xs
xsm
sm
md
lg

“นาขวัญ รายนานนท์” จริงหรือที่ว่า เธอรักงานมากกว่าผู้ชาย!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับเซเลบริตี้สาว นาขวัญ รายนานนท์ เพราะนอกจากเธอจะมีอาชีพหลักเป็นพิธีกรในรายการทีวี ตลอดจนผู้ดำเนินรายการในงานอีเว้นท์ต่างๆ มากว่า 10 ปีแล้ว เราก็ยังเห็นเธอปรากฏกายเฉิดฉายในงานสังคมอยู่ไม่ขาด

แม้จะรู้จักและได้ยินข่าวคราวสาวคนนี้มานาน ทว่ากระแสซุบซิบเรื่องหนุ่มๆ กลับไม่ค่อยมีมาให้ได้ยิน ....สาเหตุเพราะเธอติดงานยิ่งกว่าอะไร !

“ถ้าเรื่องความรัก จุ๊ให้เปอร์เซ็นต์น้อยมาก สมมุติ 100% งาน, ครอบครัว, และเพื่อน เอาไปเลยสัก 80% ที่เหลือก็อาจจะความรักตอนเด็กๆ เคยวางอนาคตไว้ว่า อายุ 25 จะต้องแต่งงาน มีลูก 5 คน ตั้งชื่อลูกไว้หมดเรียบร้อยแล้ว เป็นผู้หญิง-ผู้ชายกี่คน คือ มันเป็นความฝันแบบเด็กๆ แต่พอเราได้มาใช้ชีวิตจริงๆ ตอนนี้จะ 35 แล้ว จุ๊รู้สึกว่า ยังไม่พร้อมมีครอบครัวเลย ยังไม่พร้อมจะไปผูกมัดกับใคร หรือดูแลใคร เพราะแค่ลำพังให้เวลากับตัวเองก็แทบจะไม่มี แล้วเราจะมีเวลาให้คนอื่นได้อย่างไร เพราะตอนนี้จุ๊เหมือนทุ่มเทให้งาน กับคุณพ่อคุณแม่มากกว่า” คำยืนยันของเซเลบคนสวย ทำให้เราเข้าใจเหตุผลว่า เพราะอะไร กว่า 10 ปีที่ผ่านมา เราจึงได้ยินแต่ข่าวผลงานของเธอ มากกว่าเรื่องส่วนตั๊ว...ส่วนตัว อย่างเรื่อง ‘ความรัก’

ขอมุ่งทำงาน ยังไม่วิตกเรื่องคู่

หลายคนอาจคิดว่าสาวสวยที่เก่งรอบด้าน พูดจาฉะฉาน ทำงานมาแล้วหลากหลาย ทั้งพิธีกรรายทีวี, ครูสอนภาษา, นักเขียน, ดีเจ, เลขาฯ ผู้ช่วยรัฐมนตรี, เจ้าของร้านอาหาร พิธีกรในงานอีเว้นท์ ฯลฯ ทั้งสวย ทั้งเก่ง ขนาดนี้ คงมีหนุ่มๆ เข้ามาจับจองหัวใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าสาวเวิร์กกิ้งวูเมน อย่างเธอก็ย้ำชัดเจนว่า ยังไม่มีวี่แวว

“ตอนนี้ไม่ได้โฟกัสเรื่องความรักหรือแฟนค่ะ เราโฟกัสที่งานก่อน คงเพราะสมัยนี้หนุ่มๆ เขามีตัวเลือกเยอะ ใครเขาจะมารอ (หัวเราะ) และตัวจุ๊เองจะมีวิธีสแกนหนุ่มๆ ที่เข้ามาจีบ เพราะจะมีเข้ามาหลากหลายรูปแบบ เราก็จะมีวิธีพิสูจน์ความจริงใจของเขา ซึ่งจุ๊ไม่ได้มีมาตรฐานหรือสเปคอะไรมากมาย เพราะตัวจุ๊เองก็ไม่ได้มีดีอะไร ที่จะบอกคนที่เข้ามาว่า คุณต้องเพอร์เฟค เพราะจุ๊เองก็ไม่เพอร์เฟค

