Jawbone ถือเป็นในแบรนด์ผู้นำในตลาดอุปกรณ์เสริมเกี่ยวกับหูฟังบลูทูธที่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ใช้มานาน เพียงแต่ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์ของ Jawbone จะเน้นไปที่ลูกค้าในกลุ่มไฮเอนด์เป็นหลัก ทำให้ระดับราคาของสินค้าจะอยู่ในช่วงพรีเมียมเป็นหลัก
Era By Jawbone ถือเป็นหูฟังรุ่นที่ 2 ถัดจาก Jawbone Era รุ่นแรกที่ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หูฟังบลูทูธอัจฉริยะ ที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียงควบคู่ไปกับสมาร์ทโฟน ที่สามารถใช้งานได้ทั้ง Siri บน iOS และ Google Now บนแอนดรอยด์โฟน วางจำหน่ายในราคา 3,490 บาท และพร้อมแท่นชาร์จในราคา 4,290 บาท
การออกแบบและสเปก
สิ่งที่ Jawbone ภูมิใจมากที่สุดใน Era คงหนีไม่พ้นในแง่ของการออกแบบให้มีขนาดเล็กพกพาง่าย น้ำหนักเบา และที่สำคัญคือ สามารถใส่ใช้งานได้ทั้งวัน และมีจุกยางไว้เข้ากับรูหูขนาดต่างๆแบบพอดีๆ จึงทำให้ Era กลายเป็นหนึ่งในหูฟังบลูทูธที่น่าสนใจ
โดย Era by Jawbone จะมีให้เลือกด้วยกันทั้งหมด 4 สี คือ ดำ (Black Streak) เงิน (Silver Cross) แดง (Red Streak) บรอนซ์ (Bronze Streak) ซึ่งลายบนตัวหูฟังจะเป็นเส้นตรงๆ ยกเว้นรุ่นสีเงินที่จะเป็นลายเส้นตัดกัน ขนาดรอบตัวจะอยู่ที่ 46.6 x 21.2 x 13 มิลลิเมตร น้ำหนัก 6 กรัม ส่วนตัวแท่าชาร์จมีให้เลือก 2 สี คือ ดำ และ เงิน
สำหรับที่ตัวหูฟัง จะมีปุ่มกดหลักเพียงปุ่มเดียว อยู่บริเวณส่วนบน ถัดลงมาจะเป็นช่องเล็กๆสำหรับไมค์ตัดเสียง สลับมาด้านในจะมีช่องหูฟัง พร้อมจุกยาง ถัดลงมาเป็นปุ่มเปิด-ปิด และบริเวณไมโครโฟน ที่จะมีไฟแสดงสถานะอยู่โดยรอบด้วย
ส่วนภายในกล่องที่ให้มา จะมีตัวหูฟัง แท่นชาร์จ สายไมโครยูเอสบีสำหรับเสียบชาร์จ และใช้ซิงค์กับคอมพิวเตอร์ และจุกยางที่ให้มา 2 ขนาด ทั้งข้างซ้าย และขวา
ในแง่ของสเปก Era มาพร้อมการเชื่อมต่อบลูทูธ 4.0 ให้ระยะการเชื่อมต่อราว 10 เมตร ที่สำคัญคือรองรับการเชื่อมต่อ 2 ดีไวซ์ในเวลาเดียวกัน ส่วนระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่องจะอยู่ที่ราว 4 ชั่วโมง แต่ถ้ารวมกับระยะเวลาชาร์จเพิ่มเติมจากแท่นชาร์จพกพาจะสามารถใช้งานได้ 10 ชั่วโมง
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
เริ่มจากการเชื่อมต่อ Era เข้ากับสมาร์ทโฟน โดยเริ่มจากดาวน์โหลดแอปฯจากแอปสโตร์ หรือกูเกิล เพลยสโตร์เข้ามาติดตั้งให้เรียบร้อย เปิดแอปฯขึ้นมา จะพบคำแนะนำในการใช้งานอย่างในแอนดรอยด์ จะมีเป็นตัวแจ้งสถานะแบตเตอรีขึ้นอยู่ในแถบการแจ้งเตือน (Notification Center) การกดปุ่มเพื่อฟังตารางนัดหมาย หรือถ้ามีตารางนัดประชุมผ่านโทรศัพท์ก็สามารถกดเพื่อสั่งให้โทรออกได้ทันทีเป็นต้น
