คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN
ก่อนอื่นขอต่อเนื่องให้จบจากสัปดาห์ที่แล้ว ในประเด็นชีวิตเซ็กซ์ของแองจี้หลังโดนข่มขืน
พบจุดเปลี่ยน
2-3 เดือนหลังถูกข่มขืน แองจี้สังเกตเห็นนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่ง ในช่องเก็บเงินที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ข้อความโปรยหัวบนหน้าปกเรียกความสนใจของเธอทันที มันเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์อย่างไม่อ้อมค้อม แต่เป็นเชิงบวกและออกแนวสนุก มันทำให้แองจี้ตกใจมากเพราะเธอเคยอับอายเหลือเกินกับกิจกรรมทางเพศของเธอเอง
จนถึงตอนนั้น แองจี้เริ่มพลิกเปิดหน้าหนังสือไปเรื่อยๆ และสังเกตเห็นว่านิตยสารฉบับนั้นส่งเสริมชีวิตกามารมณ์ในทางที่ดีกับคู่รักที่พวกเธอใส่ใจ
เมื่อแองจี้นึกถึงการเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าในชีวิตทางเพศที่เธอกระทำมา เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าบางอย่างต้องเปลี่ยนแปลง เธอสัญญากับตัวเองว่าจะอ่านนิตยสารเล่มนั้นทุกเดือน และเริ่มคิดถึงการอยู่กับผู้ชายสักคนในทางที่ถูกต้อง เพื่อที่จะอ้าแขนรับชีวิตเซ็กซ์อันสุนทรีย์ และเลือกคู่รักที่มีความหมายเสียที
แองจี้รู้สึกเป็นหนี้นิตยสารเล่มนั้นมาก ที่เดี๋ยวนี้ทัศนคติทางเพศของเธอเปลี่ยนไปในทางที่ดีขื้นเรื่อยๆ แน่ละ เธออาจเคยมีความสนุกกับเซ็กซ์ทางกายภาพ โดยไม่มีความผูกพันใดๆ อย่างที่เธอเคยประสบมา แต่มันไม่ใช่ความพึงพอใจทางอารมณ์แม้แต่น้อย เพราะเธอแค่ให้ผู้ชายในสิ่งที่เธอคิดว่าเขาต้องการ
นิตยสารเล่มนั้นช่วยให้เธอ เป็นเจ้าของร่างกายได้อย่างแท้จริง และเซ็กซ์เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจมากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มันตั้งอยู่บนเงื่อนไขของตัวเธอเอง
แองจี้ต้องทำให้แน่ใจเสมอว่า เธอมีความสบายใจกับผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่อะไรๆ จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ เธอยังสัมผัสตัวเองมากกว่าที่เคย ดังนั้นเธอจึงไม่อายที่จะบอกคู่รักว่าอะไรคือสิ่งที่เธอชอบ (หรือไม่ชอบ) บนเตียง
สาวน้อยแองจี้กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า หลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอ เธอก็สามารถควบคุมผลกระทบของมันได้แล้ว
และเดี๋ยวนี้เซ็กซ์คือส่วนสำคัญในชีวิตของเธอ แองจี้ยังคงอ่านนิตยสารดังกล่าวทุกเดือน มันเป็นเครื่องเตือนใจอันยิ่งใหญ่ว่าเธอมาไกลแค่ไหนแล้วในช่วงเวลา 3 ปีเศษนี้
นั่นคือความโชคดีของแองจี้ที่เจอกับนิตยสารเล่มนั้น แม้มันจะเป็นนิตยสารที่เกี่ยวกับเซ็กซ์ (ซึ่งมันเป็นที่เรื่องที่น่ารังเกียจสำหรับผู้ดีดัดจริตบางคน) ก็ตาม แต่มันทำให้ชีวิตเซ็กซ์ของเธอกลับมาในทางที่ถูกที่ควรได้ ไม่งั้นป่านนี้เธอคงไปนั่งประชดชีวิตอยู่ในซ่องที่ไหนสักแห่งก็ได้
หนังสือบางเล่มมันเปลี่ยนชีวิตของคนบางคนได้จริงๆ
สำหรับการป้องกันการโดนข่มขืนนั้นมีการแนะนำกันมาเยอะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงการแต่งเนื้อแต่งตัวแบบยั่วยุกามารมณ์ หลีกเลี่ยงการเดินทางตามลำพังในที่เปลี่ยวหรือที่มืด หรือแม้แต่กำลังจะโดนข่มขืนก็ให้จ้องตาหมอนั่นและคุยกับมันอย่างใจดีสู้เสือ แล้วถามว่า “กี่โมงแล้ว” หรือ “ใจเย็นๆ นะพี่ อย่าทำหนูเจ็บนะ”ฯลฯ อะไรทำนองนี้ เพื่อหาวินาทีทองขณะมันตายใจ และวิ่งหนีมันมาได้
แต่ส่วนใหญ่มักไม่รอด ไม่ว่าคุณจะคุมสติได้มากแค่ไหน เพราะนักข่มขืนย่อมมีการเตรียมการมาอย่างดีแล้ว ฝ่ายรุกจึงได้เปรียบฝ่ายรับเสมอ
