xs
xsm
sm
md
lg

ทายาท Little Home ผู้สืบทอดตำนานความอร่อยกว่า 60 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


>>วันนี้ Celeb Online จะพาคุณไปรู้จักกับครอบครัวของ “คุณ อภิชาต หวั่งหลี - คุณอัญชลิกา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” และบุตรชายสุดหล่อวัย 18 ปี เจ้าของร้านลิตเติ้ล โฮม (Little Home) ร้านอาหารที่เปิดบริการความอร่อยมากว่า 60 ปี เมนูขึ้นชื่ออย่างแพนเค้ก เค้กมะพร้าว ข้าวผัดน้ำพริกลงเรือ แกงเขียวหวานโรตี ครองใจนักชิมมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่มาจนถึงรุ่นลูก

ลิตเติ้ล โฮม เริ่มต้นขึ้นที่บ้านไม้โบราณบนถนนวรจักร ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งบ้านพักอาศัยและร้านทองของ หลวงสุวรรณมณีกิจ ช่างทองหลวงในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณทวดของคุณอภิชาต หวั่งหลี จนปรับมาเป็นร้านเบเกอรี่ในปี 2494 โดยเริ่มจากฝีมือปลายจวักของสะใภ้คนเก่งชาวฟิลิปปินส์

“คุณตา (มงคล ศิริสัมพันธ์) ถูกส่งไปเรียนที่ฟิลิปปินส์ พบรักและแต่งงานกับคุณยาย (เนเน็ต ศิริสัมพันธ์) ซึ่งเป็นชาวฟิลิปปินส์ ท่านมีความสามารถด้านตัดเย็บ เมื่อกลับมาเมืองไทยก็เปิดร้านตัดเสื้อ มีลูกค้าเป็นสาวในสังคม คุณหญิง คุณนาย บรรดาเพื่อนๆ คุณตา โดยช่วงวันเทศกาลอย่างปีใหม่ คุณยายท่านเป็นคนทำอาหารอร่อยก็ทำขนมแจกลูกค้า เป็นพวกขนมฝรั่ง ขนมอบ ขนมเค้ก ทุกคนก็ชอบมาก ท่านก็เลยทำมาเรื่อยๆ จนตัดสินใจเปิดเป็นร้านขึ้น

ร้านเบเกอรี่ ร้านอาหารฝรั่ง ซึ่งนับเป็นสิ่งแปลกใหม่ในสมัยนั้น หาทานยาก ไม่ได้พบเห็นได้มากมายเหมือนปัจจุบันนี้ เรานับเป็นเจ้าแรกๆ เลย พอเปิดเป็นร้านก็ได้รับความนิยมมาก เพราะในช่วงเวลานั้นคนไทยเริ่มนิยมส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ มีนักเรียนนอกกลับมาเยอะ เขาก็รู้จักกับอาหารฝรั่งเป็นอย่างดี และประจวบกับยุคสงครามเวียดนาม ที่บ้านเรามีพวกทหารอเมริกัน มีชาวต่างชาติเข้ามาเยอะ ก็เลยได้ลูกค้าเยอะตามไปด้วย” คุณอภิชาต กรรมการผู้จัดการกล่าว

จากวันนั้นมาถึงวันนี้ Little Home กลายเป็นธุรกิจประจำตระกูล ส่งต่อผ่านถึงลูกหลานมา 3 รุ่นแล้ว โดยปัจจุบันจากร้านดั้งเดิมเป็นร้านเบเกอรี่เล็กๆ เพียงร้านเดียว ขยับขยายออกมาเป็นร้านอาหารแบบเต็มตัว บริการอาหารไทยและต่างประเทศหลากหลายชนิด เสริมขึ้นจากเมนูขนมฝรั่งสูตรต้นตำรับ ซึ่งตอนนี้ Little Home มีสาขาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดกว่า 20 สาขาแล้ว

:: ผู้บริหารรุ่นหลาน สานต่อความอร่อย

ทายาทรุ่นปัจจุบันคือ คุณอภิชาต ที่หลังจากผ่านงานด้านอสังหาริมทรัพย์ ในธุรกิจของตระกูลฝ่ายคุณพ่อ (ศุภชัย หวั่งหลี) จนอิ่มตัว ก็กลับมารับไม้ดูแลกิจการร้าน Little Home ต่อจากคุณแม่ (อรุณี ศิริสัมพันธ์)

