ใครที่รักเรื่องอาหารการกินจะคุ้นหน้าคุ้นตากับ เชฟวิชิต มุกุระ เชฟใหญ่หน้าตาดีแห่งห้องอาหารศาลาไทยริมน้ำ ของโรงแรมโอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ
ตลอดเวลา 27 ปีไม่เพียงแต่เขาจะปรุงอาหารไทยโบราณต้นตำรับต่าง ๆ เสิร์ฟให้แขกต่างชาติได้ลิ้มลองเท่านั้น แต่เชฟวิชิตยังเป็นเสมือนตัวแทนของคนไทยที่พยายามเผยแพร่ให้ฝรั่งต่างชาติได้รู้จักกับอาหารไทยทั้งรสชาติและอวดฝีมือการจัดวางบนจานที่นอกจากจะวิจิตรบรรจงตามแบบฉบับชาววังแล้ว ยังแฝงด้วยความเป็นโมเดิร์นในระดับสากลอีกด้วย
ซึ่งลูกค้าของโรงแรมที่ได้ลิ้มลองและพากันติดอกติดใจรสชาติของอาหารไทย อย่างโมฮัมหมัด อัลฟาแยต มหาเศรษฐีใหญ่เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง Harrod ในกรุงลอนดอน ซึ่งเคยมาพักที่โอเรียนเต็ลยังติดใจรสมืออาหารไทยของเชฟวิชิตจนขอร้องให้เขาไปเป็นหัวหน้าห้องอาหารไทยในห้างHarrod บ้าง
จึงไม่น่าแปลกที่ห้องอาหารศาลาไทยแม้จะมีคนไทยรู้จักน้อยกว่าต่างชาติ แต่สามารถทำรายได้อยู่อันดับต้น ๆ ของรายได้ทั้งหมดของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้
แต่ความภาคภูมิใจของเชฟวิชิตในวันนี้กลับไม่ใช่คำสรรเสริญเยินยอในเรื่องฝีมือการทำอาหารของเขาเลย สิ่งใหม่ที่ได้บังเกิดขึ้นในชีวิตของเชฟที่เขาดีใจเป็นนักหนาคือเขาสามารถปลูกข้าวที่ลงกล้าเอง ดำนาเอง และเกี่ยวข้าวเอง
ไม่น่าเชื่อว่าบนพื้นที่เพียง 200 ตารางวาที่พัทยาอันเป็นบ้านที่เชฟวิชิตอยู่กับครอบครัวนั้นจะสามารถแปลงเป็นผืนที่นาปลูกข้าวได้ ภาพของบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีแปลงนาข้าวอยู่หน้าบ้านซึ่งกำลังออกรวงสีทองพลิ้วไหวเป็นระลอกยามลมพัดผ่านกลายเป็นความสุขใจทุกครั้งที่เชฟกลับไปบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์
“ ข้าวที่ปลูกเป็นข้าวหอมมะลิแดง เอาพันธุ์มาจากบุรีรัมย์ เป็นผลผลิตแรกของผมครับ” เชฟกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
เชฟวิชิตไปค้นพบข้าวหอมมะลิแดงพันธุ์นี้ที่วัดป่าบ้านหนองสระ จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเป็นชุมชนเล็ก ๆ ชาวบ้านรวมตัวกันปลูกข้าวแบบเกษตรอินทรีย์ โดยมีเจ้าอาวาสของวัดเป็นผู้นำและตั้งเป็นชื่อการค้าว่า “ข้าวหอมบุญ”
