ยังเป็นข่าวครึกโครมไม่เลิกรา …ค้นเจอกลูต้าไธโอน(Glutathione) ของปลอมในคอนโดฯบ้าง จับคาหนังคาเขากำลังฉีดกลูต้าฯในรถแถวลานจอดรถบ้าง…
เจ้ากลูต้าฯ “ดัง” เพราะได้ “ผล” สามารถเนรมิตผิวสาวให้ขาวได้หลังจากฉีดไปแค่ 1-2 ครั้ง หรือกินไปเพียง 1 เดือน ทว่าภาพพจน์กลายเป็นเหมือน “ยาอันตราย” เพราะพวกหัวหมอผลิตกลูต้าฯปลอมขายเกลื่อนตลาด บรรยากาศการซื้อขายหรือแม้กระทั่งลักษณะการฉีด กลายเป็นข่าว คล้ายตำรวจจับยาเสพติดซะงั้น
จึงต้องทำความรู้จักอย่างถ่องแท้ จริงๆ แล้ว กลูต้าฯคืออะไร ..ทำให้ผิวขาวได้จริงหรือ ..ปัญหากลูต้าฯในบ้านเรามาจากไหน ฯลฯ เราไปคุยกับ แพทย์หญิงนันท์ภัทร์ สุภาพรรณชาติ แห่ง Apex Profound Beauty และสรุปมาให้ท่านผู้อ่าน 4 ประเด็นหลัก เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะ
เรื่องที่ 1
กลูต้าไธโอนเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์มาก
ในอเมริกาสมัยก่อนถือว่ากลูต้าไธโอนเป็นอาหารเสริม ทั้งทางกินและทางฉีด
หมอนันทภัทร์ อธิบายการฉีดว่า เป็นการฉีดในอาหาร อย่างอาหารที่ให้คนป่วยนอนในโรงพยาบาล คล้ายกรดอะมิโน(Amino acid) โปรตีนย่อยชนิดหนึ่ง
“กลูต้าฯเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ตัวเดียวในร่างกาย ที่ร่างกายสร้างขึ้นเองเพื่อกำจัดอนุมูลอิสระ (Free radicals) เนื่องจากตัวมันเองเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็เอาไปรักษาโรคต่างๆ มากมาย สมัยก่อนใช้เรื่องแก้พิษตับ ต่อมามีคนเอาไปรักษาโรคพาร์กินสัน(Parkinson’s disease) ฉีดเสร็จปุ๊บหายไป 3 วัน คนไข้ก็ฉีดไปเรื่อยๆ และเอาไปช่วยเรื่องของมะเร็ง การก่อตัวของมะเร็ง คือ ภาวะอักเสบในร่างกายเยอะๆ ก็เอาแอนตี้ออกซิแดนท์ไปลดการอักเสบ
ระยะหลังก็เป็นเรื่องของแอนตี้เอจจิ้ง(Anti-aging) ทำไงให้ไม่แก่ ทฤษฎีของความแก่ ก็คือ มีสารอนุมูลอิสระเยอะ เค้าก็เอาตัวนี้ไปลดอนุมูลอิสระ ทำไปทำมากลูต้าฯทำให้ผิวขาว เพราะมันทำงานเกี่ยวกับเอมไซม์การสร้างสีตัวหนึ่ง ทำให้การสร้างเม็ดสีถูกเปลี่ยนจากเม็ดสีที่ค่อนข้างคล้ำไปเป็นเม็ดสีที่ค่อนข้างขาวขึ้น ในเอเชียฮิตกันมาก ทางฟิลิปปินส์ใช้กันเยอะ”
นั่นคือ ที่มาของกระแสฮิต อยากขาวต้องฉีดกินกลูต้าฯ
เรื่องที่ 2
แค่ช่วยปรับสีผิวให้อ่อนลง ไม่ใช่ขาวจั๊วะ ขาวนาน
แม้ว่ากลูต้าฯจะสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่หมอนันท์เผยว่า
“เวลายาออกมา มันจะมีบอกว่าใช้เพื่ออะไร ซึ่งเจ้ากลูต้าฯไม่ได้มีบอกว่าเพื่อผิวขาว และหมอก็ไม่ควรเอาไปใช้เพื่อผิวขาว”
หมอนันท์ไม่แนะนำให้ตั้งใจฉีดเพื่อผิวขาวโดยตรง แต่ถ้าฉีดเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ฉีดเรื่องแอนตี้เอจจิ้ง และได้ผลพลอยได้เป็นผิวขาวผ่องขึ้น
