xs
xsm
sm
md
lg

รู้ลึกรู้จริงเรื่อง“ชา” กูรูระดับโลกบินมาแนะวิธีชงดื่มสไตล์อังกฤษแท้ๆ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

By Lady Manager

ชา” เครื่องดื่มยอดฮิต ที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชอบ บ้างติดอกติดใจในรสชาติ บ้างหลงใหลในกลิ่นหอมละมุนชวนดื่ม เมื่อความนิยมที่มีมาอย่างยาวนาน ผสานเข้ากับวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติ ณ วันนี้ “การจิบชา” จึงมิใช่แค่ดื่มเพื่อให้อิ่ม หากแต่ได้กลายเป็นวัฒนธรรมการจิบชาที่แสนละเมียดละไม และแสดงถึงความมีเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคล

ในโอกาสที่กูรูชาระดับโลก มร.สตีเฟ่น ทไวนิ่ง ทายาทรุ่นที่ 10 แห่งตระกูล ทไวนิ่ง (Twining) ผู้ผลิตและจำหน่ายชารายใหญ่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อร่วมเผยแพร่วัฒนธรรมการดื่มชาที่ถูกต้องตามแบบฉบับอังกฤษ ในงาน “Exclusive Tea Training with Mr. Twining”ณ ห้องออเธอร์ส เลานจ์ โรงแรมโอเรียนเต็ล เราจึงไม่พลาดที่จะเก็บสาระความรู้ และเทคนิคดีๆ ในการชงชาให้ได้รสชาติล้ำเลิศ ตามสไตล์อังกฤษแท้ๆ มาบอกต่อ

“เรื่องราวของการจิบชายามบ่าย (Afternoon Tea) เกิดขึ้นจากการที่นางสนองพระโอษฐ์ของ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (ทรงครองราชย์ระหว่างค.ศ.1837-1901) ซึ่งชาวอังกฤษสมัยนั้นรับประทานอาหารกลางวันตอนเที่ยง และทานอาหารเย็นในเวลา 2 ทุ่ม โดยไม่มีการรับประทานอาหารว่าง ฉะนั้นระหว่างวันเมื่อรู้สึกหิว นางสนองพระโอษฐ์คนดังกล่าวจะเลือกชาและอาหารบางชนิดที่เธอชอบมาทานคู่กันในเวลาประมาณ 4 โมงเย็น

กระทั่งครั้งหนึ่ง สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงต้องการที่จะปรึกษาพูดคุยกับเธอในยามบ่าย นางสนองพระโอษฐ์คนดังกล่าว จึงทูลเชิญให้ทรงดื่มชาในยามบ่ายไปด้วย จากนั้นเรื่องของการดื่มในช่วงเวลาบ่าย จึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ออกจากวังกลายมาเป็นการจิบชายามบ่ายกระทั่งปัจจุบัน”

คุณสตีเฟ่น เกริ่นนำถึงที่มาการจิบชายามบ่ายของชาวอังกฤษ พร้อมอธิบายต่อว่า การจิบชาสามารถสะท้อนถึงความสง่างามและสไตล์ (style) ของผู้ดื่มได้ด้วย

“ในอังกฤษ ชาเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึกพิเศษ และสง่างาม เมื่อเป็นเรื่องของความสง่างามจึงเข้าไปเกี่ยวพันกับผู้หญิงเป็นหลัก ตัวผมเองถูกถามเสมอว่า ชาสามารถบ่งบอกถึงสไตล์และรสนิยมของแต่ละคนได้อย่างไร คำตอบคือ ชาเข้าไปอยู่ในชีวิตของทุกคนได้หมด ซึ่งตัวของชาไม่ได้มีสไตล์เป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่สไตล์จะอยู่ที่คนดื่ม นั่นคือ ผู้ดื่มจะเป็นผู้ให้รสนิยมของชาด้วยตัวเขาเอง เช่น บางคนอาจจะไม่ชอบดื่มชาที่เสิร์ฟ (serve) มาแบบใส่ในกาชา ฉะนั้นชุดชาของเขาก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงตัวตนของเขาได้แล้ว”