“มองดูแล้ว ธุรกิจอสังหาฯ กับธุรกิจร้านอาหาร ที่ดูเหมือนจะคนละขั้วกัน แต่ที่จริงแล้วหัวใจหลักไม่ต่างกันหรอก เพราะมันก็คือการขายของเหมือนกัน เพียงแค่สินค้ามันราคาต่างกันมากหน่อยเท่านั้นเอง และแถมประสบการณ์ในงานด้านอสังหาฯ ยังช่วยในการดูเรื่องทำเลการเปิดสาขาได้เป็นอย่างดี เพราะเราพอจะมองตลาดออกว่า พื้นที่ไหนดี ตรงไหนลูกค้าน่าจะเข้า หรือค่าเช่าควรจะอยู่ในอัตราไหน

การเข้ามาดูแลร้านอาหารนั้น ผมเองไม่ได้มีพื้นฐานทางอาหารมาก่อน แต่อาศัยที่เราเติบโตมากับตรงนี้ เห็นธุรกิจนี้มาตลอดชีวิต ก็เลยเริ่มงานได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่ก็มีการไปเรียนเพิ่มเติมเพื่อเสริมความรู้ด้วยการเข้าคอร์สทางด้านเทคโนโลยีอาหาร เรียนพวก Food Science ที่ UFM เพื่อศึกษาพื้นฐานความรู้ด้านอาหารให้แน่นขึ้น...

การไปเรียนนั่นก็เพื่อเสริมให้เข้าใจในเรื่องอาหารมากยิ่งขึ้น แต่ด้วยความที่เราทำมานาน จากร้านอาหารมันกลายขึ้นมาเป็นธุรกิจแล้ว ผมก็ไม่ต้องถึงขนาดไปลงครัว คิดสูตรอะไร เพราะเรามีทีมงานมีนักโภชนาการดูแลอยู่แล้ว สูตรทั้งหลายก็เริ่มตั้งแต่คุณยาย เราไม่ทิ้งรสชาติดั้งเดิมไป จะมีเพิ่มเติมก็คือคิดเมนูใหม่ๆ แล้วก็เข้ามาช่วยปรับปรุงพัฒนาระบบการทำงานให้สะดวกขึ้น เพราะทุกวันนี้มันมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอด เราก็ต้องคอยอัปเดต ศึกษา ไปเดินดูพวกงานแฟร์ในต่างประเทศบ้าง ว่าจะมีสิ่งไหนเหมาะจะปรับใช้ในธุรกิจเรา”

:: “คนไทยเกี่ยงงาน” ปัญหาใหญ่ของผู้ประกอบการ

สิ่งหนึ่งในการทำงานซึ่งนับเป็นเรื่องหนักใจ และสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมที่คุณอภิชาตต้องเจอ นั่นคือ เรื่องแรงงาน “ผมว่าปัญหาเรื่องแรงงานเป็นปัญหาใหญ่นะ เพราะจากที่ผมประสบกับตัวคือ คนไทยเราเลือกงาน มีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับงานแรงงานและบริการ อย่างคนเสิร์ฟอาหาร คนทำความสะอาด คนขับแท็กซี่ คนจะไม่ค่อยอยากทำ ซึ่งเป็นปัญหามากสำหรับผู้ประกอบการ

คนตกงานมีเยอะ แต่พอมีโอกาสงานเข้ามาก็ไม่ทำ คนงานหายากทำให้บางครั้งต้องพึ่งแรงงานต่างด้าว ซึ่งผมว่า ไม่มีนายจ้างคนไหนอยากใช้แรงงานต่างด้าวหรอก เพราะมันเหนื่อยนะ ไหนจะต้องปวดหัวเรื่องภาษา ต้องเทรนอบรมเป็นพิเศษ เรื่องกฎหมาย เอกสารอีกมากมาย ทุกอย่างยุ่งยากกว่าเยอะ แต่บางครั้งมันก็จำเป็นเพราะเราหาแรงงานในประเทศไม่ได้

