Review : Lenovo Vibe X & Vibe Z สมาร์ทโฟนคุ้มๆ จากแดนมังกร

การมาของเลอโนโวในตลาดสมาร์ทโฟนระดับหมื่นต้นๆ ถือว่าทำการบ้านมาได้ค่อนข้างดี เหมือนกันสมัยรุกเข้าไปในตลาดของกลุ่มสมาร์ทโฟนสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งานก่อนหน้านี้ โดยชูความโดดเด่นที่ฟีเจอร์เครื่องครบครันในระดับราคาที่เหมาะสม

โดยในรุ่นของ Vibe Z หรือในรุ่นรหัส K910 ถือเป็นรุ่นที่อัดสเปกมาสูงทั้งหน่วยประมวลผล Snapdragon 800 รองรับการใช้งาน 4G วางจำหน่ายในราคา 14,990 บาท ขณะที่ Vibe X ในรุ่นรหัส S960 จะชูในแง่ของความบางตัวเครื่อง กับสเปกที่อยู่ในระดับกลางๆ เพียงพอต่อการใช้งานในราคา 12,990 บาท

การออกแบบและสเปก

ในส่วนของการออกแบบทั้ง 2 รุ่นจะคล้ายๆกัน โดย Vibe Z จะมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ที่ปรับปรุงขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง K900 แต่ทำออกมาให้ดูจับใช้งานได้ถนัดมือมากขึ้น โดยมีขนาดรอบตัวอยู่ที่ 149.1 x 77 x 7.9 มิลลิมเตร น้ำหนัก 145.2 กรัม

ด้านหน้า - มาพร้อมกับหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1,920 x 1080 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 401 ppi ซึ่งเป็นหน้าจอแบบ IPS ที่ใช้กระจกกอลิล่ากลาส 3 โดยมีช่องลำโพงสนทนา สัญลักษณ์ ‘Lenovo’ เซ็นเซอร์ตรวจจับใบหน้า และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ล่างหน้าจอเป็นปุ่มสั่งงานสำหรับเรียกดูเมนู กลับหน้าแรก และย้อนกลับ

ด้านหลัง - ส่วนของฝาหลังจะใช้วัสดุที่สากๆ (คิดภาพคล้ายๆกับตะไบเล็บ) เพื่อช่วยให้จับได้ถนัดมือมากขึ้น โดยมีกล้อง 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED และมีโลโก้แบรนด์แปะอยู่ตรงกลาง ส่วนขอบล่างที่เป็นสีเงินเงาๆ จะเป็นที่อยู่ของช่องลำโพง

ด้านซ้าย - เป็นปุ่มปรับระดับเสียง ด้านขวา - มีช่องสำหรับใส่ไมโครซิมการ์ด ที่ต้องใช้เข็มจิ้มถาดใส่ซิมออกมา

ด้านบน - มีปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง - เป็นช่องไมโครยูเอสบี สำหรับเสียบสายชาร์จ และเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

สำหรับสเปกภายในของ Vibe Z จะมาพร้อมกับหน่วยประมวลผล Qualcomm Snapdragon 800 ที่เป็นควอดคอร์ 2.2 GHz หน่วยประมวลผลภาพเป็น Adrino 330 RAM 2 GB พื้นที่เก็บข้อมูลภายในตัวเครื่อง 16 GB ซึ่งไม่สามารถใส่ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มเติมได้ แบตเตอรี่ขนาด 3,000 mAh ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.3

ด้านการเชื่อมต่อรองรับ 3G ทุกคลื่นที่มีให้บริการในไทย ให้ความเร็วในการดาวน์โหลด 42 Mbps ส่วน 4G รับบน 850 / 1800 / 2100 MHz ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 150 Mbps ส่วนไวไฟ รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac บลูทูธ 4.0 จีพีเอส

