ในมุมของผู้ผลิตสินค้าไอทีรายใหญ่อย่างโซนี่นั้นแทบไม่มีเหตุผลที่จะไม่กระโดดเข้าร่วมวงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สวมใส่ได้ (Wearable Deavice) ซึ่งเมื่อเข้ามาในตลาดนี้ทั้งที ก็ต้องมีการสร้างความแตกต่างเมื่อเทียบกับผู้เล่นรายอื่นๆในท้องตลาดอย่างแน่นอน โดยปัจจุบันโซนี่มีทั้ง SmartWatch และ SmartBand ที่จับตลาดนี้อยู่
โดยจุดเด่นหลังของ SmartBand นั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวอุปกรณ์ แต่อยู่ที่แอปพลิเคชันซึ่งนำมาเชื่อมต่ออย่าง LifeLog มากกว่า ตัว SmartBand เป็นเหมือนอุปกรณ์ที่มาเติมเต็มข้อมูลให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นอุปกรณ์ที่เปิดกว้างสำหรับผู้ผลิตที่ต้องการนำอุปกรณ์ไปต่อยอดได้ด้วย
การออกแบบและสเปก
ตัว SmartBand จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ เลยคือตัวแกนประมวลผล สีขาว ที่มีโลโก้ของโซนี่อยู่ฝั่งหนึ่ง และอีกฝั่งหนึ่งเป็นสัญลักษณ์มาตรฐานต่างๆ มีน้ำหนักราว 21 กรัม
โดยที่ฝั่งซ้ายจะมีช่องเสียบสายชาร์จแบบไมโครยูเอสบีอยู่ และด้านบนจะเป็นปุ่มกด พร้อมกับไฟ แอลอีดี 3 ดวง ที่จะบอกประเภทของการใช้งาน
อีกส่วนหนึ่งคือสายรัด สีดำ ที่จะมีมาให้ในกล่อง 2 ขนาด ใหญ่ และเล็ก โดยจะมีตัวล็อกเป็นอะลูมิเนียมสีเงิน ดีไซน์แนวเดียวกับปุ่มเปิด-ปิดเครื่องของสมาร์ทโฟน Xperia รุ่นใหม่ๆ
SmartBand จะใช้การเชื่อมต่อผ่านบลูทูธ 4.0 แบบประหยัดพลังงาน หรือผ่านระบบ NFC ที่ทำงานร่วมกับแอนดรอยด์โฟน 4.4 ขึ้นไป สามารถกันน้ำได้บนมาตรฐาน IP58 ทำให้
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
ถ้าพูดถึงฟีเจอร์ในตัวของ SmartBand จริงๆนั้น จะทำได้เพียงแค่การนับก้าว วัดการเคลื่อนไหวตอนนอน แจ้งเตือนสายเข้า อีเมล นาฬิกาปลุก และมีฟังก์ชันพิเศษคือใช้ควบคุมเครื่องเล่นเพลง (หรือจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ในอนาคต) เท่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องใช้งานควบคู่ไปกับแอปพลิเคชัน Smart Connect ในสมาร์ทโฟน Xepria เพื่อเชื่อมต่อ
ในการทดสอบทีมงานนำ SmartBand มาใช้งานคู่กับ Xperia Z1 ที่อัปเดตแอนดรอดย์ 4.4 แล้ว โดยใช้การเชื่อมต่อผ่านระบบ NFC เพียงเปิด NFC ที่ตัว Z1 หลังจากนั้นนำ SmartBand มาแตะ ตัวเครื่องก็จะทำการเปิดบลูทูธเชื่อมตอ่กันภายในแอป Smart Connect ทันที
ภายในตัว Smart Connect จะแสดงผลว่าแบตเตอรีเหลือให้ใช้งานได้กี่วัน (เบื้องต้นเมื่อชาร์จเต็มจะใช้งานได้ราว 5 วัน) และเมื่อมีการเชื่อมต่อกับ SmartBand แล้วตัวเครื่องจะทำการเรียกใช้งานแอปฯ Lifelog โดยอัตโนมัติ
