ราว 10 ปีก่อน ในงานการกุศลระดมทุนเพื่อช่วยเหลือช้างที่ประสบอุบัติเหตุบนท้องถนน...
ณ วันนั้น ‘ La vie en rose’ บทเพลงที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยหลงรัก ถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงหวานซึ้งของเด็กสาววัย18 ปีผู้หนึ่งซึ่งขับกล่อมผู้คนในงานให้เคลิบเคลิ้มดื่มด่ำ กระทั่งโปรดิวเซอร์จากค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ที่มีโอกาสได้ร่วมงานในค่ำคืนดังกล่าว ต้องเดินเข้าไปทาบทามให้เด็กสาวผู้นั้นมาเป็น ‘นักร้อง’ อย่างเต็มตัว และเพียงเพลงแรกของเธอถูกเผยแพร่สู่สาธารณะก็ได้รับการยอมรับอย่างน่าพอใจ ทั้งสามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรติจากจากสมาคมนักข่าวบันเทิงมาครอบครอง
จวบจนวันนี้ เป็นระยะเวลาหนึ่งทศวรรษแล้วที่เธอยังคงยืนหยัดอยู่ในวงการซึ่งครั้งหนึ่งเธอเคยถูกครหาทำนองว่า...'ก็แค่ไฮโซที่มาร้องเพลงเป็นงานอดิเรก'
เธอคือ มิ้นท์-อรรถวดี จิรมณีกุล นักร้องสาวสวยทายาทนักธุรกิจผู้นำเข้านาฬิกาและสินค้าแบรนด์เนมที่คนในแวดวงสังคมรู้จักเป็นอย่างดี หญิงสาวผู้ตัดสินใจก้าวขึ้นมายืนอยู่บนเวทีที่แสงสปอร์ตไลต์สาดส่องในฐานะนักร้อง เป็นหนึ่งใน DIVA ของวงการเพลงไทยที่ผู้ฟังให้การยอมรับ
“มิ้นท์เริ่มเข้าวงการตอนอายุประมาณ 18 ปี ตอนนั้นมิ้นท์ยังเด็กมาก แล้วก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากกับการทำงานในวงการนี้ มิ้นท์มีแต่ใจที่รักดนตรี แล้วก็ทำงานด้วยความตื่นเต้นและดีใจกับที่มีผลงานของตัวเองออกมา
"ตอนนั้นถามว่ากดดันไหม? ก็มีบ้าง เพราะเมื่อครั้งที่ปล่อยซิงเกิ้ลแรกออกมา มิ้นท์ก็เห็นกระทู้ตามที่ต่างๆ ที่เขาว่าเรา รู้สึกท้อ ทำไมคนต้องตัดสินเราจากภายนอก ตัดสินเราจากรูปลักษณ์ ตัดสินเราจากชื่อหรือนามสกุลโดยที่ยังไม่ได้ฟังเพลงของเราเลย แต่พอคนได้ฟังเพลงของเรา เสียงพวกนั้นก็เริ่มหายไปเรื่อยๆ ซึ่งมิ้นท์ก็ดีใจ อย่างเพลง ‘รักเธอที่สุด’ นี่ บอกได้เลยค่ะว่ามิ้นท์ต้องขอบคุณเพลงนี้ ขอบคุณทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเพลงนี้ เพราะนี่เป็นเพลงที่ทำให้หลายๆ คนรู้จักมิ้นท์ในฐานะนักร้อง เพลงนี้ได้รับถึง 3 รางวัล ค่ะ คือได้รางวัลเพลงยอดเยี่ยม, คำร้องยอดเยี่ยมและเรียบเรียงเสียงประสานยอดเยี่ยมจากงานประกาศรางวัลผลงานบันเทิงดีเด่นประจำปี 2002 ของสมาคมนักข่าวบันเทิง แต่ก็น่าเสียดายที่ปีนั้นมิ้นท์ต้องกลับไปเรียนต่อที่อังกฤษ มิ้นท์ก็เลยไม่ได้อยู่รับรางวัล"
แม้ช่วงที่เริ่มก้าวเข้าสู่วงการ คำครหาทำนองว่า 'เธอเป็นคุณหนูที่หาเวลาว่างมาร้องเพลงเป็นงานอดิเรก' จะมีให้ได้ยินบ่อยครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอคนนี้มุ่งมั่นและทุ่มเทกับให้กับการเรียนและเล่นดนตรีมาเนิ่นนาน นับแต่ก่อนที่เธอจะได้รับโอกาสในการก้าวเข้ามาสู่การเป็นนักร้องเต็มตัวเสียอีก
