อย.พาตำรวจบุกจับบัณฑิตตกงานตระเวนเร่ฉีดสารขาว “กลูตาไธโอน” แก่สาวๆ ผู้อยากจะมีผิวขาวสวย ยึดที่จอดรถห้างเป็นที่ฉีด ซ้อนแผนให้สายลับปลอมเป็นลูกค้าไปขอรับบริการก่อนแสดงตัวจับกุม ด้าน “หมอพิพัฒน์” ยืนยังไม่อนุญาตให้ใช้และขึ้นทะเบียนเนื่องจากยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าปลอดภัยเพียงพอ ระบุสุดเสี่ยงเร่ทำข้างถนนเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด
วันนี้ (2 ก.พ.) เมื่อเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.จตุรงค์ ภุมรินทร์ ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ ผกก.4 ปคบ. พร้อมด้วยนพ.ธเรศ กรัชนัยริวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานการพยาบาลและประกอบโรคศิลป์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย.ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายวรุตม์ มะกรูดทอง อายุ 24 อยู่บ้านเลขที่ 100/137 ม.6 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี พร้อมของกลางสารกลูตาไธโอน ซึ่งเป็นสารต้องห้าม ยาและวิตามินต้องห้ามอีกจำนวนหนึ่ง โดยจับกุมได้ที่บริเวณลานจอดรถชั้น เอ2 ห้างสรรพสินค้าท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถ.งามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.
พล.ต.ต.จตุรงค์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมลักลอบฉีดสารกลูต้าไธโอนให้กับหญิงสาวที่ต้องการมีผิวขาว โดยสารที่ใช้เป็นสารต้องห้ามและก่อให้เกิดอันตราย จึงได้ให้สายลับปลอมเป็นลูกค้าติดต่อขอรับบริการ ซึ่งผู้ต้องหาคิดราคาในการฉีดสารดังกล่าวเข็มละ 1,800 บาท โดยจะใช้วิธีการฉีดเข้าเส้นเลือด ภายหลังจากที่นัดหมายจุดที่จะฉีดสารเพื่อเสริมความงามแล้ว เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังไปซุ่มสังเกตการณ์
พล.ต.ต.จตุรงค์ กล่าวอีกว่า เมื่อถึงเวลานัดหมายผู้ต้องหาได้ขับรถยนต์บีเอ็มดับบลิว ซีรีส์ 318 ไอ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ฐท2792 กทม. เข้ามาที่ลานจอดรถ จากนั้นสายลับได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหาได้หยิบขวดที่บรรจุสารดังกล่าวออกมาพร้อมกับอ้างว่าเป็นวิตามิน ก่อนจะใช้เข็มฉีดยาดูดสารออกมาจากขวดระหว่างที่กำลังจะฉีดเข้าเส้นเลือดให้กับสายลับ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม นอกจากนี้ยังตรวจค้นพบยาและสารชนิดอื่นๆภายในรถผู้ต้องหาอีกหลายรายการ หลังจากนี้จะนำไปตรวจสอบด้วยว่าเป็นสารต้องห้ามหรือไม่
จากการสอบสวนนายวรุตม์ ให้การรับสารภาพว่า ตนเพิ่งจบการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต มาได้ประมาณ 1 ปี แล้ว แต่ยังไม่มีงานทำ ต่อมาได้รู้จักกับเพื่อนที่เป็นหมอและมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับสารดังกล่าว ตนจึงคิดวิธีหารายได้ จึงติดต่อสั่งซื้อสารดังกล่าวจากเพื่อนเพื่อนำมาฉีดให้กับหญิงสาวที่ต้องการมีผิวขาว โดยมีผู้ให้ความสนใจติดต่อใช้บริการจำนวนมาก ทั้งนี้ตนไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายจึงทำมาอย่างต่อเนื่อง
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ได้ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) จับกุมการลักลอบฉีดสารกลูตาไธโอน เพื่อทำให้ผิวขาว โดยได้เข้าตรวจสอบและล่อซื้อการลักลอบฉีดสารกลูตาไธโอนที่จอดรถชั้น 2 ของห้างสรรพสินค้าตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมได้ขณะเตรียมยาเพื่อฉีดให้แก่ลูกค้า นั้น
“อย.ไม่อนุญาตให้ใช้และขึ้นทะเบียนเนื่องจากยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าปลอดภัยเพียงพอ โดยครั้งนี้สามารถจับกุมผู้กระทำการฉีดได้พร้อมของกลางจำนวนมาก มีทั้งยาชนิดฉีดและอาหารเสริมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เบื้องต้น พบว่าผู้ต้องหาอายุ 23 ปี ได้ดัดแปลงสถานที่ฉีดโดยนำรถกะบะมาแอบเปิดให้บริการบริเวณดังกล่าว” นพ.พิพัฒน์ กล่าว