“คนอเมริกันฉีดกลูต้าฯเพื่อล้างพิษ โดยฉีดปีละครั้ง เพื่อแอนตี้ออกซิแดนท์หรือแอนตี้เอจจิ้งบ้าง 10 ครั้งเลิกกัน เดือนละหน หรือสองเดือนหน สามเดือนหน ไม่ได้ฉีดเพื่อเปลี่ยนสีผิว”
เพื่อนเราเคยไปฉีดกลูต้าฯเพียง 2 ครั้งก็เห็นผล แต่แค่เปลี่ยนเฉดสีนิดหน่อย ผ่องขึ้น ไม่ได้ขาวใสปิ๊งถึงกับออร่าออก โดดเด่นมาแต่ไกล
“ฉีดให้ขาวมันไม่คุ้ม เพราะต้องฉีดไปเรื่อยๆ”
เหมือนกับดาราสตรีข้ามเพศที่นอกจากเจื๋อนช้างน้อย กลายเป็นสาวสวยขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะ จนผู้ชายแท้ๆ ยังอยากกิน! แหล่งข่าวใกล้ชิดบอกเราว่า เธอไปฉีดกลูต้าฯทุกสัปดาห์ด้วยแน่ะ
“พี่ไทยเราเล่นอาทิตย์ละครั้ง หวังเรื่องผิวขาวเป็นหลัก ฉีดเยอะมาก ซึ่งอะไรก็ตามที่มากเกินไปไม่ใช่ว่าดี”
หมอเตือนในสัจธรรมแห่งความงาม และถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานเรื่องมะเร็ง หมอหลายคนก็คาดคะเนว่า หากเกิดผิวขาวแบบฝรั่ง ผิวจะอ่อนไหวง่ายเหมือนฝรั่ง อาจเป็นมะเร็งผิวหนังเหมือนฝรั่งได้ ฉะนั้นจงอย่าฉีดหรือกินกระหน่ำมากเกินไป
“กินกลูต้าฯเสริมเข้าไปก็ได้ หนึ่งเดือนก็เห็นผล”
ทว่าต้องดูยี่ห้อดีๆ นะคะว่า ผ่านการรับรองจากอย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)ล่ะยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต
เรื่องที่ 3
ระวัง! กลูต้าฯปลอมเกลื่อน แถมไม่ได้ฉีดโดยหมอ
กลูต้าฯไม่ใช่ยาอันตราย ไม่ใช่ยาผิดกฎหมาย หากปัญหาบ้านเราคือ ของปลอมตรึมไปหมด แถมบริการฉีดให้ฟรีตามห้องน้ำบ้างลานจอดรถบ้าง ดังที่เป็นข่าว
“ภาพพจน์กลูต้าฯกลายเป็นอันตรายไป เพราะมีกระบวนการผิดวิธี คือ ยาที่นำมาฉีดเป็นยาที่ไม่ได้มาตรฐาน และมีการฉีดเองโดยใครไม่รู้ มันก็เลยต้องถูกห้ามใช้ไง”
หมอนันท์เล่าว่า แม้แต่แพกเกจของปลอมก็เลียนแบบเหมือนของจริงเป๊ะ ขนาดหมอเองยังกลัวซื้อผิดเลย ต้องเดินทางไปซื้อเองที่อเมริกาเพื่อความชัวร์
“การที่จะฉีดอะไรเข้าไปในร่างกายเรา มันอันตรายมาก ไม่ว่าอะไรก็ตามอย่าว่าแต่กลูต้าฯเลย ฉีดวิตามินก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นยาที่เราฉีดเข้าไปในร่างกายต้องผ่านการผลิตที่ได้มาตรฐาน แล้วต้องศึกษามานานว่า เมื่อฉีดยาชนิดนี้เข้าเส้นเลือดคนไข้แล้วไม่แพ้ ไม่มีปัญหา
บางทีเราอาจไม่แพ้กลูต้าฯ แต่อาจแพ้สารปนเปื้อนที่อยู่ในนั้น พวกของปลอมมักมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน สิ่งแปลกปลอมหลงเข้าไป พวกนี้คิดว่า ผลิตได้ถูกๆ เหมือนโบท้อกซ์(Botox) ก็ไปทำกันเอง”
และไม่ว่าจะฉีดอะไรเข้าไปในร่างกาย ต้องฉีดโดยหมอผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
“สามารถช่วยเหลือได้ทันทีถ้าเกิดอาการแพ้ขึ้นมา เพราะในการฉีด สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือ การแพ้เฉียบพลัน ถ้าหมออยู่ตรงนั้น ก็มั่นใจได้ว่าช่วยเราได้”
เรื่องที่ 4
ยังไม่มีใครเอากลูต้าฯชนิดฉีดไปขึ้นทะเบียนอย.