“ตอนอายุ 11-16 ปี มิ้นท์เรียนอยู่โรงเรียน Le Rosey ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ตอนนั้นมิ้นท์หัดเล่นเปียโนแล้วก็เล่นฟรุตในวงดนตรีคลาสสิคของโรงเรียนด้วยค่ะ สำหรับมิ้นท์ เพลงคลาสสิคทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมผ่านดนตรี เหมือนเป็นรากเหง้าของดนตรีทุกแขนงในโลกก็ว่าได้ แล้วมิ้นท์ก็ร้องเพลงโอเปร่า ร้องเพลงในวงประสานเสียง มิ้นท์ร้องเสียงโซปราโน่ แล้วก็ร้องเพลงป๊อบในวงดนตรีป๊อบของโรงเรียนด้วย
“ส่วนตอนเรียน Heathfield College ที่อังกฤษ เทียบได้กับการเรียนชั้น ม.5-ม.6 ของไทย ตอนนั้นมิ้นท์ก็ได้เรียนรู้การเป็นวาทยากรควบคุมวงดนตรีด้วย ในระบบการเรียนของอังกฤษ เขาจะให้เราเลือกเรียนวิชาที่เราสนใจแค่ 3 วิชา แต่ต้องเรียนให้ลึกในวิชานั้นๆ มิ้นท์เลือกเรียนภาษาฝรั่งเศส เรียนเศรษฐกิจ แล้วเรียนดนตรีค่ะ
“มิ้นท์เป็นคนเดียวในห้องที่เรียนวิชาดนตรี ซึ่งต้องสอบภาคปฏิบัติ มิ้นท์ก็ต้องเรียบเรียงดนตรีแล้วก็ควบคุมวง มิ้นท์เลือกที่จะควบคุมวงประสานเสียง เป็นนักร้องผู้หญิง 50 คน เพลงที่มิ้นท์เรียบเรียงก็เป็นแนวคลาสสิค ความยากที่สุดก็อยู่ที่การควบคุมวงนี่แหละค่ะ แต่ก็สอบผ่านค่ะ ก็ได้เรียนวิชาดนตรีอย่างที่ตั้งใจไว้”
และแม้วันนี้ ตำแหน่งแห่งที่ในการเป็นนักร้องของเธอคล้ายจะปักหลักได้อย่างมั่นคงในที่ทางเฉพาะตัว กระนั้น มิ้นท์ก็ยังมีความหวังและความฝันอีกมากมายในวงการเพลง
“มิ้นท์จะตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่ามิ้นท์จะมีส่วนร่วมในอัลบั้มมากขึ้นมากขึ้นทุกอัลบั้ม ตัวมิ้นท์เอง มิ้นท์หวังอยากให้งานของมิ้นท์ ‘เติบโตขึ้น’ ได้สื่อถึงตัวตนของมิ้นท์ที่คนอื่นอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อน คำว่า ‘เติบโต’ ก็คือเนื้อหาของเพลงนิ่งขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้เนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่ของมิ้นท์ ถ้ารักก็รักที่สุด ถ้าเสียใจก็ร้องไห้ฟูมฟาย
ค่อนข้างดราม่า เป็นอะไรที่ ‘สุดๆ ไปเลย’ แต่โตขึ้นแล้วก็จะนิ่งขึ้น ไม่ต่างจากมุมมองชีวิตของเราที่เริ่มรู้ว่า ‘อะไรเป็นอะไร’ เวลาเสียใจก็รู้นะ ยอมรับว่าเราเสียใจ แต่เราก็รู้ว่า 'พรุ่งนี้' จะดีขึ้น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่างเอง”
เธอยังคงอยากแต่งเพลงและร้องเพลงที่สัมผัสใจคนฟัง หวังจะเสริมท่วงทำนองจากเปียโนที่ตนเล่นสอดแทรกเข้าไปในบทเพลงรักหวานซึ้งที่แต่งขึ้นเองในสักวัน