ส่วนของรุ่น Vibe X จะมีขนาดรอบตัวอยู่ที่ 144 x 74 x 6.9 มิลลิเมตร น้ำหนัก 121 กรัม ตัวเครื่องจะให้ความรู้สึกโค้งมนมากกว่า Vibe Z และมีขนาดที่บางกว่าด้วย

ด้านหน้า - เป็นหน้าจอ IPS กอลิล่ากลาส 3 ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด Full HD (1,920 x 1,080 พิกเซล) ความละเอียดเม็ดสี 441 ppi โดยมีช่องลำโพงสนทนา เซ็นเซอร์ โลโก้แบรนด์อยู่ที่ส่วนบน พร้อมกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ส่วนล่างจอเป็นปุ่มสั่งงานเมนู หน้าแรก และย้อนกลับตามปกติ

ด้านหลัง - อย่างที่บอกว่ารุ่นนี้จะเน้นที่ความโค้งมนเป็นหลัก โดยวัสดุที่ใช้จะเป็นคล้ายๆอะลูมิเนียมขัดเช่นเดียวกับในรุ่น Vibe Z โดยมีกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลช LED เช่นเดียวกัน

ด้านซ้าย - มีปุ่มเปิด-ปิดหน้าจอ ด้านขวา - เป็นปุ่มเพิ่มลดเสียง และช่องใส่ไมโครซิมการ์ด

ด้านบน - มีช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. ด้านล่าง - เป็นช่องเสียบไมโครยูเอสบี และไมโครโฟนสนทนา

สำหรับสเปกภายในของ Vibe X ใช้หน่วยประมวลผล Mediatek MT6589T ที่เป็นควอดคอร์ 1.5 GHz หน่วยประมวลผลภาพ PowerVR SGX544MP2 RAM 2 GB พื้นที่เก็บข้อมูล 16 GB ไม่สามารถเพิ่มไมโครเอสดีการ์ดได้ ทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 4.2.2

ด้านการเชื่อมต่อจะรับ 3G แค่ 900 / 2100 MHz เท่านั้น ให้ความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุด 21 Mbps อัปโหลดสูงสุด 5.76 Mbps ไวไฟ มาตรฐาน 802.11 b/g/n บลูทูธ 3.0 แบตเตอรีภายใน 2,000 mAh

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจ

ในส่วนของฟีเจอร์ภายในทั้งรุ่น Vibe Z และ Vibe X จะให้ฟังก์ชันมาคล้ายๆกันทั้งหมด เริ่มจากในส่วนของอินเตอร์เฟส ซึ่งทางเลอโนโวจะตัดหน้ารวมเมนูออกไป แล้วใข้หน้าหลักเป็นทั้งที่แสดงแอปพลิเคชัน และใส่วิตเจ็ตใช้งาน โดยมีไอค่อนหลักคือโทรศัพท์ รายชื่อผู้ติดต่อ ข้อความ และเบราว์เซอร์

ส่วนของการแจ้งเตือน หรือแถบ Notification ที่ให้มาจะมีการแสดงผลวันเวลา และทางลัดเข้าสู่การตั้งค่าหลักของเครื่อง ถัดลงมาเป็นแถบการตั้งค่าลัด ที่จะมีให้เลือกเปิด-ปิด การใช้งานไวไฟ ดาต้า เสียง ปรับความสว่าง จีพีเอส การหมุนหน้าจอ บลูทูธ ไฟลท์โหมด การใช้งานหลายหน้าจอ ไฟฉาย รวมถึงฟังก์ชันอย่างการเขย่าเพื่อล็อก โหมดประหยัดพลังงาน โหมดเด็ก ให้เลือกใช้กัน

ทั้งนี้ ผู้ใช้สามารถเข้าไปตั้งได้ว่าในแถบการแจ้งเตือนจะให้แสดงผลอะไรบ้างได้ อย่างเช่นการแสดงผลแบตเตอรี่ ความเร็วในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่ใช้อยู่ รวมถึงจัดเรียงลำดับความสำคัญของการแจ้งเตือนด้วย