เน้นย้ำอีกครั้งว่า กลูต้าฯไม่ใช่ยาไม่ได้มาตรฐาน แต่สถานภาพกลูต้าฯชนิดฉีดยังไม่ได้จดทะเบียนเข้าอย.
“พูดง่ายๆ มันเป็นยาที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน อยู่ดีๆ เอาไปซี้ซั๊วใช้ไม่ได้ และก็ไม่ได้แปลว่าอย.เราไม่ยอมรับนะ แค่ว่าไม่มีใครเอาไปขึ้นทะเบียน”
หมอนันท์ เล่าสภาพเท็จจริงให้ฟังว่า
“เพราะขี้เกียจ กระบวนการต้องรอ 2-3 ปี เสียค่าใช้จ่ายไม่คุ้ม พวกเราในฐานะหมอก็ใช้กันเองซึ่งไม่ผิด เพราะเป็นยามะเร็ง เราเอาไปใช้เพื่อรักษามะเร็ง และมีกฎหมายรองรับกรณีหมอคุยกับคนไข้กันเอง ยาตัวนี้ที่เมืองนอกใช้รักษามะเร็ง แต่ในเมืองไทยยังไม่มี ต้องไปเอายาตัวนี้มาใช้นะ
และแม้แต่เอากลูต้าฯมาฉีดก็ไม่ผิด หมอกับคนไข้คุยกันเองได้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์และคนไข้ ตกลงรับรู้กันเองว่าใช้ได้แค่ไหน”
แต่ต้องเป็นกลูต้าฯของแท้ ได้มาตรฐานผลิตจากเมืองนอก อย่าง อเมริกา ไม่ใช่ขนเข้ามาจากแถวเวียดนาม หรือจากหาดใหญ่!! ที่สำคัญ หมอต้องมีจรรยาบรรณ อย่าฉีดกระหน่ำ หวังเม็ดเงินเข้ากระเป๋า มากกว่าคุณประโยชน์ด้านความงามและสุขภาพแก่คนไข้!!!
เจ้ากลูต้าฯ “ดัง” เพราะได้ “ผล” สามารถเนรมิตผิวสาวให้ขาวได้หลังจากฉีดไปแค่ 1-2 ครั้ง หรือกินไปเพียง 1 เดือน ทว่าภาพพจน์กลายเป็นเหมือน “ยาอันตราย” เพราะพวกหัวหมอผลิตกลูต้าฯปลอมขายเกลื่อนตลาด บรรยากาศการซื้อขายหรือแม้กระทั่งลักษณะการฉีด กลายเป็นข่าว คล้ายตำรวจจับยาเสพติดซะงั้น
จึงต้องทำความรู้จักอย่างถ่องแท้ จริงๆ แล้ว กลูต้าฯคืออะไร ..ทำให้ผิวขาวได้จริงหรือ ..ปัญหากลูต้าฯในบ้านเรามาจากไหน ฯลฯ เราไปคุยกับ แพทย์หญิงนันท์ภัทร์ สุภาพรรณชาติ แห่ง Apex Profound Beauty และสรุปมาให้ท่านผู้อ่าน 4 ประเด็นหลัก เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะ
เรื่องที่ 1
กลูต้าไธโอนเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์มาก
ในอเมริกาสมัยก่อนถือว่ากลูต้าไธโอนเป็นอาหารเสริม ทั้งทางกินและทางฉีด
หมอนันทภัทร์ อธิบายการฉีดว่า เป็นการฉีดในอาหาร อย่างอาหารที่ให้คนป่วยนอนในโรงพยาบาล คล้ายกรดอะมิโน(Amino acid) โปรตีนย่อยชนิดหนึ่ง
“กลูต้าฯเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) ตัวเดียวในร่างกาย ที่ร่างกายสร้างขึ้นเองเพื่อกำจัดอนุมูลอิสระ (Free radicals) เนื่องจากตัวมันเองเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็เอาไปรักษาโรคต่างๆ มากมาย สมัยก่อนใช้เรื่องแก้พิษตับ ต่อมามีคนเอาไปรักษาโรคพาร์กินสัน(Parkinson’s disease) ฉีดเสร็จปุ๊บหายไป 3 วัน คนไข้ก็ฉีดไปเรื่อยๆ และเอาไปช่วยเรื่องของมะเร็ง การก่อตัวของมะเร็ง คือ ภาวะอักเสบในร่างกายเยอะๆ ก็เอาแอนตี้ออกซิแดนท์ไปลดการอักเสบ