นพ.พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ยา ในกรณีไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายและขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบโรคศิลปะ ในการลักลอบฉีดยา ซึ่งจะมีโทษทั้งจำทั้งปรับ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดของกลางในจำนวนมาก และจะมีการขยายผลสอบสวนโดยการค้นบ้านผู้ต้องหาต่อไป ซึ่งเบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธและไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน
“สิ่งที่น่ากลัวคือ มีวัยรุ่นจำนวนมากหลงเชื่อ เนื่องจากมีความเชื่อผิดๆ เรื่องผิวขาว ซึ่ง อย.ยังไม่อนุญาตให้ทำการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวเนื่องจากไม่ใช่ยามีมีฤทธิ์ในการรักษาแต่เป็นการนำผลข้างเคียงของยามาใช้ ซึ่งสามารถเกิดโอกาสในการแพ้ได้สูง อีกทั้งยังไม่มีการตรวจสอบคุณภาพที่นำมาใช้ว่ามีการปลอมปนหรือมีสารที่เป็นอันตรายหรือไม่” นพ.พิพัฒน์ กล่าว
นพ.พิพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้พบว่ามีผู้ที่พยายามลักลอบนำยาดังกล่าวเข้ามาและมีการแอบฉีดในสถานเสริมความงาม คลินิกรักษาโรคผิวหนังหลายแห่ง เพราะมีความนิยมมากในกลุ่มวัยรุ่นที่อยากมีผิวขาว ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นยาจริงหรือไม่ อีกทั้งวิธีในการฉีดยังไม่มีการศึกษามาก่อนว่าควรได้รับในปริมาณเท่าใด ระยะเวลาในการฉีดควรห่างหรือบ่อยขนาดไหน ซึ่งการฉีดในขณะนี้เป็นเพียงการคาดเดาทั้งสิ้น ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายอย่างมากกับผู้ที่รับบริการ โดยอย.จะทำการสุ่มตรวจและจับกุมไปเรื่อยๆ และกรณีที่พบในสถานพยาบาลที่เคยกระทำความผิดและเคยถูกดำเนินคดีไปแล้วจะต้องได้รับโทษสถานหนัก
ด้าน นายพิพัฒน์กล่าวทิ้งท้ายว่า สารดังกล่าวเป็นสารต้องห้ามใช้ในวงการแพทย์เท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อการเสริมความงาม โดยสารดังกล่าวใช้ในการรักษาโรคมะเร็งและผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด การใช้สารตัวนี้ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ บุคคลภายนอกไม่สามารถมีไว้ในครอบครองได้ นอกจากนี้สารดังกล่าวยังไม่มีกาผลวิจัยที่ยืนยันว่าสามารถใช้ในการเสริมความงามได้ ผู้ที่ได้รับสารนี้เข้าไปในร่างกายมากๆอาจทำให้ช๊อคได้ อีกทั้งผู้ต้องหายังฉีดสารให้กับลูกค้าตามสถานที่ต่างๆทั่วไป ไม่มีสถานที่ให้บริการเป็นหลักแหล่ง อาจจะทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาจำหน่ายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำหรับยา มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท, จำหน่ายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 50,000 บาท, ประกอบกิจการเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท และประกอบกิจการดำเนินการเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 30,000 บาท
วันนี้ (2 ก.พ.) เมื่อเวลา 16.00 น. พล.ต.ต.จตุรงค์ ภุมรินทร์ ผบก.ปคบ. พ.ต.อ.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ ผกก.4 ปคบ. พร้อมด้วยนพ.ธเรศ กรัชนัยริวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักงานการพยาบาลและประกอบโรคศิลป์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และ นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย.ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายวรุตม์ มะกรูดทอง อายุ 24 อยู่บ้านเลขที่ 100/137 ม.6 ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี พร้อมของกลางสารกลูตาไธโอน ซึ่งเป็นสารต้องห้าม ยาและวิตามินต้องห้ามอีกจำนวนหนึ่ง โดยจับกุมได้ที่บริเวณลานจอดรถชั้น เอ2 ห้างสรรพสินค้าท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถ.งามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.
