By Lady Manager
ปัญหาน้ำหนักส่วนเกิน สร้างความหนักใจให้สาวเรามาทุกยุคทุกสมัย สารพัดวิธีลดความอ้วน จึงถูกคิดค้นขึ้นมาตลอด เช่นเดียวกับวิธีลดน้ำหนักแบบ “ไฮโปรตีน ไดเอท” (High Protein Diet) ที่ร่ำลือกันว่า ทำแสนง่าย สบาย และสุดชิลล์ เพราะแค่งดทานคาร์โบไฮเดรต เน้นทานโปรตีน แค่นี้ก็ผอมได้ดั่งใจแล้ว !
เรื่องราวการลดความอ้วนด้วยวิธีนี้เป็นอย่างไร แค่งดทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) แต่ยังหม่ำอาหารหมวดอื่นๆ ได้หมด จะลดความอ้วนได้จริงหรือ ?
ในงานสัมมนา “ผอมอย่างปลอดภัย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน” ที่จัดโดยไลฟ์เซ็นเตอร์ (Life Center) เราได้คำตอบในเรื่องการลดความอ้วนด้วยวิธีไฮโปรตีน ไดเอท แบบชัดแจ้งจาก แพทย์หญิงชณิศา พานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก SlimLife Medical Weight Loss Center
คุณหมอหน้าสวยกล่าวว่า การลดน้ำหนักแบบ ไฮโปรตีน ไดเอท เรียกอีกชื่อว่า โลว์คาร์โบไฮเดรต (Low Carbohydrate) มีหลักง่ายๆ คือ งดทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต (ทานได้ไม่เกิน 20 กรัมต่อวัน) ส่วนโปรตีนทานได้ไม่อั้น ทั้งยังไม่มีการจำกัดปริมาณแคลอรี่ (calorie) และไขมันที่รับประทานในแต่ละวันอีกด้วย
“หลักการของวิธีการลดความอ้วนแบบไฮโปรตีนฯ คือ การจำกัดหรือลดการทานอาหารจำพวก คาร์โบไฮเดรต อันได้แก่ แป้ง ข้าว น้ำตาล ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตนี้ เมื่อทานเข้าไปร่างกายจะย่อยเป็นน้ำตาล เมื่อร่างกายใช้น้ำตาลเหล่านี้ไม่หมด ก็จะเปลี่ยนเป็นไขมัน จนเกิดเป็นภาวะอ้วนได้ แต่เมื่อเรางดทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ก็เท่ากับเป็นการบังคับให้ร่างกายดึงไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย ออกมาใช้ จึงส่งผลให้สามารถลดความอ้วนได้”
งดคาร์โบไฮเดรต ...ส่วนโปรตีนทานได้ไม่อั้น !
“ผู้ที่ใช้วิธีไฮโปรตีนฯ จะสามารถรับประทานโปรตีนได้อย่างไม่จำกัด เพราะร่างกายไม่ได้นำโปรตีนมาใช้เป็นพลังงาน แต่จะใช้โปรตีนเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายเท่านั้น เช่นเดียวกับไขมัน เราก็ไม่ห้าม สามารถรับประทานได้ เพียงแต่ ต้องบอกว่า หากทานไขมันก็จะทำให้ลดน้ำหนักได้ช้าลง เพราะร่างกายจะดึงไขมันใหม่ที่เพิ่งทานเข้าไป เอาไปใช้ก่อน เมื่อใช้หมดแล้วถึงจะดึงไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายออกไปใช้”
ส่วนผักและผลไม้นั้น คุณหมอว่าทานได้บ้างแต่ต้องเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำตาล
“ในส่วนของผักผลไม้ จะทานได้บ้าง ซึ่งในผัก อาจจะไม่เท่าไหร่เพราะไม่มีน้ำตาล แต่ผลไม้บางชนิดมีน้ำตาลค่อนข้างสูง หมอจึงไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ เพราะทานแล้วอ้วนได้เหมือกัน บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าทานผลไม้แล้วผอมซึ่งไม่จริงเสมอไป เพราะผลไม้บางชนิด อย่างเช่น แตงโม, ส้ม เหล่านี้น้ำตาลเยอะ กินเข้าไปกากใยแทบไม่ได้ ได้แต่น้ำตาลเสียมากกว่า แต่ผลไม้เนื้อแข็งอย่าง แอปเปิ้ล, ฝรั่ง, ชมพู่ เหล่านี้ยังพอไหว”