ระยะหลังก็เป็นเรื่องของแอนตี้เอจจิ้ง(Anti-aging) ทำไงให้ไม่แก่ ทฤษฎีของความแก่ ก็คือ มีสารอนุมูลอิสระเยอะ เค้าก็เอาตัวนี้ไปลดอนุมูลอิสระ ทำไปทำมากลูต้าฯทำให้ผิวขาว เพราะมันทำงานเกี่ยวกับเอมไซม์การสร้างสีตัวหนึ่ง ทำให้การสร้างเม็ดสีถูกเปลี่ยนจากเม็ดสีที่ค่อนข้างคล้ำไปเป็นเม็ดสีที่ค่อนข้างขาวขึ้น ในเอเชียฮิตกันมาก ทางฟิลิปปินส์ใช้กันเยอะ”
นั่นคือ ที่มาของกระแสฮิต อยากขาวต้องฉีดกินกลูต้าฯ
เรื่องที่ 2
แค่ช่วยปรับสีผิวให้อ่อนลง ไม่ใช่ขาวจั๊วะ ขาวนาน
แม้ว่ากลูต้าฯจะสามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่หมอนันท์เผยว่า
“เวลายาออกมา มันจะมีบอกว่าใช้เพื่ออะไร ซึ่งเจ้ากลูต้าฯไม่ได้มีบอกว่าเพื่อผิวขาว และหมอก็ไม่ควรเอาไปใช้เพื่อผิวขาว”
หมอนันท์ไม่แนะนำให้ตั้งใจฉีดเพื่อผิวขาวโดยตรง แต่ถ้าฉีดเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ฉีดเรื่องแอนตี้เอจจิ้ง และได้ผลพลอยได้เป็นผิวขาวผ่องขึ้น
“คนอเมริกันฉีดกลูต้าฯเพื่อล้างพิษ โดยฉีดปีละครั้ง เพื่อแอนตี้ออกซิแดนท์หรือแอนตี้เอจจิ้งบ้าง 10 ครั้งเลิกกัน เดือนละหน หรือสองเดือนหน สามเดือนหน ไม่ได้ฉีดเพื่อเปลี่ยนสีผิว”
เพื่อนเราเคยไปฉีดกลูต้าฯเพียง 2 ครั้งก็เห็นผล แต่แค่เปลี่ยนเฉดสีนิดหน่อย ผ่องขึ้น ไม่ได้ขาวใสปิ๊งถึงกับออร่าออก โดดเด่นมาแต่ไกล
“ฉีดให้ขาวมันไม่คุ้ม เพราะต้องฉีดไปเรื่อยๆ”
เหมือนกับดาราสตรีข้ามเพศที่นอกจากเจื๋อนช้างน้อย กลายเป็นสาวสวยขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะ จนผู้ชายแท้ๆ ยังอยากกิน! แหล่งข่าวใกล้ชิดบอกเราว่า เธอไปฉีดกลูต้าฯทุกสัปดาห์ด้วยแน่ะ
“พี่ไทยเราเล่นอาทิตย์ละครั้ง หวังเรื่องผิวขาวเป็นหลัก ฉีดเยอะมาก ซึ่งอะไรก็ตามที่มากเกินไปไม่ใช่ว่าดี”
หมอเตือนในสัจธรรมแห่งความงาม และถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานเรื่องมะเร็ง หมอหลายคนก็คาดคะเนว่า หากเกิดผิวขาวแบบฝรั่ง ผิวจะอ่อนไหวง่ายเหมือนฝรั่ง อาจเป็นมะเร็งผิวหนังเหมือนฝรั่งได้ ฉะนั้นจงอย่าฉีดหรือกินกระหน่ำมากเกินไป
“กินกลูต้าฯเสริมเข้าไปก็ได้ หนึ่งเดือนก็เห็นผล”
ทว่าต้องดูยี่ห้อดีๆ นะคะว่า ผ่านการรับรองจากอย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา)ล่ะยัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดซื้อขายทางอินเทอร์เน็ต
เรื่องที่ 3
ระวัง! กลูต้าฯปลอมเกลื่อน แถมไม่ได้ฉีดโดยหมอ
