คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN
ถาม ฉันกับแฟนหนุ่มย้ายมาอยู่ด้วยกันเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว แต่เรายังแยกกระเป๋าสตางค์กันโดยเด็ดขาด (เราต่างมีงานทำด้วยกันทั้งคู่) พักหลังๆ ฉันสังเกตว่าทุกครั้งที่ฉันกลับบ้านมาพร้อมกับถุงช้อปปิ้ง เขาจะออกอาการโกรธและพูดว่าฉันไม่จำเป็นต้องซื้อรองเท้าคู่ใหม่หรือกระเป๋าถือใบใหม่ เพราะที่มีอยู่ก็แทบจะไม่มีที่เก็บอยู่แล้ว
ก็มันเงินของฉัน ไม่ใช่ของเขาซะหน่อย แล้วที่เขาใช้เงินมากมายหมดไปกับวีดีโอเกมส์ล่ะ ไม่เห็นเขาพูดอะไรเลย ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้ ?
ตอบ บางทีผมก็รู้สึกไม่ดีกับผู้หญิงที่ชอบคิดมากกับการแสดงออกของผู้ชาย (ที่เธอรัก) อะไรนิดอะไรหน่อยก็กลายเป็นเรื่องได้หมด คุณต้องเรียนรู้ผู้ชายให้มากขึ้นแล้วละ และด้วยเหตุที่ผู้ชายไม่เก่งในเรื่องการอธิบายความรู้สึกของพวกเขา บางครั้งพวกเขาจึงแสดงท่าทีโง่ๆ ออกมาให้เห็น อย่างที่คุณเจอมานั่นแหละ
ดูเหมือนว่ากรณีของคุณนี้มีสาเหตุมาจาก การที่คุณสองคนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน มันเป็นก้าวใหญ่ของชีวิตคู่ และมันน่าจะทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของพวกคุณในฐานะคู่สามีภรรยาอย่างจริงจังมากขึ้น
ดังนั้นผมขอเดาว่าเขากังวลเกี่ยวกับสถานภาพการเงินของตัวเขาเองไปเรียบร้อยแล้ว และการใช้ชีวิตร่วมกัน ยังทำให้เขาเริ่มสงสัยด้วยว่าวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณจะกระทบความสัมพันธ์ของพวกคุณอย่างไร
คุณจำเป็นต้องทำความเขาใจในเรื่องนี้ให้ดี จากการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการทะเลาะเบาะแว้งของคู่สมรสจำนวนมากจนนำไปสู่การหย่าร้างนั้น มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องเงิน
ผมจึงขอแนะนำว่า แทนที่จะต่อว่าเขาว่าทำไมเขาถึงโมโหโกรธาเอากับคุณอย่างไม่ยุติธรรมเช่นนั้น (มันเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการทำให้เขาตกเป็นฝ่ายตั้งรับไปโดยทันที) ก็ให้ถามเขาว่าคุณสองคนควรแยกบิลจ่ายเงินกันอย่างไร หรือพยายามรับคำแนะนำของเขาในการซื้อของแพงๆ แต่ไม่จำเป็นอย่างรองเท้าคู่ที่ 10 หรือกระเป๋าใบที่ 12 ของคุณ
และคุณก็สามารถแนะนำให้คุณสองคนช่วยกันเก็บเงิน เพื่อวางแผนเอาไว้ใช้จ่ายตอนหยุดพักผ่อนประจำปีด้วยกัน ตามที่เคยต้องการนั่นแหละ
ทางเลือกอย่างที่ว่ามานี้ จะเป็นการทำให้เขามั่นใจว่า คุณไม่ใช่คนสะเพร่าหรือไม่รับผิดชอบในเรื่องเงิน ซึ่งจะทำให้เขาเลิกกังวลและเลิกตอแยในเรื่องนี้