นอกจากนี้ก็ยังมี ธีม (Theme Suite) ที่มีพรีโหลดมาให้เลือกใช้แล้ว 8 แบบ แต่ทั้งนี้ก็สามารถเลือกโหลดเพิ่มได้จากสโตร์อีก เพื่อปรับแต่งการใช้งานให้เหมาะสม

กรณีที่กดปุ่มปิดเครื่องค้างไว้ จะมีคำสั่งปิดเครื่อง รีสตาร์ท โหมดใช้งานบนเครื่องบิน ปรับเสียง ปรับระดับเสียงทั้งริงโทน สื่อ การแจ้งเตือน ส่วนโหมดใช้งานหลายหน้าจอก็จะมีให้เลือกใช้พวกเครื่องคิดเลข และมัลติมีเดียต่างๆไปพร้อมๆกัน ซึ่งเป็นความสามารถของแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆอยู่แล้ว

ตัวอย่างการใช้มัลติสกรีน ในโหมดภาพยนตร์ ทำให้ย่อหน้าจอแสดงผลออกมาไว้ข้างนอก และสามารถเคลื่อนย้าย ขยายลดขนาดได้ด้วย หรือจะกดสลับกลับไปใช้งานแบบเต็มจอเหมือนเดิม

สิ่งที่เลอโนโวแถมเพิ่มมาให้ในเครื่องคือแอปฯอย่าง SecureIT ที่เป็นเสมือนระบบป้องกันไวรัส และสำรองข้อมูล โดยตัวแอปฯ สามารถใช้สำรองข้อมูลรายชื่อ ข้อความ ประวัติการโทร รวมถึงความสามารถหลักอย่างป้องกันไวรัสด้วย

Paired Sharing เป็นอีกแอปฯหนึ่งที่ใส่มาให้ผู้ใช้เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเครื่องอื่น เพื่อรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งอีกเครื่องที่ใช้งานจำเป็นต้องมีแอปฯเดียวกัน โดยเมื่อทำการเชื่อมต่อครั้งแรกแล้ว ก็จะขึ้นอยู่ในลิสต์ให้เลือกใช้งานได้ตลอด ไม่ต้องเชื่อมต่อใหม่อีก

Power Manager เป็นอีกจุดที่น่าสนใจ เพราะทางเลอโนโวเลือกให้ผู้ใช้สามารถปรับแต่งได้ว่าจะเลือกประหยัดพลังงานจากโหมดใด เช่น การปิดการเชื่อมต่อต่างๆ ปรับการทำงานของซีพียู รวมไปถึงตั้งเวลาเปิด-ปิดโหมดประหยัดพลังงานอัตโนมัติ

ที่สำคัญคือมีโหมดประหยัดพลังงานขั้นสูง ที่จะปรับโหมดการใช้ให้กลายเป็นหน้าจอกึ่งๆขาวดำ โดยเหลือเพียงการแสดงผลเวลา และโหมดใช้งานขั้นพื้นฐานอย่าง ข้อความ โทรศัพท์ รายชื่อ และนาฬิกาปลุกเท่านั้น ซึ่งจะช่วยยืดอายุแบตเตอรีที่เหลือน้อยออกไปได้อีกช่วงเวลาหนึ่ง

หน้าจอการโทรศัพท์มีระบบคาดเดารายชื่อให้ใช้งาน โดยในหน้าจอสนทนาจะมีรายละเอียดชื่อผู้ติดต่อ เวลาที่ใช้สาย ส่วนแถบคำสั่งจะมีให้เลือกบันทึกเสียง เรียกปุ่มกด ลำโพง เพิ่มสาย ปิดเสียง พักสาย ส่วนหน้าจอสายเรียกเข้าจะมีปุ่มให้เลื่อนไปรับสาย ตัดสาย และส่งข้อความกลับ

การใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ ด้วยขนาดหน้าจอค่อนข้างใหญ่ทำให้สามารถใช้งานได้ค่อนข้างสะดวก ทั้งแนวตั้งและแนวนอน รวมถึงความเร็วในการแสดงผลค่อนข้างดีจากหน่วยประมวลผลที่ให้มาด้วย

กล้องถ่ายภาพจะมีโหมดให้เลือกใช้งานทั้งถ่ายภาพปกติ พาโนราม่า ถ่ายภาพชดเชยแสง (HDR) ภาพซ้อนภาพ ถ่ายภาพต่อเนื่อง ภาพพร้อมเสียง ตอนกลางคืน จับหน้าคนยิ้ม และตั้งเวลาถ่ายภาพย้อนหลัง ซึ่งในโหมดภาพซ้อนภาพยังสามารถเลือกเฟรมได้

ส่วนการตั้งค่าการถ่ายภาพก็จะมีให้เลือกสลับกล้องหน้าหลัง เปิดปิดแฟลช เปิดโหมดถ่ายภาพพิเศษตอนกลางคืน ตั้งความละเอียด ปรับชดเชยแสง เลือกค่าความไวแสงได้สูงสุด 1600 ตั้งสมดุลแสงขาว บันทึกพิกัดรูปภาพ เลือกโหมดโฟกัส ตั้งให้ใช้ปุ่มเพิ่มลดเสียงในการกดชัตเตอร์ และก็จะมีเอฟเฟกต์ถ่ายภาพต่างๆให้เลือกอีก

ที่น่าสนใจคือยังมีโหมดถ่ายภาพแบบ GIF ที่จะบันทึกภาพต่อเนื่องเลือกได้ทั้ง 18 ภาพ 21 ภาพ 24 ภาพ และ 48 ภาพ โดยเลือกขนาดได้สูงสุดที่ 1,280 x 960 พิกเซล และยังตั้งได้ว่าจะให้บันทึกภาพแบบอัตโนมัติหรือไม่ พร้อมกับเลือกเว้นช่วงเวลาในการเก็บภาพ

สำหรับการตั้งค่าของตัวเครื่องทางเลอโนโว ได้มีการแยกออกเป็นการตั้งค่าทั่วไป ไว้ตั้งการเชื่อมต่อ ความสว่าง ภาพพื้นหลัง ธีม เสียง ถัดมาเป็นแถบของฟีเจอร์ ก็จะไว้ตั้งค่าฟีเจอร์ต่างๆ อย่าง Pocket Mode ที่จะช่วยเพิ่มเสียงเรียกเข้าเมื่อเก็บเครื่องในกระเป๋า ลดเสียงเมื่อจับเครื่อง รับสายอัตโนมัติเมื่อนำเครื่องมาไว้ข้างหู สั่นเพื่อล็อกเครื่อง มีปุ่มลัดสำหรับใช้งานมือเดียว หรือเลือกตั้งให้กดปุ่มลดเสียงเพื่อเปิดหน้าจอแทน

ส่วนการตั้งค่าทั่วไปก็เหมือนในแอนดรอดย์ปกติ คือแบ่งตั้งค่าตัวเครื่อง ระบบ การเชื่อมต่อ บัญชีผู้ใช้ เพียงแต่อินเตอร์เฟสก็จะแสดงตามลักษณะของเลอโนโว

ในส่วนของผลการทดสอบ Vibe Z ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 18,042 คะแนน และ 35,288 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 10 จุดพร้อมกัน

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo ได้ 2,877 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ 1,146 คะแนน ทดสอบกราฟิกผ่าน Nenamark1 ได้ 60 fps Nenamark2 60 fps An3dBench 7,904 คะแนน และ An3dBenchXL 44,775 คะแนน

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 4,413 คะแนน CPU 17,296 คะแนน Disk 18,128 คะแนน Memory 4,133 คะแนน 2D Graphics 3,474 คะแนน และ 3D Graphics 1,296 คะแนน