เตือน! งดคาร์โบไฮเดรต ไม่ปรึกษาแพทย์ อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก SlimLife Medical Weight Loss Center เตือนว่า หากคิดจะลดความอ้วนด้วยวิธีดังกล่าว ควรมาพบแพทย์ เพราะหากลดด้วยตนเอง อาจทำให้ร่างกายขาดเกลือแร่จนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
“การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ ผลที่ได้หรือระดับการลดของน้ำหนัก จะขึ้นอยู่กับแต่ละคน ส่วนใหญ่จะลดได้อาทิตย์ละ 1 กิโลกรัม โดยวิธีไฮโปรตีนฯ นี้สามารถทำได้ตลอด แต่นั่นคือ ตลอดเวลาที่ทำต้องมีการตรวจเลือดอยู่ทุกระยะ เพื่อตรวจเช็คระดับเกลือแร่ในร่างกาย เพราะการงดทานคาร์โบไฮเดรต อาจมีการเปลี่ยนแปลงของเกลือแร่ในเลือดได้
ฉะนั้นคนที่นำวิธีนี้ไปปฏิบัติเอง หมอจึงไม่แนะนำเลย เพราะหากระดับเกลือแร่ในร่างกายของเราไม่สมดุล อันตรายที่อาจเกิดขึ้นคือ เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ บางคนอาจจะมีอาการท้องผูก หรือเป็นตะคริวได้ เพราะการงดทานคาร์โบไฮเดรต มันจะทำให้แคลเซียม (calcium) ในเลือดต่ำด้วย เมื่อแคลเซียมต่ำ ก็จะเป็นตะคริวได้ง่าย ส่วนอาการร้ายแรงที่สุดคือ ร่างกายอาจขาด โพแทสเซียม (potassium) จนส่งผลให้หัวใจเต้นผิวจังหวะ จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ถ้าอยากจะลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้จริงๆ แต่ไม่อยากให้มีผลกระทบมาก อาจจะต้องทานคาร์โบไฮเดรตบ้าง ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับเกลือแร่จากคาร์โบไฮเดรตบ้าง เพื่อไม่ให้เกลือแร่ในร่างกายเปลี่ยนมากเกินไปจนเกิดอันตรายได้ แต่ถ้าเราทานคาร์โบไฮเดรตเข้าไป น้ำหนักก็จะลดลงได้ไม่ค่อยดี เพราะมันจะยังมีการดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตอยู่ มันก็จะไม่ใช่วิธีลดแบบไฮโปรตีนฯ เสียทีเดียว น้ำหนักก็จะลงช้า แต่ก็ปลอดภัยกับร่างกายมากกว่า
ทางที่ดีที่สุดหากจะลดด้วยวิธีไฮโปรตีนฯ คือ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพื่อจะได้มีการตรวจวัดระดับเกลือแร่ในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ”
คุณหมออธิบายให้หายข้องใจว่า เหตุใดเมื่อมาลดความอ้วนด้วยวิธีไฮโปรตีนฯ โดยอยู่ในความควบคุมของแพทย์จึงไม่อันตราย ร่างกายยังสมบูรณ์ แถมผิวไม่เหี่ยวย่นอีกต่างหาก
“การทำไฮโปรตีนฯ โดยปกติ แพทย์จะให้ทานวิตามินเสริมอยู่แล้ว เพราะในระหว่างที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ ร่างกายจะไม่ได้วิตามินจากคาร์โบไฮเดรต ฉะนั้นแพทย์จะให้วิตามิน, เกลือแร่ ตลอดจนวิตามินกลุ่มแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ในระดับสูง เพราะฉะนั้นบางคนช่วงลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ อาจคนจะดูดีกว่าช่วงปกติด้วยซ้ำ เพราะปกติอาจจะได้รับวิตามินไม่เพียงพอ แต่พอได้รับวิตามินเพียงพอตามคำแนะนำของแพทย์ผิวพรรณก็ผ่องใสขึ้นมาได้