กลูต้าฯไม่ใช่ยาอันตราย ไม่ใช่ยาผิดกฎหมาย หากปัญหาบ้านเราคือ ของปลอมตรึมไปหมด แถมบริการฉีดให้ฟรีตามห้องน้ำบ้างลานจอดรถบ้าง ดังที่เป็นข่าว
“ภาพพจน์กลูต้าฯกลายเป็นอันตรายไป เพราะมีกระบวนการผิดวิธี คือ ยาที่นำมาฉีดเป็นยาที่ไม่ได้มาตรฐาน และมีการฉีดเองโดยใครไม่รู้ มันก็เลยต้องถูกห้ามใช้ไง”
หมอนันท์เล่าว่า แม้แต่แพกเกจของปลอมก็เลียนแบบเหมือนของจริงเป๊ะ ขนาดหมอเองยังกลัวซื้อผิดเลย ต้องเดินทางไปซื้อเองที่อเมริกาเพื่อความชัวร์
“การที่จะฉีดอะไรเข้าไปในร่างกายเรา มันอันตรายมาก ไม่ว่าอะไรก็ตามอย่าว่าแต่กลูต้าฯเลย ฉีดวิตามินก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นยาที่เราฉีดเข้าไปในร่างกายต้องผ่านการผลิตที่ได้มาตรฐาน แล้วต้องศึกษามานานว่า เมื่อฉีดยาชนิดนี้เข้าเส้นเลือดคนไข้แล้วไม่แพ้ ไม่มีปัญหา
บางทีเราอาจไม่แพ้กลูต้าฯ แต่อาจแพ้สารปนเปื้อนที่อยู่ในนั้น พวกของปลอมมักมาจากกระบวนการผลิตที่ไม่ดี ไม่ได้มาตรฐาน สิ่งแปลกปลอมหลงเข้าไป พวกนี้คิดว่า ผลิตได้ถูกๆ เหมือนโบท้อกซ์(Botox) ก็ไปทำกันเอง”
และไม่ว่าจะฉีดอะไรเข้าไปในร่างกาย ต้องฉีดโดยหมอผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
“สามารถช่วยเหลือได้ทันทีถ้าเกิดอาการแพ้ขึ้นมา เพราะในการฉีด สิ่งที่เรากลัวที่สุดคือ การแพ้เฉียบพลัน ถ้าหมออยู่ตรงนั้น ก็มั่นใจได้ว่าช่วยเราได้”
เรื่องที่ 4
ยังไม่มีใครเอากลูต้าฯชนิดฉีดไปขึ้นทะเบียนอย.
เน้นย้ำอีกครั้งว่า กลูต้าฯไม่ใช่ยาไม่ได้มาตรฐาน แต่สถานภาพกลูต้าฯชนิดฉีดยังไม่ได้จดทะเบียนเข้าอย.
“พูดง่ายๆ มันเป็นยาที่ยังไม่ได้รับการจดทะเบียน อยู่ดีๆ เอาไปซี้ซั๊วใช้ไม่ได้ และก็ไม่ได้แปลว่าอย.เราไม่ยอมรับนะ แค่ว่าไม่มีใครเอาไปขึ้นทะเบียน”
หมอนันท์ เล่าสภาพเท็จจริงให้ฟังว่า
“เพราะขี้เกียจ กระบวนการต้องรอ 2-3 ปี เสียค่าใช้จ่ายไม่คุ้ม พวกเราในฐานะหมอก็ใช้กันเองซึ่งไม่ผิด เพราะเป็นยามะเร็ง เราเอาไปใช้เพื่อรักษามะเร็ง และมีกฎหมายรองรับกรณีหมอคุยกับคนไข้กันเอง ยาตัวนี้ที่เมืองนอกใช้รักษามะเร็ง แต่ในเมืองไทยยังไม่มี ต้องไปเอายาตัวนี้มาใช้นะ
และแม้แต่เอากลูต้าฯมาฉีดก็ไม่ผิด หมอกับคนไข้คุยกันเองได้ ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์และคนไข้ ตกลงรับรู้กันเองว่าใช้ได้แค่ไหน”
แต่ต้องเป็นกลูต้าฯของแท้ ได้มาตรฐานผลิตจากเมืองนอก อย่าง อเมริกา ไม่ใช่ขนเข้ามาจากแถวเวียดนาม หรือจากหาดใหญ่!! ที่สำคัญ หมอต้องมีจรรยาบรรณ อย่าฉีดกระหน่ำ หวังเม็ดเงินเข้ากระเป๋า มากกว่าคุณประโยชน์ด้านความงามและสุขภาพแก่คนไข้!!!