พล.ต.ต.จตุรงค์ เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ได้สืบทราบว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมลักลอบฉีดสารกลูต้าไธโอนให้กับหญิงสาวที่ต้องการมีผิวขาว โดยสารที่ใช้เป็นสารต้องห้ามและก่อให้เกิดอันตราย จึงได้ให้สายลับปลอมเป็นลูกค้าติดต่อขอรับบริการ ซึ่งผู้ต้องหาคิดราคาในการฉีดสารดังกล่าวเข็มละ 1,800 บาท โดยจะใช้วิธีการฉีดเข้าเส้นเลือด ภายหลังจากที่นัดหมายจุดที่จะฉีดสารเพื่อเสริมความงามแล้ว เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังไปซุ่มสังเกตการณ์
พล.ต.ต.จตุรงค์ กล่าวอีกว่า เมื่อถึงเวลานัดหมายผู้ต้องหาได้ขับรถยนต์บีเอ็มดับบลิว ซีรีส์ 318 ไอ สีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน ฐท2792 กทม. เข้ามาที่ลานจอดรถ จากนั้นสายลับได้เข้าไปพูดคุยกับผู้ต้องหา โดยผู้ต้องหาได้หยิบขวดที่บรรจุสารดังกล่าวออกมาพร้อมกับอ้างว่าเป็นวิตามิน ก่อนจะใช้เข็มฉีดยาดูดสารออกมาจากขวดระหว่างที่กำลังจะฉีดเข้าเส้นเลือดให้กับสายลับ เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม นอกจากนี้ยังตรวจค้นพบยาและสารชนิดอื่นๆภายในรถผู้ต้องหาอีกหลายรายการ หลังจากนี้จะนำไปตรวจสอบด้วยว่าเป็นสารต้องห้ามหรือไม่
จากการสอบสวนนายวรุตม์ ให้การรับสารภาพว่า ตนเพิ่งจบการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต มาได้ประมาณ 1 ปี แล้ว แต่ยังไม่มีงานทำ ต่อมาได้รู้จักกับเพื่อนที่เป็นหมอและมีการพูดคุยกันเกี่ยวกับสารดังกล่าว ตนจึงคิดวิธีหารายได้ จึงติดต่อสั่งซื้อสารดังกล่าวจากเพื่อนเพื่อนำมาฉีดให้กับหญิงสาวที่ต้องการมีผิวขาว โดยมีผู้ให้ความสนใจติดต่อใช้บริการจำนวนมาก ทั้งนี้ตนไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวผิดกฎหมายจึงทำมาอย่างต่อเนื่อง
นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ได้ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) จับกุมการลักลอบฉีดสารกลูตาไธโอน เพื่อทำให้ผิวขาว โดยได้เข้าตรวจสอบและล่อซื้อการลักลอบฉีดสารกลูตาไธโอนที่จอดรถชั้น 2 ของห้างสรรพสินค้าตรงข้ามมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมได้ขณะเตรียมยาเพื่อฉีดให้แก่ลูกค้า นั้น
“อย.ไม่อนุญาตให้ใช้และขึ้นทะเบียนเนื่องจากยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าปลอดภัยเพียงพอ โดยครั้งนี้สามารถจับกุมผู้กระทำการฉีดได้พร้อมของกลางจำนวนมาก มีทั้งยาชนิดฉีดและอาหารเสริมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เบื้องต้น พบว่าผู้ต้องหาอายุ 23 ปี ได้ดัดแปลงสถานที่ฉีดโดยนำรถกะบะมาแอบเปิดให้บริการบริเวณดังกล่าว” นพ.พิพัฒน์ กล่าว