ส่วนผลกระทบในระยะยาวนั้น ค่อนข้างเบาใจได้ เพราะตราบใดที่เราเช็คเลือด เช็คระดับเกลือแร่อยู่เสมอ ตรวจวัดระดับฮอร์โมนตลอด ในระยะยาวร่างกายค่อนข้างแข็งแรงกว่า การลดความอ้วนด้วยวิธีอื่น เพราะมันเป็นวิธีการลดความอ้วนที่ดูจากข้างในเป็นหลัก ปรับเปลี่ยนการเผาผลาญข้างใน เราไม่ได้ใช้ยา เราไม่ได้อดอาหาร ผลข้างเคียงจึงน้อยกว่า”
คุณหมอชณิศระบุ พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาว่า แม้การเข้าโปรแกรมลดความอ้วนด้วยวิธีไฮโปรตีนฯ นี้ในระหว่างที่เข้าโปรแกรมจะไม่ได้เน้นให้ออกกำลังกาย ทว่าหลังน้ำหนักคงที่ และกลับไปทานอาหารครบ 5 หมู่ตามปกติแล้ว หากไม่อยากกลับมาอ้วนซ้ำ ต้องหมั่นออกกำลังกายเสมอ เพื่อรักษาระดับน้ำหนักให้คงที่
ท้ายสุด คุณหมอให้ทิปส์ในการดูแลตัวเองง่ายๆ ให้ห่างไกลจากโรคอ้วนว่า ควรรับประทานอาหารครบ 3 มื้อ 5 หมู่, หลีกเลี่ยงอาหารให้พลังงานสูง, ดื่มน้ำอย่างน้อย วันละ 2 ลิตร, ออกกำลังกายเป็นประจำ, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้ร่าเริง แจ่มใส
แค่นี้คุณก็ห่างไกลจากโรคอ้วนแล้วหล่ะ ^_^
*เก็บตก* บรรยากาศงานสัมมนา “ผอมอย่างปลอดภัย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน” จัดโดยไลฟ์เซ็นเตอร์
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
ปัญหาน้ำหนักส่วนเกิน สร้างความหนักใจให้สาวเรามาทุกยุคทุกสมัย สารพัดวิธีลดความอ้วน จึงถูกคิดค้นขึ้นมาตลอด เช่นเดียวกับวิธีลดน้ำหนักแบบ “ไฮโปรตีน ไดเอท” (High Protein Diet) ที่ร่ำลือกันว่า ทำแสนง่าย สบาย และสุดชิลล์ เพราะแค่งดทานคาร์โบไฮเดรต เน้นทานโปรตีน แค่นี้ก็ผอมได้ดั่งใจแล้ว !
เรื่องราวการลดความอ้วนด้วยวิธีนี้เป็นอย่างไร แค่งดทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) แต่ยังหม่ำอาหารหมวดอื่นๆ ได้หมด จะลดความอ้วนได้จริงหรือ ?
ในงานสัมมนา “ผอมอย่างปลอดภัย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน” ที่จัดโดยไลฟ์เซ็นเตอร์ (Life Center) เราได้คำตอบในเรื่องการลดความอ้วนด้วยวิธีไฮโปรตีน ไดเอท แบบชัดแจ้งจาก แพทย์หญิงชณิศา พานิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก SlimLife Medical Weight Loss Center
คุณหมอหน้าสวยกล่าวว่า การลดน้ำหนักแบบ ไฮโปรตีน ไดเอท เรียกอีกชื่อว่า โลว์คาร์โบไฮเดรต (Low Carbohydrate) มีหลักง่ายๆ คือ งดทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต (ทานได้ไม่เกิน 20 กรัมต่อวัน) ส่วนโปรตีนทานได้ไม่อั้น ทั้งยังไม่มีการจำกัดปริมาณแคลอรี่ (calorie) และไขมันที่รับประทานในแต่ละวันอีกด้วย
“หลักการของวิธีการลดความอ้วนแบบไฮโปรตีนฯ คือ การจำกัดหรือลดการทานอาหารจำพวก คาร์โบไฮเดรต อันได้แก่ แป้ง ข้าว น้ำตาล ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตนี้ เมื่อทานเข้าไปร่างกายจะย่อยเป็นน้ำตาล เมื่อร่างกายใช้น้ำตาลเหล่านี้ไม่หมด ก็จะเปลี่ยนเป็นไขมัน จนเกิดเป็นภาวะอ้วนได้ แต่เมื่อเรางดทานอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ก็เท่ากับเป็นการบังคับให้ร่างกายดึงไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย ออกมาใช้ จึงส่งผลให้สามารถลดความอ้วนได้”
งดคาร์โบไฮเดรต ...ส่วนโปรตีนทานได้ไม่อั้น !