ถาม ฉันรู้ว่าเดี๋ยวนี้กฎเกณฑ์ต่างๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงอยากรู้ว่า ถ้าฉันชวนชายหนุ่มออกเดทครั้งแรก เขาจะคาดหวังให้ฉันเป็นคนจ่ายเงินเลี้ยงเขาหรือไม่? เพราะฉันอยากให้เขาเป็นคนจ่ายเงินเลี้ยงฉันอยู่ดี
ตอบ ผมไม่คิดว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ มันเปลี่ยนไปมากขนาดนั้นหรอก สำหรับผู้ชายที่มีผู้หญิงจ่ายเงินให้ในเดทแรก มันก็เหมือนการสูญเสียความเป็นแมนลงไปกว่าครึ่ง มันเป็นอะไรที่เขาจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง
ส่วนใหญ่ของผู้ชายสมัยนี้ยังคงจ่ายเงินในสถานการณ์เช่นนั้นอยู่ ทีนี้ถ้าคุณบอกว่า “แต่ฉันเป็นคนชวนคุณนะ!” และยืนยันที่จะจ่ายเงินค่าของหวานหรือเครื่องดื่มหลังอาหาร เขาก็คงยังทำหน้าที่ลูกผู้ชายในการจ่ายทั้งหมดอยู่ดี และคุณก็จะได้รับความประทับใจจากเขาว่าคุณเป็นคู่เดทที่ยอดเยี่ยม ไม่ต้องพูดถึงการใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ความเป็นจริงทางการเงินของทุกวันนี้มันฝืดเคืองกว่าสมัยก่อนมาก และเพราะคุณเป็นฝ่ายชวนเขาออกเดท คุณก็มีโอกาสเจอกับผู้ชายที่ต้องการแยกบิลมากขึ้น
ผมคิดว่าแบบนี้มันก็ยังสมเหตุสมผล แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้เลยสำหรับคุณ ก็ให้ขจัดความสับสน (ว่าใครควรเป็นคนจ่าย) ออกไปซะ แล้วเสนอการเดทแบบที่แทบไม่ต้องจ่ายอะไรเลย เช่น โบกรถไปเที่ยวนอกเมือง แล้วโบกรถกลับ กินแค่น้ำเปล่าก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน หรือ เข้าชมฟรีคอนเสิร์ตด้วยกัน จากนั้นก็รอให้เขาชวนคุณออกเดทครั้งต่อๆไป ถ้ามีนะ
แต่สำหรับผมคิดว่าความรักใดๆก็ตาม ถ้ามีเงินเป็นเงื่อนไขตั้งแต่ต้น มันไปไม่รอดหรอก เพราะมันไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ความรักเกิดที่ใจครับ ไม่ใช่ที่สมอง การบริหารจัดการเรื่องการเงินสำหรับชีวิตคู่นั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นการไม่ตั้งอยู่ในความประมาท
แต่ถ้าคุณเอาเงินเป็นปัจจัยหลัก ความหมายระหว่างบรรทัดของคุณก็คือ คุณรักตัวเองไม่ได้รักคู่ของคุณจริงๆ หรอก
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
ถาม ฉันกับแฟนหนุ่มย้ายมาอยู่ด้วยกันเมื่อ 2-3 เดือนที่แล้ว แต่เรายังแยกกระเป๋าสตางค์กันโดยเด็ดขาด (เราต่างมีงานทำด้วยกันทั้งคู่) พักหลังๆ ฉันสังเกตว่าทุกครั้งที่ฉันกลับบ้านมาพร้อมกับถุงช้อปปิ้ง เขาจะออกอาการโกรธและพูดว่าฉันไม่จำเป็นต้องซื้อรองเท้าคู่ใหม่หรือกระเป๋าถือใบใหม่ เพราะที่มีอยู่ก็แทบจะไม่มีที่เก็บอยู่แล้ว
ก็มันเงินของฉัน ไม่ใช่ของเขาซะหน่อย แล้วที่เขาใช้เงินมากมายหมดไปกับวีดีโอเกมส์ล่ะ ไม่เห็นเขาพูดอะไรเลย ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้ ?
