ด้วยตำแหน่งที่ Oppo วางไว้ให้ Find 7 ถือเป็นรุ่นเรือธง การมาวางจำหน่ายของ Find 7a ที่มีความสามารถไม่ต่างจาก Find 7 หรือขาดหายไปแค่เรื่องของความละเอียดหน้าจอที่ลดลงมาเหลือ Full HD แทนจอ 2K และลดสเปกลงเล็กน้อย
โดย Oppo Find 7a ยังคงความสามารถของการชาร์จเร็วกว่าปกติ 4 เท่า รวมไปถึงลูกเล่นกล้องถ่ายภาพอย่างการถ่ายภาพความละเอียด 13 ล้านพิกเซลพร้อมกันหลายๆครั้ง และนำมารวมเป็นภาพขนาด 50 ล้านพิกเซล และแน่นอนว่ารองรับการเชื่อมต่อ 4G ด้วย
การออกแบบและสเปก
ในแง่ของการออกแบบต้องยอมรับว่า Oppo ทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดี เพราะตัวเครื่องเมื่อสัมผัสแล้วรู้สึกถึงการประกอบที่แน่นหนา แม้ว่าฝาหลังจะเป็นแบบพลาสติกถอดได้ แต่ก็ปิดเรียบสนิท โดยขนาดรอบตัวเครื่องจะอยู่ที่ 152.6 x 75 x 9.2 มิลลิเมตร น้ำหนัก 170 กรัม
ด้านหน้า - ไล่จากขอบบนจะมีช่องลำโพงสนทนา และมีกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ถัดลงมาเป็นหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1920 x 1080 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 403 ppi โดยเป็นจอแบบ IPS 16 ล้านสี Gorilla Glass 3 ส่วนล่างหน้าจอจะมีปุ่มสัมผัส เมนู โฮม และย้อนกลับ ที่มีไฟแอลอีดีสีน้ำเงินอยู่บริเวณขอบล่าง (Skyline Notification)
ด้านหลัง - จะมีกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ที่ใช้เซ็นเซอร์ของโซนี่ Exmor IMX214 BSI F2.0 พร้อมไฟแฟลช และมีช่องลำโพงสเตอริโออยู่ด้านล่าง เมื่อถอดฝาหลังออกจะพบกับแบตเตอรีขนาด 2,800 mAh ช่องใส่ไมโครเอสดีการ์ด และไมโครซิมการ์ด
ด้านซ้าย - มีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง ด้านขวา - เป็นปุ่มปรับระดับเสียง
ด้านบน - มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง - ช่องเสียบสายไมโครยูเอสบี สำหรับเสียบสายชาร์จ และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
สำหรับสเปกภายในของ OPPO Find 7a มาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 801 (MSM8974AB) ที่เป็นควอดคอร์ 2.3GHz RAM 2 GB หน่วยเก็บข้อมูล 16 GB รองรับการ์ดไมโครเอสดีเพิ่มสูงสุด 128 GB ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Color OS บนพื้นฐานของแอนรดรอยด์ 4.3
ส่วนการเชื่อมต่อจะรองรับถึง 4G LTE บนคลื่น 800/1800/2100/2600 MHz 3G 850/900/1900/2100 MHz รวมไปถึงบลูทูธ 4.0 ไวไฟ มาตรฐาน 802.11 b/g/n มี GPS, Glonass และ NFC
ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
ถ้ามองในแง่ของอินเตอร์เฟสการใช้งานแล้ว Oppo Find 7a จะเหมือนกับใน Oppo N1 ซึ่งถือเป็นรุ่นไฮเอนด์ของ Oppo ในปีที่แล้วแบบถอดด้ามกันมาเลย กล่าวคือจะมีหน้าจอหลักให้เลือกใส่วิตเจ็ตได้ พร้อมกับหน้าพิเศษที่เป็นโหมดถ่ายรูปด่วน และเครื่องเล่นเพลงด่วนให้เลือกใช้งาน