“ที่มิ้นท์ตั้งเป้าไว้ในอนาคตก็คือมิ้นท์อยากนำดนตรีที่มิ้นท์เล่นเองมาใช้ในอัลบั้มด้วย ซึ่งมิ้นท์ยังไม่เคยทำเลย ทุกวันนี้มิ้นท์ยังเล่นเปียโนอยู่เรื่อยๆ แต่ยังไม่เคยนำมาใช้และยังไม่เคยทำเพลงเองแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ผ่านมามิ้นท์เพียงแค่มีส่วนร่วม เช่นอัลบั้มที่ 3 บางเพลงมิ้นท์แต่งเนื้อเพลงเอง ส่วนอัลบั้มที่ 4 มิ้นท์เขียนทำนองเพลงเอง 2 เพลง ดังนั้นอัลบั้มหน้า มิ้นท์ก็หวังว่าอย่างน้อยจะมีสักเพลงที่มิ้นท์ได้ทำทั้งเนื้อเพลงและทำนองเพลง มิ้นท์เป็น ‘เพอร์เฟคชั่นนิสต์’ ค่ะ ถ้ายังทำเองได้ 'ไม่ดีที่สุด' มิ้นท์จะยังไม่ทำ จะให้พี่ๆ ท่านอื่นที่มีความสามารถมากกว่าเราช่วยทำให้ แต่ถ้าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราทำได้ก็อยากจะทำ”
มิ้นท์ยอมรับว่าตนเองเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีหลายด้าน มีหลายมุม เธอยอมรับว่ายังมีความเป็นสาวขี้เล่น ซุกซน แสนงอน และในอนาคตอาจจะลุกขึ้นมาปรับโฉมให้เซ็กซี่มากกว่านี้อีกก็เป็นได้...ใครจะรู้ ยังมีอีกหลายสิ่งที่เธออยากทำและอยากมอบให้แฟนเพลงของเธอ
แต่ระหว่างรอแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการเขียนเพลง เธอก็ยังคงเป็น ‘มิ้นท์’ ที่ทั้งสวย ทั้งเก่ง ไม่ยอมให้เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างเปล่าดาย เพราะทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เธอยังก้าวเข้ามารับหน้าที่ ‘Vice President’ คอยดูแลด้านการตลาดให้กับธุรกิจร้านนาฬิกาของครอบครัว ทั้งรับหน้าที่เจรจาติดต่อธุรกิจกับผู้ร่วมทุนชาวต่างชาติ โดยใช้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปนที่เธอชำนาญให้เป็นประโยชน์ ทั้งพร้อมนำความรู้ด้าน International Business With French and Spanish ที่เธอร่ำเรียนมาจาก European Business School London มาใช้ในการบริหารธุรกิจอย่างเต็มความสามารถ
ใช่เพียงเท่านั้น เธอคนนี้ยังหาเวลาไปศึกษาหลักสูตรผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย ที่สถาบันพระปกเกล้าในทุกๆ วันเสาร์อีกด้วย และไม่ว่าจะสวมหมวกเป็นสาวนักธุรกิจหรือนักเรียนการเมืองการปกครอง ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงยืนยันว่าทุกสิ่งทุกอย่างในทุกๆ บทบาทของชีวิต ล้วนเป็นแรงบันดาลใจให้เธอในการสร้างสรรค์งานเพลง
ดังที่มิ้นท์ย้ำว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งอาชีพนักร้อง เพราะมันคือสิ่งที่เธอรักและทำให้เธอมีความสุข
“มิ้นท์มีความสุขทุกครั้งที่ได้ร้องเพลง รู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุน เป็นความสุขที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ และทุกครั้งที่เล่นคอนเสิร์ตแล้วมีคนร้องเพลงของเราได้ นั่นเป็นสิ่งที่วิเศษมากๆ สำหรับมิ้นท์เลยค่ะ”
หากการเป็นทั้งนักธุรกิจ นักร้อง นักแสวงหาความรู้ นักศึกษาผู้สนใจระบอบการเมืองการปกครอง เปรียบได้กับ ‘องศา’ ที่ทำมุมหมุนแผกแตกต่างกัน เช่นนั้นแล้วก็คงไม่เกินเลยความจริงนักถ้าจะกล่าวว่า หญิงสาวคนนี้ 'สวยทุกองศา'
....ไม่ว่าจะมองมุมไหน
….......
เรื่องโดย : นางสาวยิปซี
ภาพโดย : วรงค์กรณ์ ดินไทย
เอื้อเฟื้อสถานที่โดย : โรงแรมโฟร์ซีซั่น กรุงเทพฯ