นอกจากสะท้อนตัวตนได้จากการจิบชาแล้ว ทายาทผู้ผลิตชาชื่อดังย้ำด้วยว่า การจิบชาให้ประโยชน์ต่อร่างกาย แถมเป็นเครื่องดื่มสุดฮิตในการเข้าสังคมอีกต่างหาก

“ประโยชน์ของชาอันดับแรก คือ การช่วยต้านอนุมูลอิสระ และหากดื่มชาโดยไม่ใส่น้ำตาลหรือนม ในชา 1 ถ้วยจะให้พลังงานต่ำกว่า 1 แคลอรี่ (Calorie) นอกจากนี้ชายังช่วยให้ฟันแข็งแรง ช่วยให้ร่างกายไม่ขาดน้ำ เพราะชาจะทำให้เราดื่มได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แทนที่จะดื่มแค่น้ำเปล่าๆ และท้ายที่สุดอาจจะเป็นข้อดีที่ไม่ได้เป็นทางการนัก นั่นคือ ชาเป็นเครื่องดื่มที่ใช้เข้าสังคมมากที่สุด ซึ่งมันเป็นข้อดีที่เราจะได้พบปะสังสรรค์กับเพื่อน และมีความสุขในการดื่มชากับคนที่เรารู้ใจ”

ชาเขียว-ชาขาว-ชาอู่หลง ต่างมีที่มาเป็นอย่างไร?

หลังจากกล่าวถึงที่มาและคุณประโยชน์หลักๆ ของชาไปแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด้านชาได้ให้ความรู้เรื่องชาแต่ละชนิดว่า

“ไม่ว่าชาชนิดใดก็ล้วนมาจากพืชที่ชื่อว่า แคมิเลีย (Camellia) เป็นต้นพืชชนิดเดียวกัน แต่แม้ว่าชาจะมาจากพืชชนิดเดียวกัน แต่การผลิตที่แตกต่างกันก็ทำให้ชาแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน รสชาติของชาเกิดจากสถานที่ผลิตเป็นหลัก ชาที่เกิดจากสถานที่ต่างกันจะมีรสชาติที่แตกต่างกัน เนื่องจากมีจำนวนน้ำฝนที่แตกต่างกัน ความสูงของแหล่งที่ปลูกแตกต่างกัน ทำให้รสชาติที่ได้ต่างกัน

ชาขาว ปกติชาที่ดี เราจะเด็ดมาเฉพาะยอดชาที่มี 3 ใบ เป็นยอดที่กำลังจะผลิใบใหม่ขึ้นมา แต่ว่าชาขาวต่างออกไป เพราะชาขาวจะเลือกเด็ดเพียงใบเดียว คือ ใบที่อยู่ยอดสุด เป็นยอดอ่อนสุดที่เพิ่งแทงยอดออกมา จะมีลักษณะค่อนข้างนิ่ม ปกติชาชนิดอื่นเราเด็ด 3 ใบ แต่ชาขาวจะใช้เฉพาะยอดที่อ่อนที่สุดใบเดียว เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นใบที่ดีที่สุดและกรรมวิธีผลิตชาขาวก็ง่ายที่สุด นั่นคือ หลังเด็ดออกมาแล้วก็แค่ตากแห้งเท่านั้นเอง

ชาเขียว ชาเขียวจะเป็นทฤษฎีเดียวกันคือใช้ 3 ใบจากยอดชา จากนั้นจะมีกระบวนการผลิตคือ เอาชาที่ได้นั้นไปใส่กระทะใบใหญ่แล้วยกขึ้นตั้งไฟ หลังจากไอน้ำที่อยู่ในใบชาถูกกำจัดหมดไป ก็จะเหลือเฉพาะใบชาแห้งๆ รสชาติชาเขียว จะคล้ายกับรสชาติของชาขาว คือ ค่อนข้างบาง ผมชอบเปรียบเทียบชาเขียวว่าเหมือนกับไวท์ขาว นั่นคือ เบาและบาง

ชาอู่หลง เป็นชาที่เอาออกซิเจน (Oxygen) ออกจากใบชาแค่ครึ่งเดียว นั่นคือ ตากให้ใบชาแห้งลงมาแค่ครึ่งเดียวทำให้สีของใบชาเปลี่ยนไป จากสีเขียวก็กลายเป็นสีน้ำตาลขึ้นมา

ชาดำ คือ การที่เอาออกซิเจนออกจากใบชาทั้งหมด 100% สีใบชาจะเปลี่ยนไป จากการที่ตัดใบชาออกมา และทิ้งไว้ในอากาศ เพื่อเอาออกซิเจนออกจากใบชาให้หมด ทำให้สีของใบชาเปลี่ยนไป และรสชาติของชาก็จะเข้มขึ้น”

เคล็ดลับการชงชาให้ได้รสชาติเลิศ!