ตอนนี้บ้านเราเป็นทุนนิยมขนาดหนัก เราเดินตามหลังมหาอำนาจ อย่างที่เห็นในอังกฤษ เราจะเห็นแรงงานเป็นแขก จีน ชาวต่างชาติทั้งนั้น ในอเมริกาก็เช่นเดียวกัน คนทำงานจะเป็นพวกเม็กซิกัน เป็นต่างด้าวกันหมด เราไปรับแนวคิดตรงนั้นมา แต่ด้วยระบบโครงสร้างเรายังก้าวไปไม่ถึงจุดนั้น เราไม่ใช่ประเทศร่ำรวย สวัสดิการเรายังไม่ดีขนาดนั้น มันเลยกลายเป็นปัญหา เพราะเมื่อคนเกี่ยงงาน เลือกงาน แล้วไม่มีงานทำ จะรอรัฐเลี้ยงก็ไม่ได้ ก็ต้องหาทางออกทางอื่น กลายเป็นปัญหาสังคมเข้าไปอีก”

:: ไม่ยอมตกเป็นทาสเทคโนโลยี

การที่บ้านกับออฟฟิศอยู่ที่เดียวกัน หลายคนอาจจะรู้สึกเหมือนต้องทำงานตลอดเวลา แต่สำหรับคุณอภิชาตแล้ว เขาแบ่งเวลาทำงานกับส่วนตัวออกจากกัน โดยทางออกที่สำคัญคือ แม้ในยุคเทคโนโลยีนำสมัยแบบนี้ เขาใช้โทรศัพท์รุ่นธรรมดาๆ ไม่มี iPhone หรือ BB เหมือนอย่างที่นักธุรกิจส่วนใหญ่นิยมใช้กัน

“ผมว่า เรากลายเป็นทาสของมันนะ ถ้าผมพกพวกสมาร์ทโฟน ก็ต้องตอบอีเมล อ่านข้อความ เหมือนต้องทำงานตลอด ผมใช้โทรศัพท์รุ่นโบราณ ทำอะไรไม่ได้เยอะ ดังนั้นเวลาเข้าออฟฟิศก็ทำงานให้เต็มที่ ส่วนนอกเวลางาน มีธุระอะไรสำคัญถึงจะโทร.เข้ามา คุยกันเป็นเรื่องๆ ไป เราก็มีสมาธิทำอย่างอื่นได้ คนสมัยนี้ไม่ค่อยกล้าโทร.ด้วย การโทรศัพท์จะรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องรบกวนมาก แต่จะกล้าส่งอีเมล กล้าส่งข้อความมากกว่า

ผมพยายามจะปล่อยให้ลูกน้องจัดการปัญหาเอง ให้เขาได้มีอำนาจตัดสินใจ ผมจะดูในส่วนของเรื่องใหญ่ๆ ที่มันเกินกว่าอำนาจเขา เพราะเราทำงานเป็นระบบองค์กรแล้ว ทำงานกันเป็นทีม จะมาปล่อยให้เถ้าแก่คุมหมดทุกอย่าง มีอะไรก็วิ่งหาแต่เรา มันจะทำให้ธุรกิจโตไปไม่ได้

:: นำเข้าแบรนด์หรูจากโมนาโก

ฝ่ายสามีทำธุรกิจอาหาร ส่วนด้านภรรยา คุณโต๋เต๋ - อัญชลิกา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ก็มีธุรกิจเป็นของตัวเอง นั่นคือ การนำเข้าผลิตภัณฑ์สปาระดับไฮเอนด์ ในชื่อ Margy's Monte-Carlo แบรนด์ดังจากประเทศโมนาโก และ June Jacobs จากประเทศสหรัฐอเมริกา

“ด้วยความที่เต๋ชอบดูแลผิวพรรณ ชอบนวดหน้า นวดตัว ก็พอดีเพื่อนสนิทของเรารู้จักับคุณมาร์จี้ เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สปา เมื่อ 15 ปีที่แล้วที่เขายังไม่มีตัวแทนจำหน่ายในภูมิภาคนี้ พอเราได้ลองผลิตภัณฑ์แล้วก็รู้สึกเลยว่ามันให้ผลดีจริงๆ ก็เลยตัดสินใจเปิดบริษัทนำเข้าเลย ลูกค้าก็จะเป็นสปาระดับชั้นนำ และตามโรงแรม 5 ดาว อย่างชีวาศรม, เจ ดับบลิว แมริออท, คีรีมายา ฯลฯ หลังจากนั้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ได้ไป Fairเกี่ยวกับความสวยความงามที่ฮ่องกง จึงตัดสินใจนำเข้า June Jacobs อีกหนึ่งแบรนด์

