการทุจริตในการจัดซื้อที่ดิน และจัดจ้างโดยกำหนดราคากลางเกินจริงนั้น ตนก็พูดคุยกับนายประพันธ์ และนายประพันธ์ก็บอกว่ามีความสุจริตใจที่จะลาพักร้อน ในระหว่างที่ตนได้ตั้ง กรรมการชุดเฉพาะกิจขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ในเรื่องที่ สตง.ส่งหนังสือผ่านการประปาส่วนภูมิภาค จนกว่าจะมีข้อมูลว่าเรื่องนี้เป็นที่กระจ่าง อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีกระแสข่าวทำนองว่าบริษัท อีสท์วอเตอร์ สั่งพักงานนายประพันธ์นั้นไม่เป็นความจริง แต่นายประพันธ์ลาพักร้อนเพื่อแสดงสปิริตให้การตรวจสอบตามหนังสือของ สตง.ดำเนินไปอย่างโปร่งใสเอง
ทั้งนี้ นายจิรัฏฐ์เปิดเผยว่า ตอนนี้ได้ทำหนังสือชิญผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจสอบเข้ามาร่วมในการตรวจสอบครั้งนี้ โดยขณะนี้ยังรอหนังสือตอบกลับอยู่ ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิจะมีการคัดเลือกบุคคลจากหน่วยงานที่เป็นกลางที่สุดเข้ามา รวมกับกรรมการที่เราตั้งขึ้นเองในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง แต่รายชื่อยังเปิดเผยไม่ได้เพราะตอนนี้ผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละท่านยังไม่ตอบรับ
นายจิรัฏฐ์กล่าวว่า สิ่งที่เรากังวลที่สุดคือ การบริหารต้องมีความโปร่งใส เพราะเราเป็นบริษัทมหาชน การที่อีสท์วอเตอร์มีประเด็นเกี่ยวข้องทางการเมือง จากกรณีที่นายประพันธ์บริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมไปยังพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผู้ถือหุ้นหลายท่านไม่สบายใจต่อเรื่องร้องเรียนที่ส่งเข้ามาโดย สตง. ข้อมูลตรงนี้เรากำลังตรวจสอบหลักฐานเพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และคิดว่า อย่างเร็วที่สุด กรรมการชุดเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นจะใช้เวลาในการตรวจสอบเร็วที่สุดไม่น่าจะเกิน 30 วัน อีกทั้งขณะนี้เราได้ทำหนังสือไปยังการประปาส่วนภูมิภาค และ สตง.เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว โดยขั้นตอนแรกที่จะต้องไปตรวจสอบ คือ ต้องดูว่าเนื้อหาหนังสือที่ร้องเรียนจาก สตง.เขามีหลักฐานอะไรบ้าง ซึ่งต่อไปเราจะทำภาพรวมออกมาว่าประเด็นนี้ที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับใครและอย่างไรบ้างทั้งหมด โดยรวบรวมประเด็นเป็นตัวบุคคลก่อน แล้วดูว่ามีผลต่อบริษัทอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทจะมีการเชิญบุคคลที่มีรายชื่อในหนังสือร้องเรียนของ สตง.เข้าชี้แจงต่อไป
นายจิรัฐฎ์กล่าวว่า เราเองเป็นบริษัทมหาชนไม่ได้เป็นหน่วยงานที่มาให้อำนาจกับ สตง.มามีบทลงโทษ แต่หากมีการพบข้อมูลว่ามีพนักงานในบริษัททุจริตไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดก็ตามจะดำเนินการลงโทษอย่างแน่นอน ส่วนหน่วยงานอื่น ที่จะตามมาไม่ว่า สตง.หรือหน่วยงานอื่นคงต้องแล้วแต่กฎหมายว่าเขาจะดำเนินการอย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องของเขา
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าประเด็นนี้เป็นเกมการเมืองหรือไม่ เพราะในหนังสือของ สตง.มีรายชื่อของ ส.ส.บางพรรคการเมืองบางพรรคเข้ามาเกี่ยวข้อง นายจิรัฏฐ์ระบุว่า ตนมองว่าเลยจุดที่จะมองว่าเป็นประเด็นการเมืองไปแล้ว เหตุว่าหน่วยงานอย่าง สตง.เป็นหน่วยงานที่เชื่อถือได้ คิดว่าต้องมีความเป็นธรรมแน่นอน และตนในฐานะประธานบริษัทอีสท์วอเตอร์จะบริหารด้วยหลักธรรมาภิบาล โดยจะไม่ให้การเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องได้ ตราบเท่าที่ตนดำรงตำแหน่งอยู่