ที่สำคัญ พอเราเริ่มอายุมากขึ้น เราเริ่มสเปคน้อยลงแล้วหล่ะ เพราะเรารู้ว่าคนในฝันมันไม่มีจริงหรอก (เสียงสูง) ที่เราลิสต์หัวข้อไว้ อยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอก เอาแค่ทุกวันนี้ ถามว่าสเปคเป็นยังไง สำหรับจุ๊แค่คุยกันรู้เรื่องก็พอ เพราะคนที่คุยกันรู้เรื่อง และเข้าใจกัน มันอยู่กันได้นาน และอยู่กันเป็นเพื่อนได้ จุ๊รู้สึกว่าคนเรามันก็ต้องการแค่คนที่จะมาเป็นเพื่อน เพราะพอแต่งงานไป จุ๊ก็เห็นหลายๆ คู่ แม้กระทั่งคู่ของคุณพ่อคุณแม่ (คุณวิทย์ - คุณหญิงนันทนา รายนานนท์) จุ๊เอง พอแต่งงานไป 20-30 ปี ความรักในเชิงสามีภรรยา ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อน ที่จุ๊ว่ายั่งยืนกว่าและความเป็นเพื่อนนี่หล่ะที่จะทำให้อยู่กันอย่างมีความสุข”

“จุ๊ไม่ต้องการให้ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า หรือให้ผู้ชายเป็นช้างเท้าหลัง จุ๊คิดว่าเราต้องก้าวไปด้วยกัน แต่จะมีบางเรื่องที่เราให้เกียรติเขา เขาให้เกียรติเรา เพราะคนเราแค่ต้องการคนมาดูแลซึ่งกันและกัน เป็นกำลังใจให้กัน เป็นเพื่อนคู่คิดกัน คุณไม่ต้องเอาเงินมากองให้ฉัน ไม่ต้องเอาหน้าที่การงานมาเบ่งกับฉันไม่จำเป็น และจุ๊ไม่ชอบด้วย คนแบบที่มาอวดร่ำ อวดรวย อวดว่าตัวเองเก่ง จะไม่เอาเลย เช่น ถ้าบางคนเป็นลูกคุณหนู ฐานะร่ำรวยมาจีบเรา แต่เขาทำอะไรไม่เป็นเลยเราก็คงไม่เอา แต่ถ้าคนพอมีพอกิน แต่ขยันทำมาหากิน สร้างเนื้อสร้างตัวไปด้วยกัน แบบนั้นโอเคกว่า แต่อย่างเดียวที่ขอคือ อย่าเจ้าชู้ อันนี้รับไม่ได้จริงๆ แต่มันจะเจอแต่เจ้าชู้ตลอด เพราะจุ๊ว่าผู้ชายร้อยทั้งร้อยเจ้าชู้กันทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับระดับความเจ้าชู้เท่านั้นเอง” เธอตอบพร้อมหัวเราะ
เปิดโอกาสให้กับทุกงาน... อย่างไม่ต้องคาดหวัง

คุณนาขวัญเล่าต่อถึงเรื่องหน้าที่การงานว่า หลังเรียนจบปริญญาโทด้าน Design Leadership จากมหาวิทยาลัย Middlesex University ประเทศอังกฤษ แล้วกลับมาเมืองไทย เธอไม่เคยไปสมัครทำงานประจำเลย และถือเป็นโชคดีที่จู่ๆ เธอก็มีโอกาสได้ งานเป็นพิธีกร ในช่องทรูวิชั่น (True Vision) ซึ่งแม้จะขัดกับบุคลิกตัวเองโดยสิ้นเชิง... เพราะตอนเด็กๆ เธอแสนจะขี้อาย และไม่กล้าพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก ทว่าเมื่อโอกาสมาถึง เธอก็ไม่รีรอที่จะคว้าเอาไว้