เมื่อกดเข้ามาดูการตั้งค่าของ SmartBand จะมีให้เลือกตั้งเวลาให้เข้าสู่โหมดจับความเคลื่อนไหวตอนนอน เลือกเปิด-ปิดการแจ้งเตือน (การสั่น SmartBand) ตั้งเวลาปลุก (ตัวแอปฯจะคำนวนช่วงเวลาการตื่นนอนที่ดีที่สุด) การแจ้งเตือนเมื่ออยู่นอกระยะการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน และการแจ้งเตือนเมื่อมีสายเข้า
สุดท้ายใน Smart Connect คือการเรียกใช้แอปพลิเคชัน เมื่อกดคำสั่งพิเศษ ที่ปกติจะตั้งให้เรียกใช้งานเครื่องเล่นเพลง และควบคุมโดยการ กดปุ่มที่ตัว SmartBand และเคาะ 1 ครั้ง เพื่อเล่นเพลง เคาะ 2 ครั้งเพื่อเปลี่ยนเพลง และเคาะ 3 ครั้งเพื่อย้อนกลับ
แต่ทั้งนี้ ถ้าไม่ต้องการใช้เพื่อควบคุมเครื่องเล่นเพลง ทางโซนี่ ก็มีแอปฯอย่างอื่นให้เข้าไปดาวน์โหลด อย่างการกดคำสั่งพิเศษ เพื่อค้นหามือถือ กรณีนำวางทิ้งไว้แล้วลืม กดเพื่อเข้าสู่โปรแกรมอัดเสียง เรียกใช้งานเอกสาร และอื่นๆที่จะพัฒนาตามออกมา
แน่นอนว่าถ้าจะให้การใช้งาน SmartBand สมบูรณ์แบบ ต้องมีการใช้คู่กับแอปพลิเคชันอย่าง Lifelog ซึ่งโซนี่พัฒนามาให้ค่อนข้างละเอียด กล่าวคือ สามารถวัดได้ทั้ง ปริมาณแคลลอรีที่ผลานไป จำนวนก้าว ระยะเวลาการเดิน วิ่ง นอน ขี่จักรยาน ขับรถ การใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก ถ่ายรูป ฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกม อ่านหนังสือ และท่องเว็บ
โดย Lifelog จะจำพฤติกรรมการใช้งานต่างๆจากการใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือ ควบคู่ไปกับ SmartBand และใช้จีพีเอส ในการช่วยจับความเคลื่อนไหว กรณีที่มีการเคลื่อนที่อย่างขี่จักรยาน หรือขับรถ เพียงแต่ว่าตอนนี้ระบบยังเป็นขั้นทดลองอยู่ทำให้บางทีอาจแยกไม่ออกระหว่างขี่จักรยาน และขับรถ (ทีมงานทดลองขี่จักรยาน 2 ครั้ง ครั้งแรกพบว่าบันทึกเป็นการขี่จักรยาน แต่อีกครั้งกลับระบุว่าเป็นการขับรถ)
นอกจากนี้ ยังมีความสามารถพิเศษคือการบันทึกเส้นทางการเดินทาง บนแผนที่อย่างกูเกิลแมปส์ ทำให้เห็นว่าในแต่ละวันเดินทางไปไหนมาบ้าง พร้อมกับฟังก์ชันพิเศษคือ บันทึก (Bookmark) ที่ใช้การกดปุ่ม 2 ครั้ง และจะสามารถเข้ามาตั้งค่าได้ว่าขณะนั้นกำลังทำอะไรอยู่ โดยจะมีการบันทึกสถานที่ และเวลาให้พร้อมไปเลย
ทีนี้ถ้าเข้ามาดูรายละเอียดแบบเจาะลึกในแต่ละวันอย่างจำนวนก้าวเดินผู้ใช้สามารถระบุได้ว่าเป้าหมายการเดินในแต่ละวันอยู่ที่เท่าไหร่ ระบบก็จะคำนวนว่าในวันนี้เดินน้อยกว่า หรือมากกว่าที่ตั้งไว้ โดยระบุย่อยถึงขั้นว่าในแต่ละชั่วโมงเดินไปกี่ก้าว หรือถ้าดูผลรวมรายสัปดาห์ก็จะเฉลี่ยจำนวนก้าวออกมาให้ ถ้าดูระดับรายเดือนก็จะมีบอกว่าวันไหนที่เดินมากที่สุด วันไหนที่เดินน้อยที่สุด