มาร์จี้เป็นแบรนด์ที่ดังในยุโรป แต่ในเมืองไทยคนจะไม่ค่อยรู้จักนัก ผลิตภัณฑ์เขาคุณภาพดีมาก ส่วนผสมสารสกัดจากธรรมชาติร้อยเปอร์เซ็นต์ ใช้วัตถุดิบจากท้องทะเล โดยแบรนด์นี้เกิดจากความประสงค์ของเจ้าชายเรนิเยแห่งโมนาโก ที่อยากจะสร้างผลิตภัณฑ์สัญชาติตัวเอง ก็ให้คุณมาร์จี้ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องการดูแลผิวพรรณคิดค้นขึ้น โดยสินค้าของเขาจะเน้นเป็นการดูแลผิวหน้าเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนของ June Jacobs ก็มาจากธรรมชาติเหมือนกัน แต่จะมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่า มีทั้งนวดตัว นวดหน้า และมีสารพัดผลิตภัณฑ์ให้เลือก ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือเขาเพิ่งทำสัญญากับสปาของเครือโรงแรมไฮแอทและแมริออท ทั่วโลก ซึ่งจะใช้ผลิตภัณฑ์ของเขาและมีทรีตเมนต์พิเศษซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของแบรนด์นี้เท่านั้น”

งานของคุณอัญชลิกาไม่ได้มีแค่การเป็นผู้บริหารเจ้าของบริษัท แต่เธอยังลงไปติดต่อลูกค้า เรียนรู้ผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง ไปอบรมเทคนิคการนวด และลงมือสอน เทรนพนักงานด้วยตนเอง

“เต๋คิดว่า เราต้องรู้จริงในงานที่ทำ อย่างถ้าคุณเปิดร้านอาหาร คุณก็ควรจะรู้วิธีทำอาหารด้วย จะไปพึ่งแต่คนอื่นไม่ได้ เกิดวันไหนมีการเปลี่ยนแปลง เราต้องทำเองเป็น เราถึงคุมคนอื่นได้ การทำงานของเต๋จะลงไปลุยเองเป็นทีมเดียวกับลูกน้องเลย มันทำให้เราได้ดูแลใกล้ชิด ทั้งควบคุมคุณภาพงาน ลูกน้องก็อุ่นใจที่มีเรา การเข้าไปเจอลูกค้าด้วยตนเองสร้างความเชื่อมั่น แสดงความใส่ใจให้เขาเห็น และยังได้ฟังเสียงตอบรับจากลูกค้าเองโดยตรง ทำให้เราสามารถปรับปรุงการดำเนินการ แก้ไขข้อบกพร่องของเราได้ตรงจุด

เต๋ทำงานตรงนี้ ไม่ใช่มุ่งแต่จะเอากำไร ทำธุรกิจอย่างเดียว มันเริ่มมาจากความรู้สึกที่เราไปเจอของดีๆ มาก็อยากจะแบ่งปัน เราก็สนุกไปกับงาน ตั้งใจอยากให้ลูกค้าสวย มีความสุขกับหุ่นและผิวพรรณตัวเอง ซึ่งไม่ว่าลูกค้าเจ้าเล็ก หรือเจ้าใหญ่ เราเอาใจใส่ไม่ต่างกัน แม้เจ้าที่อยู่จังหวัดไกลๆ เต๋ก็เดินทางไปดูแลอยู่ตลอด”

:: “ซื่อสัตย์” เคล็ดลับ 100 ปีแห่งความสำเร็จของหวั่งหลี

ลูกค้าแต่ละเจ้าทำธุรกิจด้วยกันกับครอบครัวนี้มานานมาก ทั้งในเรื่องธุรกิจอาหารและผลิตภัณฑ์สปา อย่างร้านอาหารก็เปิดมาหลายสิบ ผลิตภัณฑ์สปาที่เปิดบริษัทมา 15 ปี ลูกค้าตั้งแต่ปีแรกก็ยังคงอยู่ นั่นเพราะหัวใจหลักในการทำงานที่เขายึดถือคือ “ความซื่อสัตย์”

คุณอภิชาตกล่าวว่า “เราเน้นการบริการที่ดี ใส่ใจ และดูแลต่อเนื่องไม่เคยขาด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าใหม่ ลูกค้าเก่าเราเอาใจใส่อย่างดี ไม่เคยทิ้งลูกค้า และพัฒนาคุณภาพอยู่ตลอด ผมว่าเราทำงานแบบนี้แม้จะต้องเหนื่อยหน่อยในการผูกสัมพันธ์ให้ลูกค้าเราอยู่กันแบบถาวร แต่ก็ดีกว่าจะต้องมาวิ่งหาลูกค้าใหม่ๆ อยู่ตลอด ผมไม่เคยเชื่อในการตลาดแบบโรตี บอย หรือ มิสเตอร์ บัน ที่ตูมเดียว ฮือฮามาก เป็นกระแสดังแล้วก็หายไป ถึงวันนี้ก็ไม่รู้เขาไปไหนแล้ว เขาอาจจะได้ผลตอบรับเยอะจริงแต่ในช่วงเวลาสั้นเท่านั้น เราขอค่อยๆ โตแต่ก้าวไปอย่างยั่งยืนดีกว่า...