เมื่อได้รับทราบข้อมูลความรู้เรื่องชากันแน่นปึ๊กแล้ว ทายาทตระกูลทไวนิ่งไม่ลืมที่จะนำเคล็ดลับสำคัญ เพื่อการชงชาให้ได้รสชาติเลิศตามสไตล์อังกฤษแท้ๆ มาบอกกล่าวให้ได้ทราบกัน

เคล็ดลับ1 : อุ่นกาใส่ชาให้ร้อนก่อนเสมอ

“ขั้นตอนแรกของการที่จะทำให้สามารถดึงรสชาติของชาได้มากที่สุด คือ ใส่น้ำร้อนเข้าไป แล้ววนรอบในกา แล้วจึงเททิ้ง เพื่อเป็นการวอร์ม (warm = อุ่น) ทำให้การ้อนก่อน

สาเหตุที่ต้องวอร์มเพราะว่าใบชาต้องการความร้อน ในการที่จะดึงรสชาติเต็มๆ ของมันออกมาให้ได้ ถ้าชงชาในกาที่เย็น จะทำให้น้ำร้อน ร้อนน้อยลง เราจึงต้องวอร์มกา เพื่อให้ความร้อนภายในกาเท่ากับ ความร้อนของน้ำเสียก่อน


เคล็ดลับ2 : จำนวนชาต้องพอเหมาะ อุณหภูมิน้ำเดือดต้องเป๊ะ!

เมื่อถามถึงวิธีการชงชาว่าควรจะใส่จำนวนชาเท่าไหร่ในกา นักชงชามักจะแนะนำว่าใช้ชา 1 ช้อนสำหรับคนหนึ่งคน แล้วบวกเข้าไปอีก 1 เสมอ สมมติชงชาสำหรับ 4 คนก็ใช้ชา 4 ช้อนบวกอีก 1 ช้อน รวมเป็น 5 ช้อน นั่นคือ เผื่อไว้อีก 1 ช้อนเสมอ และเมื่อชงแล้ว หากว่าชารสเข้มเกินไป คราวต่อไปก็ให้ลดจำนวนชาลง แต่ถ้าชอบให้เข้มมากๆ ก็ใส่เพิ่มเข้าไปอีก

ทั้งนี้ความเข้มของชา จะขึ้นอยู่กับจำนวนน้ำ และจำนวนชาเป็นหลัก สำหรับชาดำ ควรใช้อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียล นั่นคือ อุณหภูมิน้ำเดือด เมื่อน้ำเดือดแล้วก็ให้ใส่น้ำร้อนเข้าไปในชาได้เลย ไม่ควรทิ้งน้ำให้เดือดนานๆ เพราะถ้าปล่อยให้น้ำเดือดมากเกินไป ออกซิเจนในน้ำจะหายไป ทำให้รสชาติน้ำเปลี่ยน

ส่วนกรณีของชาขาว, ชาเขียว, ชาอู่หลง จะใช้อุณหภูมิที่ต่ำกว่าเล็กน้อย เมื่อน้ำเดือดแล้ว เราอาจจะต้องปิดไฟแล้วรอสัก 2-3 นาที เพื่อให้อุณหภูมิของน้ำลดลงเล็กน้อย เหตุผลเพราะชา 3 ประเภทนี้เป็นชาที่ละเอียดอ่อนกว่า ถ้าเราใช้น้ำ 100 องศาเซลเซียสจะทำให้ชา 3 ประเภทนี้ขมเกินไป