รวมไปถึงในส่วนของหน้าแจ้งเตือนต่างๆ ที่จะแสดงผลเป็น 2 แบบคือเฉพาะแถบการตั้งค่าแถวเดียวไว้ตั้งค่าลัดเบื้องต้น แต่สามารถลากลงมาให้กลายเป็น 3 แถว เพื่อเข้าสู่การตั้งค่าลัดเพิ่มเติม และปรับความสว่างหน้าจอ ขณะที่ถ้ากดเมนูที่หน้าแรกจะเรียก การปรับเปลี่ยนธีม เลือกรูปแบบการหมุนหน้าจอ เปลี่ยนภาพพื้นหลัง
อย่างไรก็ตามจุดเด่นหลักของ Oppo Find 7a คงหนีไม่พ้นความโดดเด่นของระบบชาร์จเร็ว (Rapid Charge) ที่ระบุว่า ชาร์จไฟได้เร็วกว่าปกติ 4 เท่า ภายใต้ระบบ VOOC โดยเมื่อชาร์จ 5 นาที จะสามารถใช้งานโทรศัพท์ได้ 2 ชั่วโมง ชาร์จ 30 นาที ได้แบตเตอรี 75% และจะชาร์จเต็ม 100% ภายใน 70 นาที
อีกจุดเด่นหนึ่งที่มีมาใน Find 7a คือโหมดการถ่ายภาพ ที่นอกจากการบันทึกภาพที่ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล แบบทั่วไปแล้ว ภายในตัวแอปฯกล้องยังสามารถเลือกบันทึกภาพแบบ ชดเชยแสง (HDR) พาโนราม่า (Panorama) โหมดปรับแต่งใบหน้าอัตโนมัติ (Beauty) โหมดความเร็วชัตเตอร์ต่ำ (Slow Shutter) บันทึกภาพพร้อมเสียง บันทึกภาพเป็นภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ (ไฟล์ GIF)
เข้าไปดูไฟล์ขนาดเต็มได้ที่
แต่ที่น่าสนใจกลับอยู่ที่โหมดถ่ายภาพแบบ HD หรือการบันทึกภาพที่ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล โดยหลักการทำงานของโหมดนี้ตัวเครื่องจะทำการถ่ายภาพพร้อมๆกันในหลายๆส่วน และนำมาเรียงต่อกัน โดยใช้ความสามารถของตัวกล้องสามารถซูมภาพได้ถึง 4 เท่า โดยที่ภาพไม่แตก และอีกโหมดหนึ่งคือการบันทึกไฟล์ภาพแบบ RAW สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการปรับแต่งไฟล์ภาพ ให้ได้สีสัน ความสว่าง ตามต้องการ
ทั้ง 2 ส่วนนี้ถือเป็นฟังก์ชันใหม่ที่มาพร้อมกับ FInd 7a ส่วนความสามารถเดิมๆที่ยังมีมาให้ ก็จะมีอย่างการวาดนิ้วสั่งงานในขณะที่หน้าจอปิด เพื่อเรียกใช้งานแอปฯอย่าง กล้อง ไฟฉาย รวมไปถึงการสัมผัสหน้าจอ 2 ที เพื่อเรียกให้หน้าจอติด และยังเพิ่มความสามารถพิเศษในการสัมผัสที่ปุ่ม โฮม 2 ครั้งเพื่อให้หน้าจอปิดได้
โดยการใช้ท่าทางและการเคลื่อนไหว จะสามารถตั้งได้ทั้งการกำหนดท่าทางขณะหน้าจอเปิด และขณะหน้าจอปิด รวมถึงท่าทางในแอปฯ ยกตัวอย่างเช่น การวาดวงกลมเพื่อเปิดใช้งานกล้อง การวาดตัววีเพื่อเปิดใช้ไฟฉาย ลากเส้นขนานแนวตั้งสำหรับเล่นเพลง ซึ่งในส่วนนี้สามารถเข้าไปตั้งค่าได้เองด้วย
ยังมีระบบอย่างการป้องกันการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจ อย่างเช่นกรณีที่ใส่เครื่องไว้ในกระเป๋ากางเกงพวกระบบท่าทางต่างๆจะไม่ทำงาน (ใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้าช่วย) และยังมีฟังก์ชันอย่างการใช้ 3 นิ้วลากขึ้นลงเพื่อจับภาพหน้าจอ (ถ้าจะเล่นเกมที่เป็นมัลติทัชควรปิดฟังก์ชันนี้) ใช้ 2 นิ้วลากขึ้นลงเพื่อปรับระดับเสียง พลิกเครื่องเพื่อปิดเสียงกรณีมีสายเข้า