หลักในการทำงานนี้ถูกปลูกฝังมาในสายเลือดตระกูลคุณพ่อผม “หวั่งหลี” ทำธุรกิจมานับเป็น 100 ปีแล้ว เป็นตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งที่ยังอยู่ในแวดวงธุรกิจได้อย่างมั่นคง เรียกได้ว่าเก่ากว่าซีพี เก่ากว่าเบียร์ช้างอีก ยังสามารถสืบทอดกิจการมาได้จนทุกวันนี้ และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้ามาตลอด”

:: อดีตเด็กอ้วนก้าวสู่นักกีฬาดีเด่น

ในวันนี้ความดูแลอยู่ในมือคนรุ่นพ่อ ในวันหน้าก็ต้องตกมาถึงมือรุ่นลูก ซึ่งลูกชายคนเดียวของบ้านนี้ “โตโต้ - อภิชาต สนิทวงศ์ ณ อยุธยา” (ไม่ต้องแปลกใจ เราเขียนไม่ผิดและตาคุณไม่ได้ฝาด พ่อ-ลูกคู่นี้ใช้ชื่อเดียวกัน เหมือนธรรมเนียมฝรั่งที่ชื่อคุณพ่อ-ลูกชาย ใช้เหมือนกัน ต่างกันแค่ซีเนียร์ และจูเนียร์) ยังไม่ได้แสดงท่าทีสนใจในธุรกิจของครอบครัวสักเท่าไหร เท่าที่เห็นดูเน้นหนักในเรื่องการตรวจสอบคุณภาพสินค้า รับบทในแผนกรับประทาน

“เด็กกำลังกินกำลังโตแหละพี่” โตโต้ออกตัวเมื่อสั่งอาหารมื้อที่ 2 รอบ 3 ชั่วโมง “วัยกำลังกิน กำลังนอน หิวบ่อยและกินได้ตลอด อาจจะเป็นเพราะผมออกกำลังกายเยอะด้วยแหละ แต่ก่อนเคยเป็นเด็กอ้วนนะ อวบกว่านี้เยอะ แต่พอโตขึ้นเล่นกีฬาเยอะ น้ำหนักเลยลง”

ชายหนุ่มวัย 18 ปีคนนี้นับเป็นนักกีฬาตัวยง เป็นทั้งนักฟุตบอล, นักรักบี้, นักกรีฑา ไปจนถึงนักว่ายน้ำ เรียกว่าได้เล่นแทบทุกกีฬา ที่สำคัญมีฝีมือขนาดเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันในระดับนานาชาติ

“โต้เรียนที่ ISB (International School Bangkok) นอกจากจะมีแข่งกีฬาในโรงเรียนแล้ว จะมีแข่งกับโรงเรียนนานาชาติในเมืองไทย และการแข่งขันในระดับภูมิภาคที่จะไปแข่งกับโรงเรียนนานาชาติ ทั้งมาเลเซีย อินโดฯ สิงคโปร์ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในแต่ละชนิดกีฬา ซึ่งโต้ก็ได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งด้วยตลอด ซึ่งการติดทีมโรงเรียน 4 ปีรวดในระดับไฮสคูล เกรด 9-12 ทำให้โต้ได้รับเหรียญเกียรติประวัติ ซึ่งในรุ่นโต้มีแค่โต้กับเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่ได้ ทำให้เราภูมิใจมาก...