นพ.พิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ยา ในกรณีไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายและขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และมีความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบโรคศิลปะ ในการลักลอบฉีดยา ซึ่งจะมีโทษทั้งจำทั้งปรับ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดของกลางในจำนวนมาก และจะมีการขยายผลสอบสวนโดยการค้นบ้านผู้ต้องหาต่อไป ซึ่งเบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธและไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน
“สิ่งที่น่ากลัวคือ มีวัยรุ่นจำนวนมากหลงเชื่อ เนื่องจากมีความเชื่อผิดๆ เรื่องผิวขาว ซึ่ง อย.ยังไม่อนุญาตให้ทำการรักษาด้วยวิธีดังกล่าวเนื่องจากไม่ใช่ยามีมีฤทธิ์ในการรักษาแต่เป็นการนำผลข้างเคียงของยามาใช้ ซึ่งสามารถเกิดโอกาสในการแพ้ได้สูง อีกทั้งยังไม่มีการตรวจสอบคุณภาพที่นำมาใช้ว่ามีการปลอมปนหรือมีสารที่เป็นอันตรายหรือไม่” นพ.พิพัฒน์ กล่าว
นพ.พิพัฒน์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้พบว่ามีผู้ที่พยายามลักลอบนำยาดังกล่าวเข้ามาและมีการแอบฉีดในสถานเสริมความงาม คลินิกรักษาโรคผิวหนังหลายแห่ง เพราะมีความนิยมมากในกลุ่มวัยรุ่นที่อยากมีผิวขาว ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นยาจริงหรือไม่ อีกทั้งวิธีในการฉีดยังไม่มีการศึกษามาก่อนว่าควรได้รับในปริมาณเท่าใด ระยะเวลาในการฉีดควรห่างหรือบ่อยขนาดไหน ซึ่งการฉีดในขณะนี้เป็นเพียงการคาดเดาทั้งสิ้น ซึ่งอาจจะเกิดอันตรายอย่างมากกับผู้ที่รับบริการ โดยอย.จะทำการสุ่มตรวจและจับกุมไปเรื่อยๆ และกรณีที่พบในสถานพยาบาลที่เคยกระทำความผิดและเคยถูกดำเนินคดีไปแล้วจะต้องได้รับโทษสถานหนัก
ด้าน นายพิพัฒน์กล่าวทิ้งท้ายว่า สารดังกล่าวเป็นสารต้องห้ามใช้ในวงการแพทย์เท่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อการเสริมความงาม โดยสารดังกล่าวใช้ในการรักษาโรคมะเร็งและผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด การใช้สารตัวนี้ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ บุคคลภายนอกไม่สามารถมีไว้ในครอบครองได้ นอกจากนี้สารดังกล่าวยังไม่มีกาผลวิจัยที่ยืนยันว่าสามารถใช้ในการเสริมความงามได้ ผู้ที่ได้รับสารนี้เข้าไปในร่างกายมากๆอาจทำให้ช๊อคได้ อีกทั้งผู้ต้องหายังฉีดสารให้กับลูกค้าตามสถานที่ต่างๆทั่วไป ไม่มีสถานที่ให้บริการเป็นหลักแหล่ง อาจจะทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือดได้
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาจำหน่ายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำหรับยา มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท, จำหน่ายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ 50,000 บาท, ประกอบกิจการเวชกรรมโดยไม่ได้ขึ้นทะเบียนและไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท และประกอบกิจการดำเนินการเวชกรรมโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 30,000 บาท