ส่วนวิธีการใช้งานภายในแอปฯ จะมีบอกอยู่แล้วอย่างการกดทีเดียวเพื่อฟังสถานะ หรือ ตารางนัดหมาย ใช้รับสาย - วางสาย สลับสายได้กรณีมีสายเรียกเข้าซ้อน กด 2 ครั้ง เพื่อเรียกสายล่าสุด (Redial) กด 3 ครั้งเพื่อสั่งเล่นเพลง โดยตอนเล่นเพลงสามารถกด 1 ครั้งเพื่อหยุด กด 2 ครั้งเพื่อเปลี่ยนเพลง กด 3 ครั้งเพื่อเล่นต่อ ส่วนถ้าต้องการเชื่อมต่อระหว่างหูฟังกับสมาร์ทโฟน ให้กดปุ่มค้างไว้พร้อมกับกดสวิตซ์เปิดหูฟังไฟสถานะจะกระพริบสลับแดงขาว เพื่อเข้าสู่โหมดรับการเชื่อมต่อ
นอกจากนี้ยังสามารถตั้งได้ว่าถ้ากดค้าง จะให้เข้าสู่ระบบคำสั่งเสียงกรณีที่ไม่ได้ใช้งานอะไรอยู่ แต่ถ้าใช้งานโทรศัพท์หรือฟังเพลงอยู่ สามารถกดค้างเพื่อเข้าสู่การปรับระดับเสียง โดยเสียงจะเพิ่มลดไปเรื่อยๆ เมื่อถึงระดับที่พอใจก็ปล่อย และยังมีโหมดค้นหา (Find) ไว้สำหรับกรณีที่วางไว้แล้วลืม ตัวบลูทูธก็จะเสียงดังขึ้นมา
ในแอปฯก็ยังจะมีหน้าของ Agenda ที่จะซิงค์ตารางนัดหมายจากปฏิทิน รวมถึงลิสเพลงที่มีอยู่ในเครื่อง รวมถึงเครื่องเล่นเพลงด้วย และยังมีโหมดฟังเพลงออนไลน์ (สตรีมมิ่ง) จากผู้ให้บริการอย่าง Spotify เพียงแต่ยังไม่เปิดให้บริการในประเทศไทย
ทั้งนี้ กรณีที่ตัวเฟิร์มแวร์มีการอัปเดต ผู้ใช้จำเป็นต้องเชื่อมต่อหูฟัง Era เข้ากับคอมพิวเตอร์ผ่านสายไมโครยูเอสบี และเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ จะมีปุ่มให้ทำการอัปเกรดเฟิร์มแวร์อยู่ เมื่ออัปเสร็จแล้วก็สามารถใช้งานต่อได้ทันที หรือจะใช้รูปแบบการเชื่อมต่อนี้ในการตั้งค่าก็ได้เช่นเดียวกัน
ส่วนในแง่ของการใช้งาน Era จะชูจุดเด่นของไมโครโฟนระบบ MEMS (Micro-Electro-Mechanical System) ที่เพิ่งถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับชุดหูฟัง ที่มีกลไกการประมวลผลสัญญาณดิจิตอล DSP (Digital Signal Processing) ช่วยปรับความดังของเสียงเพื่อให้ได้คุณภาพเสียงดีที่สุดตามสภาพแวดล้อมในขณะที่ใช้งานอยู่ ทำให้คุณภาพของเสียงที่ได้ค่อนข้างชัดเจน
จุดขาย
- ขนาดเล็ก นำ้หนักเบา ใส่สบาย
- รองรับคำสั่งเสียง และรูปแบบการสั่งงานจากการกดปุ่มที่หลากหลาย
- เชื่อมต่อพร้อมกันได้กับ 2 อุปกรณ์
ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
- ระยะเวลาใช้งานต่อเนื่อง ไม่ถึง 4 ชั่วโมง
- การปรับเสียงที่ใช้การเพิ่มเสียงไปเรื่อยๆจนดังสุดแล้วค่อยเริ่มจากเบาสุดขึ้นมา ทำให้บางจังหวะเสียงดังในหูเกินไป
ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายใน Era by Jawbone คือระยะเวลาการใช้งานต่อเนื่อง ที่ทดลองใช้งานแล้วจากแบตเตอรี 100% จะใช้ฟังเพลงได้ราว 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ไม่ถึง 4 ชั่วโมงตามที่เคลมไว้ แต่ในแง่อื่นๆ ทั้งความสะดวกในการเชื่อมต่อ ความสบายในการใส่ใช้งาน คุณภาพของเสียงที่ได้ ก็ยอมรับว่าค่อนข้างคุ้มค่ากับราคาที่เสียไป
Company Related Links :
Jawbone
CyberBiz Social