“เราจะให้ความเป็นธรรมในการตรวจสอบกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่ถูกอ้างถึงในหนังสือฉบับนี้ โดยไม่มีการเมืองเข้ามาแทรก แต่ถ้ามีการรวบรวมหลักฐานพิสูจน์แล้วว่ามีมูลความผิด ไม่ว่าจะเป็นใครใหญ่มาจากไหน ผมก็ต้องร่วมมือกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการทางคดีแน่นอน ซึ่งไม่มีใครสามารถมาทุจริตได้ตราบใดที่ผมยังบริหารงานอยู่ และขอยืนยันว่า บริษัทของเราไม่มีทางตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองอย่างแน่นอน” นายจิรัฏฐ์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามในฐานะที่เป็นผู้ตรวจสอบในเรื่องนี้ กลัวการแทรกแทรงจากฝ่ายการเมืองทั้งในและนอกสภาหรือไม่ นายจิรัฏฐ์กล่าวว่า คิดว่าคงไม่ แต่ถ้ามีก็คงยอมไม่ได้ ตนจะทำอย่างถูกต้องและโปร่งใสที่สุด ถ้าจะถามว่ากังวลกับภาพลักษณ์ของบริษัทหรือไม่นั้น แน่นอนคงมี แต่การชี้แจงก็ต้องทำ เพราะเราเป็นบริษัทมหาชนต้องทำอย่างโปร่งใส ปิดกั้นไม่ได้ แต่ถามว่าการแถลงข่าวครั้งนี้ทำไมไม่ระบุพาดพิงถึงชื่อของนักการเมืองดังกล่าวนั้น เพราะว่าขณะนี้หนังสือร้องเรียนสตง.ส่งมาเป็นแค่การกล่าวหา แต่เชื่อว่าหากทาง สตง.ไม่ได้รับข้อมูลที่น่าสงสัยจะส่งข้อมูลไปที่การประปาเพราะเหตุใด
ทั้งนี้ ในใบแถลงการณ์ของผู้บริหารอีสท์วอเตอร์ ได้อ้างถึงจดหมาย สตง.ที่แจ้งไปยังการประปาส่วนภูมิภาคที่มี บริษัทในเครือ คือ บริษัท อีสท์วอเตอร์ จำกัด (มหาชน) ว่ามีการปล่อยให้นายประพันธ์ อัศวอารี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่, นายเจริญสุข วรพรรณโสภาค รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายปฏิบัติการ และนางวิราวรรณ ธารานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอำนวยการ ร่วมทำการทุจริตในการจัดซื้อที่ดิน และจัดจ้างโดยกำหนดราคากลางเกินจริงดังมีพฤติการณ์ 2 เรื่อง คือ การแจ้งข้อกล่าวหาถึงงานจัดจ้างก่อสร้าง และจัดซื้อที่ดินทุกงานจะต้องมีบริษัท บ้านค่าย จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวของนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ (อดีตรองเลขาธิการพรรค) และข้อ 2 มีการกล่าวหาว่านายประพันธ์และพวกได้จัดทำโครงการที่มิได้ดำเนินการจริงไปแล้วกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีการแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ผ่านนายสาธิต ปิตุเตชะ, ส่วนที่ 2 ซื้อกรรมการที่มาจากนักการเมือง และส่วนที่ 3 แบ่งกันระหว่างนายประพันธ์ อัศวอารี และพวก
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ถูกพาดพิงจากการแถลงข่าวของบริษัท อีสท์วอเตอร์ จากข้อกล่าวหาของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ระบุว่าบริษัท อีสท์วอเตอร์ ร่วมทำธุรกิจ และมีพฤติกรรมทุจริต โดยมีชื่อของนายสาธิตเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยว่า ประเด็นนี้ตนเพิ่งทราบข่าวแต่ยังไม่ทราบถึงรายละเอียดทางข่าวว่ามีการแถลงถึงตนอย่างไร แต่ยืนยันว่าบริษัท บ้านค่าย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน หรือแม้แต่คนในครอบครัว และไม่เข้าใจว่าเป็นอีกหนึ่งของการดิสเครดิตทางการเมืองที่รัฐบาลนี้ต้องใช้ และเคยใช้มาก่อนหน้านี้หรือไม่ โดยตนจะขอตรวจสอบรายละเอียดในการแถลงข่าวทั้งหมด และยืนยันว่าจะใช้สิทธิปกป้องตัวเองทางกฎหมาย รวมถึงสื่ออื่นๆ ด้วย