ตอบ บางทีผมก็รู้สึกไม่ดีกับผู้หญิงที่ชอบคิดมากกับการแสดงออกของผู้ชาย (ที่เธอรัก) อะไรนิดอะไรหน่อยก็กลายเป็นเรื่องได้หมด คุณต้องเรียนรู้ผู้ชายให้มากขึ้นแล้วละ และด้วยเหตุที่ผู้ชายไม่เก่งในเรื่องการอธิบายความรู้สึกของพวกเขา บางครั้งพวกเขาจึงแสดงท่าทีโง่ๆ ออกมาให้เห็น อย่างที่คุณเจอมานั่นแหละ
ดูเหมือนว่ากรณีของคุณนี้มีสาเหตุมาจาก การที่คุณสองคนย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน มันเป็นก้าวใหญ่ของชีวิตคู่ และมันน่าจะทำให้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตของพวกคุณในฐานะคู่สามีภรรยาอย่างจริงจังมากขึ้น
ดังนั้นผมขอเดาว่าเขากังวลเกี่ยวกับสถานภาพการเงินของตัวเขาเองไปเรียบร้อยแล้ว และการใช้ชีวิตร่วมกัน ยังทำให้เขาเริ่มสงสัยด้วยว่าวิธีการใช้จ่ายเงินของคุณจะกระทบความสัมพันธ์ของพวกคุณอย่างไร
คุณจำเป็นต้องทำความเขาใจในเรื่องนี้ให้ดี จากการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าการทะเลาะเบาะแว้งของคู่สมรสจำนวนมากจนนำไปสู่การหย่าร้างนั้น มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งเรื่องเงิน
ผมจึงขอแนะนำว่า แทนที่จะต่อว่าเขาว่าทำไมเขาถึงโมโหโกรธาเอากับคุณอย่างไม่ยุติธรรมเช่นนั้น (มันเป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการทำให้เขาตกเป็นฝ่ายตั้งรับไปโดยทันที) ก็ให้ถามเขาว่าคุณสองคนควรแยกบิลจ่ายเงินกันอย่างไร หรือพยายามรับคำแนะนำของเขาในการซื้อของแพงๆ แต่ไม่จำเป็นอย่างรองเท้าคู่ที่ 10 หรือกระเป๋าใบที่ 12 ของคุณ
และคุณก็สามารถแนะนำให้คุณสองคนช่วยกันเก็บเงิน เพื่อวางแผนเอาไว้ใช้จ่ายตอนหยุดพักผ่อนประจำปีด้วยกัน ตามที่เคยต้องการนั่นแหละ
ทางเลือกอย่างที่ว่ามานี้ จะเป็นการทำให้เขามั่นใจว่า คุณไม่ใช่คนสะเพร่าหรือไม่รับผิดชอบในเรื่องเงิน ซึ่งจะทำให้เขาเลิกกังวลและเลิกตอแยในเรื่องนี้
ถาม ฉันรู้ว่าเดี๋ยวนี้กฎเกณฑ์ต่างๆ มันเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงอยากรู้ว่า ถ้าฉันชวนชายหนุ่มออกเดทครั้งแรก เขาจะคาดหวังให้ฉันเป็นคนจ่ายเงินเลี้ยงเขาหรือไม่? เพราะฉันอยากให้เขาเป็นคนจ่ายเงินเลี้ยงฉันอยู่ดี
ตอบ ผมไม่คิดว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ มันเปลี่ยนไปมากขนาดนั้นหรอก สำหรับผู้ชายที่มีผู้หญิงจ่ายเงินให้ในเดทแรก มันก็เหมือนการสูญเสียความเป็นแมนลงไปกว่าครึ่ง มันเป็นอะไรที่เขาจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง
ส่วนใหญ่ของผู้ชายสมัยนี้ยังคงจ่ายเงินในสถานการณ์เช่นนั้นอยู่ ทีนี้ถ้าคุณบอกว่า “แต่ฉันเป็นคนชวนคุณนะ!” และยืนยันที่จะจ่ายเงินค่าของหวานหรือเครื่องดื่มหลังอาหาร เขาก็คงยังทำหน้าที่ลูกผู้ชายในการจ่ายทั้งหมดอยู่ดี และคุณก็จะได้รับความประทับใจจากเขาว่าคุณเป็นคู่เดทที่ยอดเยี่ยม ไม่ต้องพูดถึงการใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุที่ความเป็นจริงทางการเงินของทุกวันนี้มันฝืดเคืองกว่าสมัยก่อนมาก และเพราะคุณเป็นฝ่ายชวนเขาออกเดท คุณก็มีโอกาสเจอกับผู้ชายที่ต้องการแยกบิลมากขึ้น
ผมคิดว่าแบบนี้มันก็ยังสมเหตุสมผล แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้เลยสำหรับคุณ ก็ให้ขจัดความสับสน (ว่าใครควรเป็นคนจ่าย) ออกไปซะ แล้วเสนอการเดทแบบที่แทบไม่ต้องจ่ายอะไรเลย เช่น โบกรถไปเที่ยวนอกเมือง แล้วโบกรถกลับ กินแค่น้ำเปล่าก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน หรือ เข้าชมฟรีคอนเสิร์ตด้วยกัน จากนั้นก็รอให้เขาชวนคุณออกเดทครั้งต่อๆไป ถ้ามีนะ
แต่สำหรับผมคิดว่าความรักใดๆก็ตาม ถ้ามีเงินเป็นเงื่อนไขตั้งแต่ต้น มันไปไม่รอดหรอก เพราะมันไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ความรักเกิดที่ใจครับ ไม่ใช่ที่สมอง การบริหารจัดการเรื่องการเงินสำหรับชีวิตคู่นั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นการไม่ตั้งอยู่ในความประมาท
แต่ถ้าคุณเอาเงินเป็นปัจจัยหลัก ความหมายระหว่างบรรทัดของคุณก็คือ คุณรักตัวเองไม่ได้รักคู่ของคุณจริงๆ หรอก
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net