ตอนนี้แม้โต้จะจบจากโรงเรียนแล้ว โต้ก็ยังวางแผนจะเล่นกีฬาต่อไปในระดับมหาวิทยาลัย เพราะเป็นสิ่งที่เรารักและสนุกกับมัน กีฬาให้แต่สิ่งดีๆ มันทำให้เราได้ออกกำลังกาย สุขภาพดี และทำให้ไม่มีเวลาไปหมกหมุ่นกับเรื่องไร้สาระหรือสิ่งอบายมุขที่ไม่ดี เพราะแค่เรียนกับซ้อมกีฬาก็หมดแรงไปทำอย่างอื่นแล้ว ”

:: ฝันอยากกู้โลก “แปลงขยะเป็นพลังงาน”

ตอนนี้โตโต้จบเกรด 12 แล้ว กำลังรอไปศึกษาต่อมหาวิทยาลัยโคโลราโด ด้านวิศวะเคมี “ผมชอบวิทยาศาสตร์ ชอบพวกการทดลอง ลงมือทำ สนุกกว่านั่งโต๊ะเรียนทฤษฎี ก็เลยตัดสินใจเรียนต่อทางด้านนี้ มองอยู่ 2 สาขา คือในด้านน้ำมัน กับด้านพลังงานทดแทน เพราะตอนที่มีโอกาสไปเข้าคอร์สเรียนซัมเมอร์ที่มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์ เราได้ลองศึกษาก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ อย่างเห็นคนทำพลาสติกให้แปรรูปกลับไปเป็นน้ำมัน ผมว่ามันเจ๋งดีอ่ะ เอาขยะไปทำเป็นพลังงานได้ด้วย แต่คงต้องขยันให้มากๆ เพราะมันเป็นสาขาที่ค่อนข้างใหม่และยากด้วย”

“ผมเตือนเขาแล้ว ว่าเรียนหนักนะ ยากมากด้วย ให้ตัดสินใจดีๆ” คุณพ่อเอ่ยด้วยความเป็นห่วง

“คุณพ่อเขาอยากให้เราเรียนต่อมหาวิทยาลัยอินเตอร์ที่ปักกิ่ง เพราะอยากให้เราได้ศึกษาภาษาและวัฒนธรรมจีนซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญต่อการทำธุรกิจในอนาคต แต่ผมเลือกเรียนที่อเมริกาเพราะรู้สึกว่าเรามีโอกาสมากกว่า ทั้งในเรื่องการเรียนรู้ชีวิต สังคมที่กว้าง มีกิจกรรมให้เลือกทำได้เยอะกว่า และอย่างในสาขาที่เรียน อเมริกาก็มีเครื่องไม้เครื่องมือ ห้องแล็บต่างๆ ทันสมัยกว่าเยอะ ก็เลยตัดสินใจไปนู่นดีกว่า และอีกอย่างภาษาจีนผมเรียนมา 6 ปีแล้ว ยังไงก็คงไม่ทิ้งแน่ เพราะไปที่นู่นก็ตั้งใจจะเรียนภาษาจีนต่อด้วย”

ฝั่งคุณพ่ออยากให้ไปเรียนที่เมืองจีน ส่วนคุณแม่ซึ่งสนิทกับลูกชายคนเดียวคนนี้มาก บอกว่าอยากให้อยู่เมืองไทย “3 คน 3 ความคิดเลย ด้วยความที่เราเป็นแม่ เราก็เป็นห่วงเขา ไม่อยากให้เขาไปไหนไกล ก็อยากให้เรียนที่นี่ แต่แม้เราจะต้องการแบบไหน สุดท้ายแล้วก็ต้องคิดถึงอนาคตของลูกเป็นหลักแหละ มันถึงเวลาที่เขาต้องก้าวออกไปเติบโตด้วยตนเอง ให้เขาไปเรียนรู้โลกกว้าง เพราะมันคือชีวิตเขา ที่เขาต้องก้าวไปข้างหน้า เราต้องปล่อยให้เขาเลือกเอง ครอบครัวนี้เลี้ยงลูกแบบให้อิสระ สอนให้รู้จักคิดและตัดสินใจเอง เราก็คอยเป็นกำลังใจและให้คำปรึกษา”

“ตอนนี้ก่อนเขาจะบินไปเรียนต่อก็เลยขอฟัด ขอกอดให้มากหน่อย เดี๋ยวจะต้องห่างไปแล้ว แต่ก็ยังดีที่ในยุคนี้เรามีเทคโนโลยีช่วย ก็คงต้องออนไลน์ Skype คุยกันให้หายคิดถึง” คุณอัญชลิกากล่าวพร้อมหอมแก้มลูกชายสุดที่รักโชว์ความอบอุ่นในแบบครอบครัวปิดท้ายการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ :: Text by FLASH




>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น