“จุ๊คิดเสมอว่า เราอาจจะไม่ได้เป็นคนที่เก่งที่สุด ดีที่สุด แต่เราเป็นเหมือนคนที่ได้รับโอกาส อย่างเช่น โอกาสที่ได้มาเป็นพิธีกร และโอกาสอีกหลายๆ อย่างในชีวิต ซึ่งเรารู้สึกว่า เราควรจะไขว่คว้าโอกาส และทำให้ดีที่สุด เนื่องจากว่าตอนนี้ถือว่าเราอายุยังไม่มากนัก เราก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นวันนึงเราแก่ตัวไป ย้อนกลับมามองตอนสาวๆ แล้วคิดว่า เอ๊ะ! ทำไม ตอนนั้นเรามีโอกาสนั้น เราไม่คว้าไว้นะ มันน่าเสียดาย

จุ๊รู้สึกว่า ชีวิตมันคือการเดินทาง ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่า จุดสูงสุดของเขาคือเงินทอง แต่สำหรับจุ๊ จุ๊คิดว่า นั่นคือผลพลอยได้ ถ้าได้ก็ดี เป็นเหมือนโบนัสให้กับชีวิต แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ สิ่งที่เราได้เรียนรู้ในระหว่างที่เราเดินทางสู่ความสำเร็จ ตรงนั้นมากกว่า”

“ตั้งแต่เรียนจบมา จุ๊ไม่เคยทำงานประจำเลย ไม่เคยสมัครงานที่ไหนเลย จุ๊รู้สึกว่า เราโชคดีนะ ที่เราไม่ต้องไปสมัครงาน แต่มีงานวิ่งเข้าหาเรา อย่างงานพิธีกร มันอาจจะไม่ใช่งานที่เราถนัด หรืองานที่เราชอบในตอนแรก หรือไม่ใช่งานที่เราเรียนมา แต่เรากลับมีโอกาสได้ทำ อย่าง งานพิธีกร ไม่เคยอยู่ในความคิดเลย ตอนเด็กๆ จุ๊เป็นคนขี้อาย ไม่กล้าพูดหน้าห้อง ไม่กล้าพูดต่อหน้าคนเยอะๆ อาชีพนี้ไม่เคยอยู่ในหัวสมอง และไม่เคยคิดว่ามันเป็นอาชีพด้วย แต่ตอนที่ได้กลับมาเมืองไทยใหม่ๆ มีโอกาสไปแคสติ้ง (casting) ที่ช่องทรู ก็ผ่านและได้ทำมันอยู่จนถึงบัดนี้ก็ 10 ปีแล้ว ซึ่งในตอนนั้นจุ๊ก็คิดว่า ลองทำอะไรใหม่ๆ ในชีวิตดูมันก็ไม่ได้เสียหาย ถึงแม้เราจะไม่ได้เรียนมา ไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ แต่มันเป็นสิ่งที่เราลองเรียนรู้ที่จะรัก ที่จะชอบมันได้

บางคนอาจะมองว่า จบมาใหม่ๆ ฉันจะทำสิ่งที่ฉันชอบ สิ่งที่ฉันเรียนมาเท่านั้น สิ่งอื่นไม่ทำ คือ จุ๊อยากให้เปิดโลกทัศน์ของตัวเอง เปิดใจตัวเองให้กว้างยอมรับสิ่งใหม่ๆ ถ้าวันนั้นจุ๊ไม่ยอมที่จะทำงานเป็นพิธีกรที่ทรู จุ๊ก็ไม่มีทุกวันนี้ และในอาชีพที่ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นอาชีพ และไม่คิดว่าจุ๊จะชอบได้ เพราะจุ๊ไม่ถนัด มันกลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงเงินทองให้จุ๊ และทำให้จุ๊รักมันได้