ถัดมาในส่วนของเวลาเดิน ก็จะมีให้ตั้งไว้เช่นเดียวกันว่าในหนึ่งวันต้องเดินกี่ชั่วโมง และเดินไปเท่าไหร่แล้ว เป็นระยะทางเท่าไหร่ ผลานไปกี่แคลอรี่ ซึ่งก็จะมีบอกเช่นกันว่าในเดือนนี้ เดินมากที่สุดวันไหน น้อยที่สุดวันไหน ผลานแคลอรีเฉลี่ยไปเท่าไหร่ รวมไปถึงถ้ากดเข้าไปดูเวลาวิ่งก็จะมีบอกในแนวๆเดียวกัน
ในส่วนของการเคลื่อนไหวตอนนอน ก็จะมีบันทึกข้อมูลไว้ว่า นอนไปกี่ชั่วโมง ตั้งเป้าไว้เท่าไหร่ ระยะเวลาที่นอนหลับสนิท ช่วงเวลาที่เคลื่อนไหว และระยะเวลาที่ตื่นอยู่เมื่อกดเข้าสู่โหมด Sleep และก็จะมีวิเคราะห์เช่นเดียวกันว่านอนไปได้กี่เปอเซนต์จากเป้าที่วางไว้ นอนมากที่สุดวันไหน น้อยที่สุดวันไหน
เมื่อเข้าไปดูในการเดินทางอย่างขี่จักรยาน และโดยสารรถยนต์ก็เช่นกัน จะมีบอกระเวลาที่เดินทางทั้งหมด (แต่ยังไม่สามารถคำนวนออกมาเป็นระยะทางได้) คำนวนออกมาเป็นระยะเวลาเดินทางในแต่ละวัน และเฉลี่ยในแต่ละสัปดาห์
การใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์ก ก็จะมีระบุชัดเลยว่าใช้แอปพลิเคชันใดไปกี่นาทีในแต่ละวัน รวมเป็นเวลาทั้งหมดเท่าไหร่ เช่นเดียวกับจำนวนรูป เวลาที่ฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกม (บอกเช่นกันว่าเล่นเกมอะไรกี่นาที) อ่านหนังสือ และใช้งานเว็บเบราว์เซอร์
จุดขาย
- น้ำหนักเบา ป้องกันน้ำในระดับหนึ่ง (IP 58) แต่ไม่แนะนำให้ใส่แช่น้ำ เพราะมีช่องเสียบสายชาร์จยูเอสบีอยู่
- สายรัดข้อมือมีให้เลือกหลายสี และมี 2 ขนาดคือ ใหญ่ และเล็ก สำหรับผู้ที่แขนใหญ่ และเล็ก
- แอปพลิเคชัน Lifelog ค่อนข้างฉลาด ทำการบันทึกพฤติกรรมการใช้งานแทบทั้งหมดในแต่ละวัน
ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
- การวัดความเคลื่อนไหวอย่างขี่จักรยาน และขับรถ ยังไม่นิ่ง
- ไม่มีหน้าจอแสดงผล ต้องทำงานคู่กับสมาร์ทโฟน
- แบตเตอรีใช้ได้ราว 5 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
โดยรวมแล้วต้องยอมรับว่า SmartBand ที่ทำออกมาให้ใช้งานคู่กับ Lifelog ถือว่าตอบโจทย์การบันทึกกิจวัตรประจำวันตลอด 24 ชั่วโมง เพียงแต่ว่าแม้ขนาดตัวเครื่องไม่มีหน้าจอแสดงผลอะไรก็ตาม แต่การชาร์จ 1 ครั้งกลับใช้งานได้ราว 5 วันเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามในแง่ของความสเถียรยังต้องอยู่ในระหว่างการพัฒนา เนื่องจากเท่าที่ทดลองใช้จะพบว่ามีหลุดการเชื่อมต่อค่อนข้างบ่อย และในการเชื่อมต่อกับแอปจะค่อนข้างช้า แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่เข้ามาเติมเต็มการใช้งานในแต่ละวัน
Company Related Links :
Sony Mobile
CyberBiz Social
http://instagram.com/cbizonline