“ผู้ที่ใช้วิธีไฮโปรตีนฯ จะสามารถรับประทานโปรตีนได้อย่างไม่จำกัด เพราะร่างกายไม่ได้นำโปรตีนมาใช้เป็นพลังงาน แต่จะใช้โปรตีนเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกายเท่านั้น เช่นเดียวกับไขมัน เราก็ไม่ห้าม สามารถรับประทานได้ เพียงแต่ ต้องบอกว่า หากทานไขมันก็จะทำให้ลดน้ำหนักได้ช้าลง เพราะร่างกายจะดึงไขมันใหม่ที่เพิ่งทานเข้าไป เอาไปใช้ก่อน เมื่อใช้หมดแล้วถึงจะดึงไขมันที่สะสมไว้ในร่างกายออกไปใช้”
ส่วนผักและผลไม้นั้น คุณหมอว่าทานได้บ้างแต่ต้องเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำตาล
“ในส่วนของผักผลไม้ จะทานได้บ้าง ซึ่งในผัก อาจจะไม่เท่าไหร่เพราะไม่มีน้ำตาล แต่ผลไม้บางชนิดมีน้ำตาลค่อนข้างสูง หมอจึงไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ เพราะทานแล้วอ้วนได้เหมือกัน บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าทานผลไม้แล้วผอมซึ่งไม่จริงเสมอไป เพราะผลไม้บางชนิด อย่างเช่น แตงโม, ส้ม เหล่านี้น้ำตาลเยอะ กินเข้าไปกากใยแทบไม่ได้ ได้แต่น้ำตาลเสียมากกว่า แต่ผลไม้เนื้อแข็งอย่าง แอปเปิ้ล, ฝรั่ง, ชมพู่ เหล่านี้ยังพอไหว”
เตือน! งดคาร์โบไฮเดรต ไม่ปรึกษาแพทย์ อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก SlimLife Medical Weight Loss Center เตือนว่า หากคิดจะลดความอ้วนด้วยวิธีดังกล่าว ควรมาพบแพทย์ เพราะหากลดด้วยตนเอง อาจทำให้ร่างกายขาดเกลือแร่จนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
“การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ ผลที่ได้หรือระดับการลดของน้ำหนัก จะขึ้นอยู่กับแต่ละคน ส่วนใหญ่จะลดได้อาทิตย์ละ 1 กิโลกรัม โดยวิธีไฮโปรตีนฯ นี้สามารถทำได้ตลอด แต่นั่นคือ ตลอดเวลาที่ทำต้องมีการตรวจเลือดอยู่ทุกระยะ เพื่อตรวจเช็คระดับเกลือแร่ในร่างกาย เพราะการงดทานคาร์โบไฮเดรต อาจมีการเปลี่ยนแปลงของเกลือแร่ในเลือดได้
ฉะนั้นคนที่นำวิธีนี้ไปปฏิบัติเอง หมอจึงไม่แนะนำเลย เพราะหากระดับเกลือแร่ในร่างกายของเราไม่สมดุล อันตรายที่อาจเกิดขึ้นคือ เกิดอาการหน้ามืด เวียนศีรษะ บางคนอาจจะมีอาการท้องผูก หรือเป็นตะคริวได้ เพราะการงดทานคาร์โบไฮเดรต มันจะทำให้แคลเซียม (calcium) ในเลือดต่ำด้วย เมื่อแคลเซียมต่ำ ก็จะเป็นตะคริวได้ง่าย ส่วนอาการร้ายแรงที่สุดคือ ร่างกายอาจขาด โพแทสเซียม (potassium) จนส่งผลให้หัวใจเต้นผิวจังหวะ จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ถ้าอยากจะลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้จริงๆ แต่ไม่อยากให้มีผลกระทบมาก อาจจะต้องทานคาร์โบไฮเดรตบ้าง ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับเกลือแร่จากคาร์โบไฮเดรตบ้าง เพื่อไม่ให้เกลือแร่ในร่างกายเปลี่ยนมากเกินไปจนเกิดอันตรายได้ แต่ถ้าเราทานคาร์โบไฮเดรตเข้าไป น้ำหนักก็จะลดลงได้ไม่ค่อยดี เพราะมันจะยังมีการดึงพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตอยู่ มันก็จะไม่ใช่วิธีลดแบบไฮโปรตีนฯ เสียทีเดียว น้ำหนักก็จะลงช้า แต่ก็ปลอดภัยกับร่างกายมากกว่า
ทางที่ดีที่สุดหากจะลดด้วยวิธีไฮโปรตีนฯ คือ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพื่อจะได้มีการตรวจวัดระดับเกลือแร่ในร่างกายอย่างสม่ำเสมอ”
คุณหมออธิบายให้หายข้องใจว่า เหตุใดเมื่อมาลดความอ้วนด้วยวิธีไฮโปรตีนฯ โดยอยู่ในความควบคุมของแพทย์จึงไม่อันตราย ร่างกายยังสมบูรณ์ แถมผิวไม่เหี่ยวย่นอีกต่างหาก
“การทำไฮโปรตีนฯ โดยปกติ แพทย์จะให้ทานวิตามินเสริมอยู่แล้ว เพราะในระหว่างที่ลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ ร่างกายจะไม่ได้วิตามินจากคาร์โบไฮเดรต ฉะนั้นแพทย์จะให้วิตามิน, เกลือแร่ ตลอดจนวิตามินกลุ่มแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ในระดับสูง เพราะฉะนั้นบางคนช่วงลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ อาจคนจะดูดีกว่าช่วงปกติด้วยซ้ำ เพราะปกติอาจจะได้รับวิตามินไม่เพียงพอ แต่พอได้รับวิตามินเพียงพอตามคำแนะนำของแพทย์ผิวพรรณก็ผ่องใสขึ้นมาได้
ส่วนผลกระทบในระยะยาวนั้น ค่อนข้างเบาใจได้ เพราะตราบใดที่เราเช็คเลือด เช็คระดับเกลือแร่อยู่เสมอ ตรวจวัดระดับฮอร์โมนตลอด ในระยะยาวร่างกายค่อนข้างแข็งแรงกว่า การลดความอ้วนด้วยวิธีอื่น เพราะมันเป็นวิธีการลดความอ้วนที่ดูจากข้างในเป็นหลัก ปรับเปลี่ยนการเผาผลาญข้างใน เราไม่ได้ใช้ยา เราไม่ได้อดอาหาร ผลข้างเคียงจึงน้อยกว่า”
คุณหมอชณิศระบุ พร้อมให้ข้อมูลเพิ่มเติมมาว่า แม้การเข้าโปรแกรมลดความอ้วนด้วยวิธีไฮโปรตีนฯ นี้ในระหว่างที่เข้าโปรแกรมจะไม่ได้เน้นให้ออกกำลังกาย ทว่าหลังน้ำหนักคงที่ และกลับไปทานอาหารครบ 5 หมู่ตามปกติแล้ว หากไม่อยากกลับมาอ้วนซ้ำ ต้องหมั่นออกกำลังกายเสมอ เพื่อรักษาระดับน้ำหนักให้คงที่
ท้ายสุด คุณหมอให้ทิปส์ในการดูแลตัวเองง่ายๆ ให้ห่างไกลจากโรคอ้วนว่า ควรรับประทานอาหารครบ 3 มื้อ 5 หมู่, หลีกเลี่ยงอาหารให้พลังงานสูง, ดื่มน้ำอย่างน้อย วันละ 2 ลิตร, ออกกำลังกายเป็นประจำ, นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้ร่าเริง แจ่มใส
แค่นี้คุณก็ห่างไกลจากโรคอ้วนแล้วหล่ะ ^_^
*เก็บตก* บรรยากาศงานสัมมนา “ผอมอย่างปลอดภัย กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน” จัดโดยไลฟ์เซ็นเตอร์
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net