ฉะนั้นเส้นทางชีวิตจุ๊อาจจะไม่เหมือนคนอื่น บางคนอาจจะโชคดี ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก สิ่งที่ตัวเองเรียนมาตั้งแต่แรกเลยก็ได้ แต่สำหรับจุ๊ จุ๊คิดว่ามันคือการเดินทาง บางอย่างเราไม่ได้รักตั้งแต่แรก แต่ตอนหลังเรามาเรียนรู้ที่จะรักมันได้ แต่จุ๊ก็ไม่ได้บอกว่าจุ๊ประสบความสำเร็จตลอด เพราะบางอย่าง งานใหม่ๆ ที่เข้ามา จุ๊ก็ลองทำดู บางงานที่จุ๊ไม่ชอบก็เลิกไป มีเหมือนกัน ดังนั้นหากใครจะมาบอกว่า ทำงานเยอะจัง ทำนู่นนี่ เดี๋ยวไม่ดีสักอย่างหรอก จุ๊บอกเลย ...ไม่เป็นไร จุ๊ไม่ได้คาดหวังเลย ว่ามันจะต้องสำเร็จ และอะไรที่เราไม่คาดหวัง เราก็ไม่ต้องไปเสียใจกับมันมาก ทำให้ดีที่สุดพอแล้ว ผลจะเป็นอย่างไร เรายอมรับได้”

ดีไซน์เนอร์ + แม่ค้า.... อาชีพใหม่ ที่เริ่มทำอย่างจริงจัง

ลูกสาวท่านทูตคนสวยเล่าว่า ปัจจุบันเธอกำลังเริ่มต้นทำอีกสิ่งที่เธอรัก นั่นคือ การเป็นดีไซน์เนอร์ (Designer) ที่นอกจากจะออกแบบเสื้อผ้าเองแล้ว ยังขายเอง เป็นนางแบบเองอีกต่างหาก

“ด้วยความที่เราทำงานเป็นพิธีกร ต้องออกอีเว้นท์บ่อย เราก็ต้องใส่เสื้อผ้าแบบต่างๆ ให้เข้ากับงานเสมอ ดังนั้นก็ต้องซื้อเสื้อผ้าบ่อย และบางครั้งเราก็หาแบบที่ถูกใจไม่ได้ จุ๊เลยออกแบบเองและจ้างช่างตัดให้ คือ ทำมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ทำขาย ทำใส่เอง จนเพื่อนเริ่มทักว่าอันนี้ของแบรนด์อะไร เราก็เลยเริ่มตัดให้เพื่อนบ้าง ตั้งแต่ก่อนมาทำแบรนด์ของตัวเอง

กระทั่งช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา ช่วงนั้นอีเว้นท์น้อยมาก พอมีเวลา เราก็เลยเริ่มคิดออกแบบเสื้อผ้าขาย สนุกๆ ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ หรือขายดีอะไรมากมาย เหมือนทำเป็นงานอดิเรกมากกว่า เพราะเห็นเพื่อนๆ หลายคนทำเป็นงานอดิเรก ขายในเฟสบุ๊ค แล้วขายดี เราก็เลยคิดว่า นี่แหละน่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหารายได้ของเรา และประกอบกับมันเป็นสิ่งที่เรารักด้วย ก็เลยลองทำ

ตอนที่ทำเรียกได้ว่า แทบจะเริ่มจากศูนย์ เพราะมันไม่ใช่แค่ว่า เราใส่อย่างเดียว เราชอบ แล้วมันจะขายได้ มันต้องคิดไปไกลๆว่า แบบนี้ใครจะใส่ แนวชุดของเราจะเป็นแบบไหน ใครจะเป็นคนซื้อของเรา ก็ต้องไปเรียนรู้เรื่องเสื้อผ้า การตัดเย็บ เช่น ผ้าแบบใด เหมาะกับชุดแบบไหน ต้องใช้เวลาลองผิดลองถูกหาข้อมูลใหม่เยอะมาก เช่น ศัพท์เทคนิคต่างๆ ก็ต้องรู้เพื่อให้คุยกับช่าง (เย็บผ้า) ได้ รวมถึงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมด้านแฟชั่นจากนิตยสาร, อินเทอร์เน็ต หรือไปช้อปปิ้ง ก็ไปเดินดูว่าแฟชั่นไปถึงไหนแล้ว ซึ่งงานนี้ทำคนเดียวเลยค่ะ ตั้งแต่ซื้อผ้า ออกแบบ เป็นนางแบบเอง นี่ถ้าตัดเย็บเองได้ คงตัดเองแล้ว” เธอหัวเราะ เมื่อเล่าถึงการฝ่าฝัน กว่าจะมีแบรนด์เสื้อผ้าเป็นของตัวเองได้
ส่วนหนึ่งของเสื้อผ้าที่เธอ ออกแบบเอง...เป็นนางแบบเอง....ขายเอง
สำหรับช่องทางการจำหน่ายนั้น เธอให้ข้อมูลว่า มีขายเฉพาะในเฟสบุ๊ค สาวท่านไหนสนอกสนใจ ลองเสิร์ชหาชื่อ “Nicolette” กันได้ จะเห็นหน้าคุณนาขวัญสวมชุดสวยปรากฎอยู่เป็นโปรไฟล์เลย ... อ้อ! คุณนาขวัญเธอแอบกระซิบมาด้วยว่า ราคาไม่แพงอย่างที่คิดด้วยค่ะ