ถ้าประเทศเราอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถพกอาวุธป้องกันตัวได้อย่าถูกกฎหมาย เช่น ปืนช็อตไฟฟ้า หรือสเปรย์พริก ก็จะช่วยลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อข่มขืนลงได้มาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อในที่สุดคุณกลายเป็นเหยื่อของมันไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้ ก็ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณต้องทำคือ การแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
*********
:: เหตุผล 5 ประการที่คุณควรแจ้งความหลังจากโดนข่มขืน
60% ของผู้หญิงที่ถูกละเมิดทางเพศไม่ยอมไปแจ้งความ เนื่องจากความอับอายหรือเกรงว่าจะเจอประสบการณ์ในด้านลบของพนักงานสอบสวน อย่างที่เคยรับรู้มา
แต่คุณหรือเพื่อนของคุณควรไปแจ้งความ แม้เวลาจะล่วงเลยมาเป็นปีแล้วก็ตาม เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญมาก ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
1. แม้คุณยังไม่แน่ใจว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดผู้ข่มขืนได้ แต่คำให้การของคุณจะช่วยเพิ่มน้ำหนักในการดำเนินคดีเขาได้ ถ้าเขาถูกกล่าวหาในครั้งต่อไป
2. ด้วยการแจ้งความเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณสามารถแสวงหาความยุติธรรมได้
3. การพูดออกมา เป็นทางหนึ่งที่คุณจะกลับมาควบคุมสถานการณ์ได้
4. คุณอาจสามารถได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรที่เกี่ยวข้องซึ่งสามารถเยียวยาแผลใจของคุณได้
5. บ่อยครั้งที่นักข่มขืนจะลงมือซ้ำอีก ดังนั้นถ้าคนที่ข่มขืนคุณไปลงเอยในคุก คุณก็จะช่วยป้องกันมิให้เขาไปทำร้ายคนอื่นๆได้อีก (ให้มันไปโดนขาใหญ่ข้างในนั้นข่มขืนเอาบ้างก็ดี)
โปรดระลึกไว้ว่า “การนิ่งเฉย คือการสละสิทธิ์ในความยุติธรรม” และเท่ากับส่งเสริมให้คนชั่วได้ใจ
ขอบคุณ ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
ก่อนอื่นขอต่อเนื่องให้จบจากสัปดาห์ที่แล้ว ในประเด็นชีวิตเซ็กซ์ของแองจี้หลังโดนข่มขืน
พบจุดเปลี่ยน
2-3 เดือนหลังถูกข่มขืน แองจี้สังเกตเห็นนิตยสารผู้หญิงฉบับหนึ่ง ในช่องเก็บเงินที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ข้อความโปรยหัวบนหน้าปกเรียกความสนใจของเธอทันที มันเกี่ยวกับเรื่องเซ็กซ์อย่างไม่อ้อมค้อม แต่เป็นเชิงบวกและออกแนวสนุก มันทำให้แองจี้ตกใจมากเพราะเธอเคยอับอายเหลือเกินกับกิจกรรมทางเพศของเธอเอง
จนถึงตอนนั้น แองจี้เริ่มพลิกเปิดหน้าหนังสือไปเรื่อยๆ และสังเกตเห็นว่านิตยสารฉบับนั้นส่งเสริมชีวิตกามารมณ์ในทางที่ดีกับคู่รักที่พวกเธอใส่ใจ
เมื่อแองจี้นึกถึงการเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าในชีวิตทางเพศที่เธอกระทำมา เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าบางอย่างต้องเปลี่ยนแปลง เธอสัญญากับตัวเองว่าจะอ่านนิตยสารเล่มนั้นทุกเดือน และเริ่มคิดถึงการอยู่กับผู้ชายสักคนในทางที่ถูกต้อง เพื่อที่จะอ้าแขนรับชีวิตเซ็กซ์อันสุนทรีย์ และเลือกคู่รักที่มีความหมายเสียที
แองจี้รู้สึกเป็นหนี้นิตยสารเล่มนั้นมาก ที่เดี๋ยวนี้ทัศนคติทางเพศของเธอเปลี่ยนไปในทางที่ดีขื้นเรื่อยๆ แน่ละ เธออาจเคยมีความสนุกกับเซ็กซ์ทางกายภาพ โดยไม่มีความผูกพันใดๆ อย่างที่เธอเคยประสบมา แต่มันไม่ใช่ความพึงพอใจทางอารมณ์แม้แต่น้อย เพราะเธอแค่ให้ผู้ชายในสิ่งที่เธอคิดว่าเขาต้องการ
นิตยสารเล่มนั้นช่วยให้เธอ เป็นเจ้าของร่างกายได้อย่างแท้จริง และเซ็กซ์เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจมากขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มันตั้งอยู่บนเงื่อนไขของตัวเธอเอง