รวมถึงที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้อย่าง การใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า ในกรณีที่มีสายเข้า ถ้ายกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูจะเป็นการรับสายทันที ซึ่งประยุกต์ใช้ได้กรณีเปิดอยู่ในหน้ารายชื่อ หรือกดเบอร์ไว้แล้วยังไม่ได้กดโทรออก และยังเป็นการสลับโหมดใช้งานระหว่างหูฟัง มาเป็นลำโพงที่ตัวเครื่องอัตโนมัติด้วย
ทั้งนี้ แอปพลิเคชันที่ติดตั้งมาให้พร้อมกับเครื่องเลยจะประกอบไปด้วยโหมดโทรศัพท์ รายชื่อ ข้อความ อีเมล ปฏิทิน นาฬิกา สภาพอากาศ โน้ต เพลง วิดีโอ กล้องถ่ายรูป รูปภาพ ระบบสำรองข้อมูล ปุ่มล็อกหน้าจอ ตัวจัดการไฟล์ โครมเบราว์เซอร์ เพลยสโตร์ แผนที่ ยูทูป เครื่องคิดเลข ระบบคลาวด์ ตัวจัดการแบตเตอรี และข้อมูลการใช้งาน
นอกจากนี้ ก็จะมีในส่วนของโฟลเดอร์ที่รวมเครื่องมืออย่าง บันทึกเสียง ไฟฉาย เข็มทิศ หน้าดาวน์โหลด แอปฯจัดการเอกสาร การอัปเดตระบบ คู่มือการใช้งาน เข้าไว้ด้วยกัน โฟลเดอร์ความปลอดภัย จะมีการป้องกันการเข้าถึงแอปฯ ควบคุมการทำงานเบื้องหลัง โหมดผู้อื่นใช้งาน โหมดวันหยุด และบล็อกสาย และยังมีบริการต่างๆของกูเกิล กับเกมให้เลือกเล่นด้วย
โดยพวกเครื่องมืออย่างการสำรองข้อมูลในตัวเครื่อง การสำรองข้อมูลไว้บนคลาวด์ (O-Cloud) การใช้งาน Guest Mode การป้องกันการเข้าถึงแอปพลิเคชัน โหมดประหยัดพลังงาน สามารถย้อนกลับไปอ่านกันได้ที่ Review : Oppo N1 เกิดมารับศัพท์ฮิตแห่งปี ’Selfie’
ส่วนการใช้งานทั่วไปอย่างโหมดโทรศัพท์ยังมาพร้อมกับระบบคาดเดารายชื่อจากหมายเลขอยู่เช่นเดิม โดยเมื่อกดแล้วสามารถกดเพื่อโทรออก ส่งข้อความ หรือแสดงข้อมูลรายชื่อผู้ติดต่อได้ ส่วนหน้าจอสนทนาก็จะมีแสดงชื่อ เลขหมาย เวลา (บางทีจะบอกประเทศด้วย) ยังมีปุ่มบันทึกเสียง เรียกดูรายชื่อ เพิ่มสาย สมุดจด เปิดลำโพง ปิดไมค์ เรียกแป้นตัวเลข และอื่นๆให้กดใช้งาน ส่วนตอนสายเข้า ใช้การสไลด์เพื่อรับสาย
หน้าจอการใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ แสดงผลได้ครบถ้วนทั้งแนวตั้งและแนวนอน การแสดงผลลื่นไหลดีตามสเปกของตัวเครื่องที่ให้มาค่อนข้างสูง ประกอบกับหน้าจอใหญ่ ช่วยให้สามารถใช้งานได้อย่างสบายใจ
โหมดเครื่องเล่นเพลง ทำมาเป็นรูปลักษณ์คล้ายเครื่องเล่นแผ่นเสียง ใช้การลากบริเวณเข็มมาไว้บนแผ่นเพื่อเล่นเพลงในหน้าอินเตอร์เฟส หรือเข้าหน้าปกติเพื่อใช้งานผ่านปุ่มควบคุม สามารถตั่งเล่นเพลงสุ่ม ซ้ำ ได้ตามปกติ และยังมีการเขย่าโทรศัพท์ตอนเปิดหน้าจอ เพื่อเปลี่ยนเพลงได้ด้วย
ที่สำคัญคือภายใน Find 7a ได้มีการเพิ่มระบบเสียงของ MAXX Audio มาให้เลือกโหมดการใช้งานกันด้วย โดยเบื้องต้นจะมีให้เลือกเป็นโหมดเพลง หนัง เกม และกำหนดเอง ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งอีควอไลเซอร์ต่างๆได้ตนเอง