เคล็ดลับ3 : ชาแบบซองไม่ต้องแกว่ง แต่ต้องใช้เวลา

หลายคนนิยมนำชาที่เป็นซองมาชงดื่ม ซึ่งสิ่งที่ยากคือ หลายคนไม่รู้ว่าต้องทิ้งระยะเวลาไว้นานเท่าไหร่ มีคนจำนวนมาก คิดว่าเมื่อเทน้ำร้อนลงไป หลังผ่านไป 30 วินาที แล้วทำการกระตุกถุงชา ทำให้น้ำเริ่มเปลี่ยนสี นั่นคือ ชาแล้ว

แต่ความจริงแล้วมันผิด สิ่งที่คุณเห็นในแก้วชา มันเป็นแค่น้ำที่มีสีเหมือนชาเท่านั้น แต่รสชาติของมันยังไม่ใช่ชา เพราะแท้จริงแล้วการชงชาต้องใช้เวลาประมาณ 3 นาที ถึงจะดึงรสชาติจริงๆ และคุณภาพที่ดีที่สุดของชาออกมาได้ ข้อสำคัญอีกอย่างคือ ไม่ควรกระตุกซองชา ควรปล่อยไว้นิ่งๆ อย่างนั้นแล้วรอจนกว่าจะครบ 3 นาที แล้วจึงค่อยนำถุงชาออก

เคล็ดลับ4 : สุขสันต์กับการดื่มชาตามสไตล์คุณเอง

วิธีการง่ายที่สุดที่จะทำให้ชารสชาติดีคือ การทำใจให้มีความสุขกับมัน และเลือกดื่มตามความชอบของตัวเอง เพราะแต่ละคนจะมีความชอบไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบดื่มชาใส่มะนาว บางคนอาจจะชอบดื่มชาใส่นม บางคนอาจจะดื่มชาเปล่าๆ อันนี้แล้วแต่คนชอบ

แต่โดยส่วนตัวผมเอง หากเป็นชาเขียว ชาขาว และอู่หลง ผมดื่มโดยไม่ใส่นม แต่สำหรับชาดำ หากจะใส่นมก็แล้วแต่ความชอบ เรื่องนี้ไม่มีถูกไม่มีผิด ตราบใดที่แต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกัน เราสามารถที่จะแต่งเติมรส เพื่อเพิ่มความสุขให้กับตัวเองได้เสมอ” มร.สตีเฟ่น อธิบายถึงเทคนิคสำคัญเพื่อการชงชาให้ได้รสอร่อย
*ทิปส์แถมท้าย 

-เพื่อรักษาคุณภาพของชา ควรเก็บใบชาไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดสนิทไม่ให้อากาศเข้า และไม่วางรวมกับของที่มีกลิ่นแรง เพราะชาจะดูดซับกลิ่นของสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง

-ไม่ควรใช้น้ำที่เคยผ่านการต้มมาแล้วหลายครั้งมาชงชา เพราะน้ำที่ต้มหลายครั้งจะมีปริมาณออกซิเจนน้อย ส่งผลให้น้ำมีรสชาติชืด นำมาชงชาจึงไม่อร่อย

-ควรล้างกาชงชาให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะหากนำกาชาที่มีคราบชาฝังแน่น (ล้างกาไม่สะอาด จนมีคราบชา สีน้ำตาลติดอยู่โดยรอบ) มาชง จะทำให้น้ำชาที่ได้มีรสชาติขมเกินควร เคล็ดลับในการล้างกาชงชาให้สะอาด คือ ใช้โซดาไบคาร์บอเนต 2 ช้อนชา เทลงในกาที่มีน้ำเดือดอยู่ จากนั้นแช่ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ล้างเบาๆ อีกที คราบชาก็จะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย

-เพื่อให้รสเลิศยิ่งขึ้น ก่อนเสิร์ฟ ควรหมุนวนกาน้ำชาสักสามรอบก่อนเสิร์ฟ ที่สำคัญ หลังชงชาเสร็จ ควรเสิร์ฟทันที เพราะหากปล่อยไว้นานเกิน 10 นาที จะทำให้รสชาติชาเปลี่ยน


::เก็บตก

บรรยากาศจิบชาแสนละเมียดในงาน “Exclusive Tea Training with Mr. Twining”




>>
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น