“เสื้อผ้าจุ๊เป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิงทันสมัย ที่ชื่นชอบเรื่องของการแต่งตัว คำนี้มันอาจจะกว้างไปหน่อย แต่เพราะเสื้อผ้าเรามันมีหลายแนว เนื่องจากจุ๊เองเป็นคนแต่งตัวหลายแนว ไม่เจาะจงว่าเฉพาะเซ็กซี่อย่างเดียว หวานอย่างเดียว และจุ๊จะติดเป็นคนที่อิงแฟชั่นนิดๆ เช่น อะไรที่กำลังอินเทรนด์ เราก็จะปรับแล้วเอามาดีไซน์ให้มันเป็นตัวเราเองมากที่สุด ที่สำคัญ ราคาไม่แพงค่ะ มีตั้งแต่หลักร้อย ที่แพงสุดตอนนี้คือ 3 พันกว่าบาท ถือว่าหลากหลายมากๆ เพราะจุ๊รู้สึกว่า อะไรที่อิงแฟชั่นมากๆ ถ้าเราซื้อแพงมันก็สิ้นเปลือง

ส่วนกลุ่มเป้าหมายหลากหลายมาก ลูกค้าจุ๊มีตั้งแต่วัยรุ่น จนถึง 40 กว่า เนื่องจากเสื้อผ้ามันมีหลายแนว มีทั้งที่ใส่ในชีวิตประจำวัน ใส่ออกงาน ไปถึงชุดผ้าไหมเลย นอกจากนี้เสื้อผ้าที่ทำขายเรามีไซส์ S, M, L เหล่านี้อยู่แล้ว แต่ถ้าลูกค้าระบุว่า อยากได้ยาวตรงนั้น สั้นตรงนี้ หรือเปลี่ยนสีผ้า จุ๊ก็มีบริการ ซึ่งตรงนี้ยอมรับเลยว่า มันทำให้เราเหนื่อยเป็นสองเท่า แต่เราก็อยากทำ เพราะอยากให้เสื้อผ้าของเราต่างจากแบรนด์อื่น เพราะเราต้องการจะ tailor made (ตัดตามขนาด, ตัดตามคำสั่ง) ให้ถูกใจลูกค้าจริงๆ

“ส่วนเรื่องยอดขายถือว่า โอเคเลยค่ะ ดีเกินความคาดหมาย เพราะจุ๊เองก็ไม่ได้ประชาสัมพันธ์เท่าไหร่ กลัวจะทำไม่ทันด้วย ถ้ามีการสั่งซื้อเข้ามาเยอะ และเราอยากทำทุกตัวให้ดีที่สุด จุ๊จะต้องตรวจสอบเองหมด ช่างทำเสร็จแล้ว จุ๊ก็ต้องไปวัดไซส์ใหม่ตลอด เพราะกลัวช่างทำผิด เริ่มจากขายเพื่อนๆ ก่อน แล้วก็บอกต่อๆ กัน ยิ่งเครือข่ายสังคมออนไลน์สมัยนี้ช่วยได้เยอะเลยค่ะ ทำให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักได้เร็วยิ่งขึ้น

แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่จุ๊ภูมิใจมันไม่ใช่ปริมาณที่สั่ง หรือปริมาณคนที่ซื้อ แต่มันคือ ทุกคนที่ซื้อไปแล้ว เขาบอกว่าแฮปปี้มาก แล้วทุกคนจะกลับมาซื้ออีกตลอด สมมุติจุ๊มีลูกค้าร้อยคน แต่เขาสั่งครั้งเดียว หนเดียวแล้วเขาก็ไป กับลูกค้า 20 คนแต่เขากลับมาสั่งอีกเรื่อยๆ จุ๊เอาแบบนั้นดีกว่า จุ๊ถือว่าเขาเป็นลูกค้าวีไอพี ที่เราดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ” เธอเล่าอย่างภูมิใจในผลงานที่กำลังเริ่มสร้างด้วยความมุ่งมั่น

ความสำเร็จไม่ได้วัดจากรายได้ แต่อยู่ที่ความสุขใจ

“ความฝันสูงสุดของจุ๊ก็คือ อยากประสบความสำเร็จ และมีความสุขในทุกอย่างที่เราตั้งใจทำ แต่คำว่าประสบความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง ยอดขาย ฯลฯ แต่ของจุ๊ ถ้าด้วยอาชีพของจุ๊คือ พิธีกร ถ้าจะประสบความสำเร็จก็คือ เราสามารถทำอาชีพนี้ ดำรงอาชีพนี้ไปได้นานๆ เท่าที่คนจะให้้โอกาสเรา และอยู่อย่างมีคุณภาพ พัฒนาฝีมือไปเรื่อยๆ และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป นี่คือในแง่ของพิธีกร เพราะปัจจุบันมีพิธีกรหน้าใหม่มาเรื่อยๆ เดี๋ยวมาเดี๋ยวไปก็มี ดังนั้นเราต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เราอยู่จุดนี้ได้อย่างมีคุณภาพด้วย ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ผ่านมา 10 กว่าปีแล้ว จุ๊ยังทำตรงนี้อยู่ ก็รู้สึกว่าโชคดีที่เราเปิดโอกาสตั้งแต่ตอนนั้น และทำมาจนถึงตอนนี้

ส่วนงานอื่นๆ ก็เช่นกัน จุ๊รู้สึกว่าความสำเร็จมันอยู่ที่ความพึงพอใจของเรา หรือลูกค้าของเรา ถ้าลูกค้าของเราชื่นชอบ ใส่เสื้อผ้าเราแล้วเขาสวย เขาชอบ นั่นแหละคือ ความสำเร็จหนึ่ง จุ๊จะมองเป็นภาพกว้างอย่างนี้มากกว่า ไม่ใช่จะไปมองแต่ว่า ฉันมีรายได้เท่าไหร่ แบรนด์ฉันต้องโกอินเตอร์ หรือฉันจะต้องเป็นพิธีกรอันดับหนึ่งของประเทศ มีงานเยอะๆ ที่สุด ของจุ๊มันไม่ได้วัดกันตรงนั้น มันอยู่ที่ความพึงพอใจ และมาตรฐานของเรา”

ในท้ายสุด เมื่อเห็นเธอทำงานหลายอย่างเยอะแยะไปหมด อดสงสัยไม่ได้ว่าเหนื่อยบ้างมั้ย ?

“ก็มีเหนื่อยบ้างค่ะ แต่มีความสุข จุ๊มีคติการทำงานคือ รักในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่รัก ถ้าคุณทำในสิ่งที่คุณไม่รัก คุณทำได้ไม่นานหรอก แต่ถ้าคุณทำในสิ่งที่คุณรัก ถึงแม้มันจะออกมาไม่ดี ไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่คุณรักมัน คุณก็ไม่มีทางที่จะหยุดพัฒนาตัวเอง คุณก็จะพยายามทำมันอยู่เรื่อยๆ” คุณนาขวัญยิ้มตอบปิดท้ายการสนทนา ที่เชื่อเหลือเกินว่าคงช่วยเติมไฟการทำงานให้กับหลายคนได้บ้าง.... ไม่มากก็น้อย

เรื่องโดย Lady Manager
ภาพโดย วารี น้อยใหญ่



>>
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น