แองจี้ต้องทำให้แน่ใจเสมอว่า เธอมีความสบายใจกับผู้ชายคนหนึ่งก่อนที่อะไรๆ จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ เธอยังสัมผัสตัวเองมากกว่าที่เคย ดังนั้นเธอจึงไม่อายที่จะบอกคู่รักว่าอะไรคือสิ่งที่เธอชอบ (หรือไม่ชอบ) บนเตียง
สาวน้อยแองจี้กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า หลังจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอ เธอก็สามารถควบคุมผลกระทบของมันได้แล้ว
และเดี๋ยวนี้เซ็กซ์คือส่วนสำคัญในชีวิตของเธอ แองจี้ยังคงอ่านนิตยสารดังกล่าวทุกเดือน มันเป็นเครื่องเตือนใจอันยิ่งใหญ่ว่าเธอมาไกลแค่ไหนแล้วในช่วงเวลา 3 ปีเศษนี้
นั่นคือความโชคดีของแองจี้ที่เจอกับนิตยสารเล่มนั้น แม้มันจะเป็นนิตยสารที่เกี่ยวกับเซ็กซ์ (ซึ่งมันเป็นที่เรื่องที่น่ารังเกียจสำหรับผู้ดีดัดจริตบางคน) ก็ตาม แต่มันทำให้ชีวิตเซ็กซ์ของเธอกลับมาในทางที่ถูกที่ควรได้ ไม่งั้นป่านนี้เธอคงไปนั่งประชดชีวิตอยู่ในซ่องที่ไหนสักแห่งก็ได้
หนังสือบางเล่มมันเปลี่ยนชีวิตของคนบางคนได้จริงๆ
สำหรับการป้องกันการโดนข่มขืนนั้นมีการแนะนำกันมาเยอะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงการแต่งเนื้อแต่งตัวแบบยั่วยุกามารมณ์ หลีกเลี่ยงการเดินทางตามลำพังในที่เปลี่ยวหรือที่มืด หรือแม้แต่กำลังจะโดนข่มขืนก็ให้จ้องตาหมอนั่นและคุยกับมันอย่างใจดีสู้เสือ แล้วถามว่า “กี่โมงแล้ว” หรือ “ใจเย็นๆ นะพี่ อย่าทำหนูเจ็บนะ”ฯลฯ อะไรทำนองนี้ เพื่อหาวินาทีทองขณะมันตายใจ และวิ่งหนีมันมาได้
แต่ส่วนใหญ่มักไม่รอด ไม่ว่าคุณจะคุมสติได้มากแค่ไหน เพราะนักข่มขืนย่อมมีการเตรียมการมาอย่างดีแล้ว ฝ่ายรุกจึงได้เปรียบฝ่ายรับเสมอ
ถ้าประเทศเราอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถพกอาวุธป้องกันตัวได้อย่าถูกกฎหมาย เช่น ปืนช็อตไฟฟ้า หรือสเปรย์พริก ก็จะช่วยลดโอกาสการตกเป็นเหยื่อข่มขืนลงได้มาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อในที่สุดคุณกลายเป็นเหยื่อของมันไปแล้วอย่างช่วยไม่ได้ ก็ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณต้องทำคือ การแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
*********
:: เหตุผล 5 ประการที่คุณควรแจ้งความหลังจากโดนข่มขืน
60% ของผู้หญิงที่ถูกละเมิดทางเพศไม่ยอมไปแจ้งความ เนื่องจากความอับอายหรือเกรงว่าจะเจอประสบการณ์ในด้านลบของพนักงานสอบสวน อย่างที่เคยรับรู้มา
แต่คุณหรือเพื่อนของคุณควรไปแจ้งความ แม้เวลาจะล่วงเลยมาเป็นปีแล้วก็ตาม เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญมาก ด้วยเหตุผลต่อไปนี้
1. แม้คุณยังไม่แน่ใจว่ามีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดผู้ข่มขืนได้ แต่คำให้การของคุณจะช่วยเพิ่มน้ำหนักในการดำเนินคดีเขาได้ ถ้าเขาถูกกล่าวหาในครั้งต่อไป
2. ด้วยการแจ้งความเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณสามารถแสวงหาความยุติธรรมได้
3. การพูดออกมา เป็นทางหนึ่งที่คุณจะกลับมาควบคุมสถานการณ์ได้
4. คุณอาจสามารถได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรที่เกี่ยวข้องซึ่งสามารถเยียวยาแผลใจของคุณได้
5. บ่อยครั้งที่นักข่มขืนจะลงมือซ้ำอีก ดังนั้นถ้าคนที่ข่มขืนคุณไปลงเอยในคุก คุณก็จะช่วยป้องกันมิให้เขาไปทำร้ายคนอื่นๆได้อีก (ให้มันไปโดนขาใหญ่ข้างในนั้นข่มขืนเอาบ้างก็ดี)
โปรดระลึกไว้ว่า “การนิ่งเฉย คือการสละสิทธิ์ในความยุติธรรม” และเท่ากับส่งเสริมให้คนชั่วได้ใจ
ขอบคุณ ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net