ในอัลบั้มภาพ นอกจากการจัดเรียงรูปภาพตามวันที่ และตามเวลาถ่ายแล้ว ยังมีการเพิ่มลูกเล่นอย่างการต่อภาพ ที่เป็นการรวมภาพ 2-8 ภาพ เพื่อจัดเรียง เลือกพื้นหลัง เพื่อโพสต์ขึ้นสู่โซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆได้ทันที
ส่วนหน้าจอการตั้งค่าจะแบ่งออกเป็น 3 แถบหลักๆคือการตั้งค่าทั่วไป ไว้ตั้งการเชื่อมต่อ บัญชีผู้ใช้ การตั้งค่าตัวเครื่องต่างๆ ถัดมาคือแถบของเสียง และแถบของจอแสดงผล ที่จะรวมไปถึงไฟกระพริบแสดงสถานะต่างๆด้วย
ในส่วนของผลการทดสอบ ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 21,965 คะแนน และ 35,523 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน
ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo ได้ 2,950 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ 1,261 คะแนน ทดสอบกราฟิกผ่าน Nenamark1 Nenamark2 ได้ 63 fps An3dBench 8,365 คะแนน และ An3dBenchXL 48,519 คะแนน
ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 4,803 คะแนน CPU 18,304 คะแนน Disk 30,764 คะแนน Memory 4,596 คะแนน 2D Graphics 3,706 คะแนน และ 3D Graphics 1,384 คะแนน
ส่วนการทดสอบ CF-Bench และ 3D Mark ดูรายละเอียดได้จากรูปด้านล่าง
จุดขาย
- เครื่องสเปกระดับไฮเอนด์ ราคาหมื่นกลางๆ
- ระบบการชาร์จไฟแบบเร็ว ทำให้ชาร์จเต็มได้ในเวลาชั่วโมงนิดๆ
- กล้องถ่ายภาพที่ 13 ล้านพิกเซล แต่มีระบบเพิ่มขนาดเป็น 50 ล้านพิกเซล
- ระบบการแสดงผล และเสียงตามมาตรฐานของ Oppo
ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่
- แป้นพิมพ์ภาษาไทยไม่ใช่เลย์เอาท์แบบมาตรฐาน แต่สามารถหาโหลดอันอื่นมาใช้กันได้
- ต้องรอดูว่าจะมีการอัปเกรดเฟิร์มแวร์ต่อเนื่องหรือไม่ เพราะปัจจุบันยังเป็น 4.3 อยู่
ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป
กับค่าตัวของ FInd 7a ที่ 15,990 บาท และ Find 7 ที่ 18,990 บาท ก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานและว่าต้องการหน้าจอที่ละเอียดมากขึ้นหรือไม่ แต่ถ้ามองถึงในแง่ของประสิทธิภาพถือว่าอยู่ในระดับสูง เพียงพอต่อการใช้งานแน่นอน ที่สำคัญคือ Oppo พยายามพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้รองรับฟีเจอร์ที่เป็นลูกเล่นต่างๆได้ค่อนข้างเยอะ ทำให้ดูแล้วน่าประทับใจ
และด้วยชื่อชั้นของ Oppo ทำให้ทั้งในแง่ของการแสดงผล ระบบเสียง ทำออกมาได้ดี รวมไปถึงเสียงสนทนาด้วย ส่วนของแบตเตอรีถ้ามองในมุมของการใช้งานทั่วไปถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานใน 1 วัน จากแบตฯขนาด 2,800 mAh ที่ให้มา
สิ่งที่ต้องดูหลังจากนี้ก็คือว่าทาง Oppo จะมีการอัปเดตแอนดรอดย์ 4.4 ให้กับเครื่องรุ่นนี้เมื่อใด รวมไปถึงบริการหลังการขายของ Oppo ในประเทศไทย ที่ถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นส่งผลให้บริการสาขาต่างๆยังน้อยอยู่ด้วย
Company Related Links :
Oppo Thai
CyberBiz Social