ผลทดสอบ CF-Bench

ส่วนผลการทดสอบ Vibe X ผ่านโปรแกรมทดสอบประสิทธิภาพบนแอนดรอยด์อย่าง Quadrant Standart และ Antutu ได้คะแนน 5,268 คะแนน และ 14,865 คะแนน ตามลำดับ หน้าจอรองรับการสัมผัส 5 จุดพร้อมกัน

ทดสอบการใช้งาน HTML 5 ผ่าน Vellamo ได้ 1,555 คะแนน ส่วนประสิทธิภาพตัวเครื่องได้ 568 คะแนน ทดสอบกราฟิกผ่าน Nenamark1 ได้ 49.5 fps Nenamark2 28.6 fps An3dBench 7,772 คะแนน และ An3dBenchXL 34,687 คะแนน

ขณะที่การทดสอบด้วยโปรแกรม Passmark PerformanceTest Mobile ได้คะแนน System 2,454 คะแนน CPU 9,894 คะแนน Disk 9,309 คะแนน Memory 1,657 คะแนน 2D Graphics 2,019 คะแนน และ 3D Graphics 813 คะแนน

ส่วนการทดสอบ CF-Bench และ 3D Mark ดูรายละเอียดได้จากรูปด้านล่าง

อุปกรณ์ที่ให้มาภายในกล่อง
จุดขาย

- ประสิทธิภาพสูงในระดับราคาหมื่นกลางๆ
- หน้าจอขนาดใหญ่ ตัวเครื่องบาง
- Vibe Z รองรับการใช้งาน 4G LTE
- มีฟีเจอร์และฟังก์ชันการใช้งานครบถ้วน

ข้อสังเกต/ตอบจุดขายหรือไม่

- ไม่สามารถใส่ ไมโครเอสดีการ์ดเพิ่มได้
- ราคา 2 รุ่นไม่ต่างกันมากแต่ประสิทธิภาพ Vibe Z ดีกว่ากันค่อนข้างเยอะ

ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป

แม้ว่าทั้ง 2 รุ่นจะออกมาวางจำหน่ายใกล้เคียงกัน ในระดับราคาที่ต่างกันราว 2,000 บาท แต่ประสิทธิภาพของ VIbe Z กลับเป็นที่โดดเด่นกว่ากันค่อนข้างเยอะ ทั้งหน่วยประมวลผลที่ดีกว่า และขนาดหน้าจอที่ใหญ่กว่า แต่ถ้ามองกลับกันประสิทธิภาพของ Vibe X ก็เพียงพอกับการใช้งานทั่วไป กับขนาดหน้าจอ 5 นิ้วที่ถือว่าไม่ใหญ่เกินไป

ถ้ามองว่าขนาดหน้าจอ 5.5 นิ้ว ไม่ได้เป็นภาระมากเกินไป การเพิ่มเงินเล็กน้อยเพื่อหันไปใช้งาน VIbe Z ดูจะมีเหตุผลมากกว่า เพราะตัวเครื่องยังรองรับการใช้งาน 4G ที่มีให้บริการในประเทศไทย และกำลังจะเปิดประมูลคลื่นใหม่มาให้บริการในช่วงปลายปีนี้ด้วย

ในแง่ของฟีเจอร์ และรูปแบบการใช้งานภายในของทั้ง 2 รุ่น ถือว่าเหมือนกันแทบทั้งหมด ซึ่งเลอโนโวออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนเหมาะกับผู้ที่เพิ่งหันมาใช้งานสมาร์ทโฟนเป็นอย่างมากอยู่แล้ว

ในแง่ของแบตเตอรี ถือว่าเพียงพอกับการใช้งานในแต่ละวันถ้าไม่ได้ใช้ตลอดเวลาก็สบายๆ แต่ถ้าแบตใกล้หมดก็สามารถเปิดโหมดประหยัดพลังงาน เพื่อยืดอายุการใช้งานเพิ่มเติมได้ด้วย

Company Related Links :
Lenovo