หลังจากชิมแล้วรู้สึกถึงความนุ่มหนึบของข้าวที่ถูกปาก เชฟวิชิตจึงตัดสินใจสั่งซื้อข้าวของชาวบ้านที่นี่มาใช้ในห้องอาหารของโรงแรม โดยให้ราคาสูงแก่ชาวบ้านเพื่อส่งเสริมให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (สนใจสั่งซื่อได้ที่ 081 710 7024)
“ข้าวหอมบุญ” ของชาวบ้านบุรีรัมย์จึงมีโอกาสขึ้นโต๊ะอาหารระดับอินเตอร์เสิร์ฟให้กับชาวต่างชาติได้ลิ้มลองความอร่อยของข้าวไทยดูบ้าง ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือข้าวของที่นี่จะใหม่สดจริง ๆ เพราะทางโรงแรมสั่งออเดอร์ปั๊บ ทางเจ้าอาวาสค่อยสั่งให้สีข้าวใหม่ๆ ส่งมาให้โรงแรมทันที
ซึ่งหลังจากที่เชฟวิชิตลงแปลงนาข้าวไปไม่กี่เดือนข้าวก็เริ่มออกรวง ตอนต้นข้าวออกรวงสีเหลืองทองหรือที่เรียกว่า “ตั้งท้อง” นั้น เชฟวิชิตจะเดินลุยแปลงนาข้าว ใช้สองมือค่อย ๆ ประคองโอบอุ้มรวงข้าวท้องอ่อนขึ้นมาไว้ในอุ้งมือ เขาบอกความรู้สึกในตอนนั้นว่าเหมือนกำลังอุ้มสาวที่ตั้งท้องอ่อน ๆ ดังนั้นจึงต้องทะนุถนอมเป็นพิเศษ
ผลผลิตข้าวครั้งแรกในชีวิตของเชฟนี้ได้เกือบ 40 กิโลกรัมทีเดียว ตอนนี้หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วเขาก็เริ่มใช้ฟางข้าวและพืชผลตามธรมชาติเพื่อนำมาทำเป็นปุ๋ยสำหรับปลูกข้าวในครั้งต่อไป ส่วนข้าวที่เก็บเกี่ยวได้นั้นจะเก็บไว้ในยุ้งฉาง เวลาจะหุงข้าวสักหม้อเขาจะไปหยิบข้าวที่เก็บไว้มาสีกับเครื่องสีข้าวไฟฟ้าขนาดเล็กที่เขาซื้อมาเก็บเอาไว้ ทำกันแบบใหม่ ๆ สด ๆ นอกจากจะได้รสชาติความหอมของข้าวใหม่รวมทั้งวิตามินที่ยังอยู่ครบถ้วนแล้ว ข้าวที่ปลูกด้วยมือตัวเองยังอร่อยกว่าข้าวของที่อื่น ๆ เป็นไหน ๆ
ตอนนี้เชฟลองเอาข้าวหอมมะลิแดงจากแปลงข้าวของตัวเองมาทดลองหุงเป็นข้าวสวยร้อน ๆ เสิร์ฟแขกที่มาลิ้มลองอาหารไทยแบบ Chef Table รวมทั้งลองทำ “ข้าวฟูปลาฟู” หรือข้าวตังกรอบคลุกกับปลากรอบ รสชาติเค็ม ๆ มัน ๆ ใครได้ลิ้มลองล้วนติดใจ
เชฟวิชิตบอกว่าตัวเขาเองไม่ได้เกิดมาเพื่อทำนา แต่เวลาปลูกข้าวเองแล้วรู้สึกเลยว่าชีวิตชาวนานั้นลำบากมากกว่าจะได้ข้าวมาสักกำมือหนึ่ง และสำหรับอาชีพเชฟอาหารไทยนั้นเขาตระหนักถึงความสำคัญของ “ข้าวและกับข้าว” ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญ ขณะที่เขาทำ “กับข้าว” ได้ล้ำเลิศแล้ว ตอนนี้เชฟกำลังพยายามดันให้คนต่างชาติได้ตระหนักถีงความอร่อยของ ”ข้าวไทย” อีกด้วย
เสียดายที่เชฟวิชิตไม่เล่นการเมือง ไม่เช่นนั้นข้าวไทยคงไม่เสียแชมป์ให้กับเวียดนามแน่
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net